ตอนที่ 732 จดหมายจากฟู่ต้ากวน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 732 จดหมายจากฟู่ต้ากวน

เมื่อวานนี้ เขาได้รับจดหมายตอบกลับจากฟู่ต้ากวน

แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือในจดหมายฉบับนี้ มีลายมือที่แตกต่างจากรอยจารึกที่วัดฟูจื่อ

‘บุตรชายของข้า

นี่คือลายมือของพ่อเอง !

พ่ออาจจะตอบกลับช้าไปสักหน่อย เพราะหลังจากขึ้นเป็นจักรพรรดิก็มีเรื่องมากมายให้จัดการ

เรื่องที่อู่หยวนโจวเขื่อนแตกคาดว่าเจ้าคงทราบเรื่องแล้ว พ่อได้ประหารขุนนางไปกว่าสามสิบคน และได้ใช้ศีรษะของพวกเขาเซ่นไหว้ราษฎรที่เสียชีวิตเนื่องจากเหตุภัยพิบัติในครานี้!

แต่ก็นับเป็นความผิดของพ่อด้วยเช่นกัน !

พ่อรู้ดีว่าพ่อมิอาจเป็นจักรพรรดิที่ดีได้เนื่องจากนิสัยของพ่อเกียจคร้านมากจนเกินไป หากเจ้ากลับมายังราชวงศ์อู๋ เรื่องราวอันน่าสลดใจเช่นนี้จะมิเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนี้…พ่อจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าลูกจะกลับมา

เหล่าราษฎรที่สูญเสียคนในครอบครัวไปเนื่องจากภัยพิบัติครานี้ พ่อได้จัดการเช่นนี้ เจ้าลองดูว่าเหมาะสมหรือไม่

มีผู้ประสบภัยมากถึง 1,000,000 ราย 300,000 รายนั้นถูกพ่อส่งตัวไปเป็นบ่าวรับใช้จวนฟู่ ณ หนานชางทั้งสี่ในแปดรัฐดังนี้ โม่โจว ป๋ายโจว เทียนโจว และเยี่ยนโจว

ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้าคาดว่าพวกเราคงมีจำนวนคนมากพอสำหรับการเพาะปลูกแล้ว

ส่วนอีก 700,000 รายที่เหลือนั้น ได้แบ่งเป็น 300,000 รายให้ตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ที่เดิมเพื่อรอให้น้ำลด แล้วจะให้พวกเขาสร้างเขื่อนเพื่อหารายได้สักเล็กน้อย หลังจากวัดพื้นที่เรียบร้อยแล้วค่อยใช้นโยบายสัญญาครัวเรือนของเจ้าเพื่อแบ่งที่ดินให้ถ้วนทั่ว

ส่วนอีก 400,000 รายกลุ่มสุดท้ายนี้ พ่อได้ส่งพวกเขาไปยังหกรัฐแห่งเป่ยเซียว

พ่อได้เขียนจดหมายถึงชุนซิ่วอีกหนึ่งฉบับแล้ว มันเทศและเมล็ดข้าวพันธุ์ฟู่ซื่อต้ายของซีซานทั้งหมดได้ถูกขนส่งมายังราชวงศ์อู๋แล้ว คาดว่าบัดนี้กำลังอยู่ระหว่างการเดินทาง แต่เรื่องนี้พ่อมิได้ปรึกษาหารือกับเจ้าล่วงหน้าและคาดว่าเจ้าคงมิได้ขัดแย้งอันใด…’

ในจดหมายฉบับนี้ฟู่ต้ากวนมิได้อธิบายว่าคนจำนวน 400,000 คนที่ถูกส่งไปยังหกรัฐแห่งเป่ยเซียว เขาส่งไปเพื่อทำอันใดกันแน่

สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะบิดาอ้วนได้ซื้อที่ดินสี่ในแปดรัฐของหนานชางเอาไว้ และเดิมทีได้ส่งคนจำนวน 800,000 คนไปที่หกรัฐแห่งเป่ยเซียวแล้วด้วย

แรกเริ่มเขาคิดว่าเป็นเพราะพื้นที่กว้างขวางแต่กลับมีประชากรน้อย… บัดนี้พอได้ยินจัวตงหลายเอ่ยออกมาเยี่ยงนั้นก็คาดว่าคงจะมีจำนวนประชากรน้อยกว่าพื้นที่อื่น ๆ มากจริง ๆ เพียงแต่ว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นทะเลทรายเสียส่วนมาก แล้วจะทำการเพาะปลูกได้เยี่ยงไร ?

บิดาอ้วนโยกย้ายประชากรไปมากถึง 1,200,000 คนเชียวหรือ “ที่เป่ยเซียวทั้งหกรัฐนั้นมีจำนวนประชากรเท่าใด ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมาถาม

จัวตงหลายนิ่งเงียบพลางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตอบว่า “ราว 6,00,000 คนได้”

เกือบ 7,000,000 คนเข้าไปแล้ว จัวตงหลายบอกว่าเดิมทีประชากรที่หกรัฐแห่งเป่ยเซียวก็มีชีวิตค่อนข้างลำบากอยู่แล้ว บิดาอ้วนยังโยกย้ายผู้คนไปอีกหนึ่งล้านกว่าคน แบบนี้จะมิหนักหนากว่าเดิมหรอกหรือ ?

บิดาอ้วนคิดทำการใดอยู่กันแน่ ?

ฟู่เสี่ยวกวนยิ่งคิดก็ยิ่งมิเข้าใจในการกระทำของบิดาอ้วน หากต้องการอพยพหรือช่วยเหลือผู้ประสบภัยก็สามารถโยกย้ายไปยังชีโจวได้นี่ เพราะห้าจากในเจ็ดรัฐก็ยังดีกว่าหกรัฐในเป่ยเซียวมากทีเดียว

“เป่ยเซียวทั้งหกรัฐนี้…มีการค้นพบเหมืองขนาดใหญ่บ้างหรือไม่ อาทิเช่น…เหมืองทองอันใดทำนองนั้น ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนยังมิละความพยายามจึงได้เอ่ยถามขึ้นมาอีกครา

จัวตงหลายส่ายหน้าไปมา “ข้ามิเคยได้ยินมาก่อนเลย…ที่นั่นไร้ฤดูใบไม้ผลิและร่วง มีเพียงฤดูร้อนและฤดูหนาวเท่านั้น นับตั้งแต่เดือนสี่ก็เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว เมื่อถึงเดือนเก้าฤดูร้อนก็จะสิ้นสุดลงแปรเปลี่ยนเป็นฤดูหนาว ในฤดูร้อนนั้นอุณหภูมิจะสูงมากยิ่งนัก ตอนนั้นที่ข้าไปเยือนเป็นฤดูร้อนพอดี ให้ตายเถิด ! ร้อนเสียจนแทบทนมิได้และได้ยินมาว่าฤดูหนาวก็หนาวจับใจ หิมะตกตลอดทั้งห้าเดือน ประชากรส่วนมากจึงมิกล้าออกจากบ้านเรือน”

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามรัฐด้านบน ที่นั่นเรียกได้ว่าไร้ผู้คนอาศัยอยู่เลยก็ว่าได้ มันเป็นพื้นที่ไร้ประโยชน์มิสามารถทำการเพาะปลูกได้ และมิอาจดำรงชีวิตได้จึงกลายเป็นพื้นที่อาศัยของหมาป่าไปเสียแล้ว”

เห็นได้ชัดว่าบิดาอ้วนรู้อยู่เต็มอก แต่ทว่าก็ยังตั้งใจทำเช่นนี้

ช่างเป็นจักรพรรดิที่เอาแต่ใจเสียจริง !

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ครุ่นคิดเรื่องที่บิดาอ้วนได้กระทำลงไปอีก แต่เขากำลังคิดเรื่องที่อีกฝ่ายกล่าวมาในจดหมายอีกเรื่องหนึ่ง ในที่สุดบิดาอ้วนก็ตัดสินใจให้อนุภรรยาและบุตรทั้งห้าในหลินเจียงเดินทางไปอยู่ที่ราชวงศ์อู๋เสียที !

นับเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง แต่บิดาอ้วนมิได้รับพวกนางเข้าไปอยู่ในพระราชวัง เขาให้พวกนางไปอาศัยอยู่ในโม่โจวหนึ่งในแปดรัฐแห่งหนานชาง

‘บิดาของเจ้าได้ซื้อคฤหาสน์ไว้ที่เมืองโม่เสียนซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐโม่โจวและใหญ่โตกว่าจวนฟู่ที่หลินเจียงถึงสามเท่า !

พ่อตั้งใจจะรับบรรดาท่านแม่ของเจ้าไปอยู่ที่นั่น เยี่ยงไรเสียพวกนางก็เป็นอนุภรรยาของพ่อ และได้ให้กำเนิดบุตรถึง 5 คน พ่อควรหาเวลาว่างไปเยี่ยมพวกนางที่โม่โจวบ้าง

แต่ทว่าด้วยฐานะที่แท้จริงของพ่อ จะให้พวกนางรู้มิได้ มิเช่นนั้นถ้าพวกนางคิดการใหญ่ขึ้นมาจะต้องเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นเป็นแน่’

เรื่องนี้บิดาอ้วนได้ส่งโจวถงถงไปจัดการด้วยตนเอง ฟู่เสี่ยวกวนคาดว่าคงมิอาจหลบเลี่ยงสายพระเนตรของฮ่องเต้ไปได้เป็นแน่

เพียงแต่สิ่งที่คาดมิถึงคือฟู่ต้ากวนมิได้คิดปิดบังฮ่องเต้ เนื่องจากในเวลาเดียวกันบิดาอ้วนก็ได้เขียนจดหมายส่งถึงฮ่องเต้ด้วยเช่นกัน และคืนที่ผ่านมาพระองค์ก็ได้รับจดหมายจากฟู่ต้ากวนพอดิบพอดี ส่งผลให้มิอาจข่มดวงพระเนตรบรรทมได้นั่นเอง…

“ฟู่ต้ากวนชอบรังแกผู้อื่นเสียจริง ! ”

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรจดหมายฉบับนั้นจบ ก็ทรงกริ้วเป็นฟืนเป็นไฟอีกทั้งยังทำตัวมิถูก

‘เหล่าหยู สบายดีสิท่า !

ข้าอยากเขียนจดหมายถึงท่านมาเนิ่นนานแล้ว แต่มิรู้ว่าจะเขียนอย่างไรให้บุรุษเยี่ยงท่านพึงพอใจดี

ในราตรีนี้ดวงดารา ณ เมืองกวนหยุนช่างสว่างสดใส อยู่ ๆ ข้าก็นึกสนุกขึ้นมา จึงนึกถึงเรื่องที่ท่านระเบิดวัดฟูจื่อได้… ราชวงศ์เฉินล่มสลายไปกว่าสองร้อยปีแล้ว ท่านไประเบิดวัดวาอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาเพื่ออันใดกัน ?

ลัทธิจันทราก็ถูกบุตรชายของข้าล้มล้างเสียจนสิ้นแล้วมิใช่หรือ ?

ข้าเสียดายต้นพุทราที่นั่นเหลือเกิน หากในอนาคตได้กลับไปยังราชวงศ์หยูก็จะมิได้ทานลูกพุทราอันหวานกรอบจากต้นนั้นอีกแล้ว ท่านทำเรื่องไร้สาระอันใดลงไปกัน ?

ได้ยินมาว่าสะใภ้ของข้าเวิ่นหวินกว่าจะคลอดบุตรได้ทำเอาเกือบมิรอดชีวี นับว่าท่านยังโชคดีอยู่บ้างเพราะหากสะใภ้ของข้าเป็นอันใดขึ้นมา ข้าคงมิปล่อยท่านไว้เป็นแน่ !

นางเป็นสะใภ้ของตระกูลฟู่ ! ท่านควรดูแลนางให้ดีและเพื่อเห็นแก่มิตรภาพของสองเราที่มีมาอย่างยาวนาน ข้าจะมิส่งทหารไปทำสงครามกับท่านก็แล้วกัน

เฮ้อ…เหล่าหยู ท่านยังจำเรื่องในฤดูใบไม้ผลิของปีไท่เหอที่สี่สิบเอ็ดได้หรือไม่ ? ดอกไม้ป่าบนภูเขาเถิงซีช่างงดงามมากยิ่งนัก ข้า ท่าน น้องชายข้า และฝานจื่อกุยแห่งแคว้นฝาน พวกเราเล่นว่าวกระดาษด้วยกันที่เชิงเขาเถิงซี ท่านจำได้หรือไม่ ?

ราวกับเพิ่งผ่านไปมินาน ทั้งที่เป็นเวลา 21 ปีเข้าไปแล้ว ในตอนนั้นว่าวกระดาษของท่านลอยไปติดอยู่บนหลังว่าวของพระชายาองค์รัชทายาทฝานจื่อกุย ข้าเป็นคนเหินนภาขึ้นไปเก็บมาให้ท่าน… ตอนนี้ท่านกับชายาของฝานจื่อกุยที่กลายเป็นฮองเฮาฮุ่ยแห่งแคว้นฝานยังติดต่อกันอยู่หรือไม่ ?

เมื่อปีกลาย ข้าได้เดินทางไปยังแคว้นฝานและได้พบกับฝานจื่อกุยและภรรยาของเขา บัดนี้ฝานจื่อกุยอ้วนยิ่งกว่าข้าเสียอีก ! ฮ่าฮ่าฮ่า แต่ภรรยาของเขานั้นอวบอิ่มมีน้ำมีนวลกว่าเมื่อ 21 ปีก่อนมากนัก เหล่าหยู นางได้กล่าวถึงท่านด้วยนะ นางกล่าวว่าในตอนนั้นสายตาที่ท่านมองนางช่างลามกเสียจริง

บัดนี้พอข้ามาครุ่นคิดดูแล้วก็คล้ายว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ฮองเฮาซั่งมีพระสิริโฉมงดงามไร้ที่เปรียบ ตัวท่านเองก็อายุปูนนี้แล้วอย่าได้ทำอันใดบุ่มบ่ามล่ะ !

อ่า…ใช่สิ เกือบลืมเรื่องสำคัญไปเสียสนิท ในตอนนั้นที่ท่านพระราชทานอนุภรรยาให้แก่ข้าถึง 5 คน… ข้าจะนำตัวพวกนางมายังราชวงศ์อู๋ทั้งหมด !

ท่านคงมิคิดขัดขวางใช่หรือไม่ ?

ข้าเพียงอยากบอกกับท่านว่าสายลับแห่งหอซี่หยู่ในซีซานนั้น ท่านจงถอนกำลังออกไปเสียเถิด ฟู่เสี่ยวกวนเป็นเขยของท่านและต่อให้เขากลับมาเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ เขาจะกล้าส่งทหารไปรบกับท่านเยี่ยงนั้นหรือ ?

เมื่อถึงเวลาที่ท่านส่งมอบบัลลังก์ให้แก่หยูเวิ่นเต้าแล้ว ข้าจะเดินทางไปแคว้นฝานเป็นเพื่อนท่านเอง และคิดว่าจะจัดการกับฝานจื่อกุยสักหน่อย !

เอาล่ะ พอแค่นี้ก่อน…ว่าแต่ที่ท่านระเบิดวัดฟูจื่อทิ้งมีจุดประสงค์อันใดกัน ? ’

ฮองเฮาซั่งทอดพระเนตรจดหมายฉบับนี้จนจบ จากนั้นก็ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมองพระสวามี…

“ท่านอย่าได้หลงเชื่อวาจาของเจ้าอ้วนนั่นเชียว ! เขาชอบรังแกผู้อื่น ! เขาต่างหากเล่าที่ทำว่าวกระดาษลอยไปติดหลังว่าวของภรรยาฝานจื่อกุย…อ่า…ไม่สิ เจ้าอ้วนทำให้ข้าเวียนศีรษะเจียนจะเป็นลม ! ”