ตอนที่ 1848

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,848 : รูปแบบที่ 2! ทะลวงผ่าน!

 

แทบจะพร้อมกันกับเสียงนุ่มนวลนี้ดังขึ้น ทั่วร่างจ้าวจินก็คล้ายจะเร่งเร้าโคจรปราณแรกกำเนิดขึ้นมาทันที! อนิจจาก่อนที่มวลปราณทั่วร่างจะทันได้แผ่พุ่งใช้ออก มวลพลังที่ขับเคลื่อนในเส้นชีพจรทั่วกายก็คล้ายจะดับสลายลงในพริบตา…

 

วูบหนึ่งก่อนมวลปราณแรกกำเนิดทั่วกายของมันจะสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยนั้น ปรากฏเสี้ยวจันทร์เลือนลางที่พุ่งพาดผ่านลำคอของมันไป…

 

และเมื่อเสี้ยวจันทร์ดังกล่าวพาดผ่านลำคอไปแล้ว ร่างจ้าวจินก็หงายหลังไปนอนแน่นิ่งทันที…

 

“ผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับ มันก็เท่านี้…!”

 

เสียงนุ่มนวลดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะหายไป

 

พร้อมกันนั้นเองประตูห้องโถงหลัก กระทั่งหน้าต่างทุกบานก็เริ่มเปิดออกอีกครั้ง เมื่อแสงตะวันสาดส่องเข้ามา…ภาพเรื่องราวในห้องโถงหลักก็กลับมากระจ่างสดใส!

 

กลางห้องโถงหลักปรากฏร่างชรานอนหงายจมกองโลหิต เห็นชัดว่าเป็นศพไร้วิญญาณศพหนึ่ง…

 

เจ้าของศพไม่ใช่ใครที่ไหน ผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวจิน ขอบเขตพลังฝึกปรือเซียนปฐพีขั้นต้น…

 

ตอนนี้มันนองจมกองเลือดโดยมีคอหอยถูกปาดไปกว่าครึ่ง!

 

นอกจากแผลถูกปาดคอแล้ว หว่างคิ้วของมันปรากฏหนึ่งหยดแดง! สังเกตให้ดีกลับเป็นหยาดโลหิตเล็กๆหยดหนึ่ง!!

 

ตอนนี้หากมีผู้ใดใช้สำนึกเทวะตรวจสอบหว่างคิ้วจ้าวจินให้ดี จะพบว่ามีรูเล็กๆที่ราวกับเส้นผ่านศูนย์กลางของสายพิณปรากฏอยู่ รูดังกล่าวยังแทงทะลวงหว่างคิ้วจนไปผุดโผล่ท้ายทอย!

 

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

 

เมื่อแสงตะวันส่องโถงสว่างไสวแล้ว องครักษ์เกราะทมิฬหลายนายก็พุ่งเข้าไปทันที

 

คนหนึ่งสะบัดมือใช้พลังไร้สภาพหอบหิ้นร่างจ้าวจินทั้งควบคุมไม่ให้เลือดจากลำคอมันทะลักเลอะ อีกคนหนึ่งใช้พลังระเหยโลหิตจนแห้งค่อยม้วนพรหมปูพื้นโถงออก ส่วนคนสุดท้ายก็นำพรมใหม่ที่เตรียมไว้แต่แรกมาพาดปู

 

เมื่อกลิ่นโลหิตที่ยังฟุ้งในห้องโถงค่อยๆถูกสายลมพัดพาระบายออก ไม่นานห้องโถงหลักก็หวนคืนสู่ความสงบเรียบร้อย คล้ายไม่มีเรื่องราวใดๆเกิดขึ้น

 

“เจ้าเฒ่านี่ดูเหมือนจะเป็นผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับ…”

 

องครักษ์เกราะทมิฬที่หอบหิ้วร่างจ้าวจิน กล่าวกับสหายที่ถือพรมเปื้อนโลหิตขณะเดินออกจากโถงหลัก

 

“ใช่ เห็นว่ามันเรียกจ้าวจิน อันใดนี่ล่ะ…”

 

สหายพยักหน้า

 

“เห็นว่าผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับทั้ง 2 คนล้วนบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีขั้นต้นแล้ว…แต่เวลาที่ประตูหน้าต่างโถงปิดตัวจวบจนเปิดออกอีกครั้งกลับผ่านไปไม่ถึง 3 ลมหายใจ…และด้วยบาดแผลที่ลำคอหว่างคิ้วเช่นนี้ มิพ้นผู้ลงมือต้องเป็นใต้เท้าเย่วอู๋หยิ่งแน่!”

 

อีกคนที่รับหน้าที่ปูพรมกล่าว

 

ขณะกล่าวถึงคำ เยว่อู๋หยิ่ง ลูกตามันก็เบิกกว้างทั้งทอประกายวาบ

 

“มิผิด ว่ากันว่าในตำหนักเมฆาครามของพวกเรา นอกจากท่านจ้าวตำหนัก ท่านอาวุโสหรงหยวน ท่านอาวุโสกู่มี่และท่านผู้บัญชาการแล้ว มิมีผู้ใดเคยเห็นท่านเยว่อู๋หยิ่งมาก่อน”

 

คนแรกสุดที่หอบหิ้วศพจ้าวจินกล่าว

 

และในวันเดียวกัน ก็มีความประกาศออกมาจากตำหนักเมฆาคราม

 

“ผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับจ้าวจินถูกประหาร เพราะล่วงเกินตำหนักเมฆาคราม!”

 

ข่าวนี้เมื่อแพร่ออกมาก็นับว่าสร้างความโกลาหลปั่นป่วนกันยกใหญ่

 

เพราะสุดท้ายแล้วผู้ที่ตายไปก็คือชนชั้นผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับ ยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีขั้นต้น!

 

ข่าวล่ามาแรงนี้ หลังประกาศออกมาไม่ทันพ้นครึ่งวันก็ล่วงรู้มาถึงตำหนักฟ้าลี้ลับ!

 

เหล่าอาวุโสระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับ โดยมีเมิ่งฉิงเป็นผู้นำก็เร่งรุดมาประชุมหารือกันอีกครั้ง

 

ครั้งสุดท้ายที่ทุกคนมารวมตัวกันเป็นเพราะการตายของรองจ้าวตำหนักอย่างจ้าวเติง ทว่าวันนี้พวกมันกลับต้องมารวมตัวกันอีกครั้งเพราะการตายของจ้าวจิน ผู้พิทักษ์ของพวกมัน!

 

การตายของพ่อลูกสกุลจ้าว พาลให้ไก่สุนัขของตำหนักฟ้าลี้ลับเตลิดกันหมด

(อารมณ์ประมาณว่าวุ่นวายมาก! ไม่ใช่แค่คน แต่กระทั่งไก่สุนัขยังพลอยแตกตื่นไปด้วย)

 

“ข้าเชื่อว่าตอนนี้ทุกคนคงรับทราบเรื่องผู้พิทักษ์จ้าวกันแล้ว…ว่าไปล่วงเกินตำหนักเมฆาครามจนถูกประหาร!”

 

เมิ่งฉิงกล่าวออกเสียงเครียด สีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

 

ยังจะให้ดูดีได้อย่างไร

 

จ้าวจินเป็น 1 ใน 2 ผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพี หนึ่งในเสาหลักของตำหนักฟ้าลี้ลับ!

 

ตอนนี้เมื่อจ้าวจินตกตาย ก็เสมือนเสาหลักต้นหนึ่งของตำหนักฟ้าลี้ลับทลายลง!

 

“ใช่”

 

ทุกคนพยักหน้า

 

“เรื่องนี้ทุกท่านคิดเห็นเช่นไรบ้าง?”

 

เมิ่งฉิงกล่าวถามออกมาอีกครั้ง

 

“ข้าคิดว่าผู้พิทักษ์จ้าวต้องไม่ลงมือวู่วามเป็นแน่ สมควรมีเรื่องเข้าใจผิด!”

 

รองจ้าวตำหนักคนหนึ่งกล่าวออก

 

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น!”

 

หลายคนเห็นด้วยกับมัน

 

“ผู้พิทักษ์กู่ แล้วท่านเล่าคิดเห็นเช่นไร?”

 

เมิ่งฉิงหันไปมองถามกู่ซืออวิ๋น ที่ยังคงนิ่งเงียบ

 

“ข้ากลับไม่เห็นด้วยเหมือนทุกคน…นอกจากนี้ข้าไม่คิดว่าตำหนักเมฆาครามจะลงมือกับผู้พิทักษ์จ้าวอย่างไร้เหตุผล”

 

กู่ซืออวิ๋นตอบ

 

“เรื่องนี้ข้าเองก็สงสัยเช่นเดียวกัน…ข้าจึงคิดจะไปเยือนตำหนักเมฆาครามและตรวจสอบเรื่องราวดูสักครา”

 

ลูกตาเมิ่งฉิงทอประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง

 

“ท่านจ้าวตำหนักอย่าได้!”

 

“ไม่อาจทำได้! ท่านจ้าวตำหนัก!!”

 

 

หลายคนถึงกับแตกตื่นไม่น้อย เร่งกล่าวห้ามออกมายกใหญ่

 

ล้อกันเล่นหรือไง!

 

เห็นๆกันอยู่ว่าผู้พิทักษ์จ้าวตายในตำหนักเมฆาคราม!

 

หากจ้าวตำหนักของพวกมันตามไปตรวจสอบเรื่องราวที่ตำหนักเมฆาคราม แล้วถูกฆ่าตายอีกคนขึ้นมา เช่นนั้นตำหนักฟ้าลี้ลับพวกมันจะยืนหยัดอยู่ต่อไปได้อย่างไร อนาคตของพวกมันจะลงเอยอย่างไรกัน?!

 

ตำหนักฟ้าลี้ลับที่ไม่มีเมิ่งฉิง ก็เหมือนพยัคฆ์ไร้เขี้ยว!

 

หากจ้าวตำหนักล้มลงอีกคน เช่นนั้นก็เสมือนไม้ใหญ่หักโค่น ฝูงลิงที่อยู่บนต้นไม้ไม่วายแตกฮือ!

 

เช่นนั้นพวกมันยินยอมปล่อยเรื่องราวนี้ไปแบบนี้ดีกว่า ที่จะให้จ้าวตำหนักไปเสี่ยงตาย!

 

เพราะเมิ่งฉิงไม่เพียงแต่จะเป็นจ้าวตำหนักของพวกมันเท่านั้น ยังเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดของตำหนักฟ้าลี้ลับอีกด้วย!

 

“อย่าได้บอกข้าว่าพวกเราจำต้องปล่อยเรื่องราวให้มันผ่านไปเช่นนี้! หากผู้คนรู้ว่าตำหนักฟ้าลี้ลับเราไม่ทำอันใดสักอย่างจะให้พวกมันมองพวกเราว่าอย่างไร?”

 

เมิ่งฉิงกล่าวออกเสียงเข้ม

 

ทันใดนั้น หลายคนก็เงียบไปทันที

 

“ท่านจ้าวตำหนัก…”

 

ในที่สุดก็เป็นกู่ซืออวิ๋นที่ปริปากกล่าวออกมาทำลายความเงียบว่า “ให้ข้าไปเถอะ…หากข้ากลับมาอย่างปลอดภัยหลังจากไปเยือนตำหนักเมฆาคราม นั่นหมายความว่าตำหนักเมฆาครามไม่ได้คิดมีเรื่องราวบาดหมางกับตำนักฟ้าลี้ลับของพวกเรา แต่หากข้ามิกลับมานั่นหมายความว่าตำหนักเมฆาครามเจตนารบกับเรา!”

 

ในห้วงเวลาวิกฤตกลับมีเพียงกู่ซืออวิ๋นคนเดียวที่ยืนหยัดขึ้นมา

 

สุดท้ายหลังจากถูกห้ามปรามจากอาวุโสทั้งหลาย เมิ่งฉิงก็ได้แต่ล้มเลิกความตั้งใจไปเยือนตำหนักเมฆาครามด้วยตัวเอง..

 

ได้แต่ปล่อยให้กู่ซืออวิ๋น ผู้พิทักษ์คนสุดท้ายออกไป!

 

การเดินทางไปกลับตำหนักเมฆาครามของกู่ซืออวิ๋นกินเวลาไปทั้งสิ้น 10 วันเท่านั้น

 

และเมื่อกู่วืออวิ๋นกลับมา บรรดาอาวุโสระดับสูงทั้งหลายไม่เว้นเมิ่งฉิงก็รีบมารวมตัวกันอีกครั้งทันที

 

“เรียนท่านจ้าวตำหนัก การไปเยือนตำหนักเมฆาครามครั้งนี้อีกฝ่ายต้อนรับขับสู้ข้าเป็นอย่างดี…กระทั่งท่านจ้าวตำหนักเมฆาคราม ต้วนหรูเฟิง ก็ออกมาให้การต้อนรับข้าด้วยตัวเอง จ้าวตำหนักต้วนยังกล่าวอีกว่าหากว่าง จะมาเยี่ยมเยียนตำหนักฟ้าลี้ลับเราในฐานะแขก แถมจ้าวตำหนักต้วนยังกล่าวบอกอีกว่าหากท่านจ้าวตำหนักให้เกียรติไปเยือนตำหนักฟ้าลี้ลับ ท่านจ้าวตำหนักต้วนจักให้การต้อนรับท่านอย่างดีด้วยตัวเอง…”

 

กู่ซืออวิ๋นกล่าวบอกเรื่องราวแก่เมิ่งฉิงต่อหน้าทุกคน

 

ทันใดนั้นใบหน้าที่ขึงตึงของเมิ่งฉิงก็พอได้ผ่อนคลายลง

 

“แม้พวกเราจะรู้กันดีว่าการผงาดขึ้นมาของตำหนักเมฆาครามนั้นรวดเร็วนัก แต่เสียงลือกันว่าจ้าวตำหนักเมฆาครามผู้นี้ก็มิใช่คนที่นิยมใช้กำลังข่มเหงรังแกผู้คนที่อ่อนแอกว่า…มาตอนนี้นับว่าพวกเราได้รับรู้แล้วว่าที่แท้จ้าวตำหนักเมฆาครามเป็นเช่นไร นับว่าไม่หยิ่งยโสเท่าที่คิด…กระทั่งยังมากอัธยาศัยนัก!”

 

“ใช่! จากที่ท่านผู้พิทักษ์กู่กล่าวมา ไม่คล้ายจ้าวตำหนักต้วนเป็นคนไร้เหตุผลอะไร…กระทั่งยังออกมาต้อนรับท่านผู้พิทักษ์กู่ด้วยตัวเองทั้งๆที่จำหนักเมฆาครามพึ่งมีเรื่องราวกับผู้พิทักษ์จ้าว กระทั่งยังกล่าวราวให้เกียรติตำหนักฟ้าลี้ลับของเรานัก”

 

“ในความคิดข้า เกรงว่าเรื่องราวครั้งนี้สมควรเป็นผู้พิทักษ์จ้าวต้องไปก่อเรื่องอันใดไว้แน่…กระทั่งเรื่องที่ก่อ ยังมิน่าจะใช่เรื่องเล็กน้อยเสียแล้ว!”

 

ในบรรดาอาวุโสระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับต่างกล่าวเสนอความเห็นออกมากันมากมาย และจากวาจาไม่มีใครถือหางจ้าวจินแม้แต่น้อย แลดูจะเข้าข้างตำหนักเมฆาครามด้วยซ้ำ

 

“ผู้พิทักษ์กู่ แล้วท่านได้ถามถึงสาเหตุการลงมือครั้งนี้จากจ้าวตำหนักต้วนหรือไม่?”

 

เมิ่งฉิงมองกู่วืออวิ๋นอีกครั้ง กล่าวถามออกมาด้วยท่าทางสงสัย

 

“ข้าย่อมถาม”

 

กู่ซืออวิ๋นพยักหน้า “เรื่องนี้ข้ากล่าวถามท่านจ้าวตำหนักต้วนโดยตรง…จากที่ท่านจ้าวตำหนักต้วนกล่าว เห็นว่าวันนั้นอยู่ดีๆจ้าวจินก็บุกรุกเข้ามาในเขตทะเลสาบผานหลง และถามหาจ้าวเติงกับหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬที่ทำการลาดตระเวนอยู่ตอนนั้น…พอหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬทราบเรื่อง ก็บอกให้ผู้พิทักษ์จ้าวรอคอสักพัก…”

 

“เพราะองครักษ์เกราะทมิฬไม่อาจละทิ้งหน้าที่ลาดตระเวนไปได้ จึงคิดรอให้หมดกะเวลา ค่อยเข้าไปสอบถามที่ศูนย์บัญชาการว่าเป็นหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬหมู่ใดที่ลาดตระเวนในช่วงเวลานั้น จะได้ถามหาคนให้ผู้พิทักษ์จ้าว…อนิจจาผู้พิทักษ์จ้าวคิดว่าองครักษ์เกราะทมิฬไม่ไว้หน้า ยังบันดาลโทสะลงมือฆ่าคน!”

 

“เช่นนั้นหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬหมู่ดังกล่าว จาก 10 คนก็มีแต่สือฟูฉางที่สามารถรอดตายได้อย่างหวุ่นหวิด! ส่วนองค์รักษ์เกราะทมิฬอีก 9 คนล้วนตกตายอนาถด้วยน้ำมือของผู้พิทักษ์จ้าว…ด้วยเหตุนี้ยอดฝีมือของตำหนักเมฆาครามจึงออกโรงและลงมือสังหารผู้พิทักษ์จ้าวเสีย…”

 

กู่ซืออวิ๋นกล่าวเล่าเรื่องราวออกมารวดเดียวจบ นับเป็นการโกหกหน้าตาย กระทั่งตายังไม่กระพริบแม้แต่น้อย

 

อย่างไรก็ตามแม้มันจะแต่งเรื่องโกหกออกมา แต่มันไม่รู้สึกละอายสักนิด!

 

“บัดซบ! นี่มันจะมากเกินไปแล้ว! ไฉนผู้พิทักษ์จ้าวถึงเหลวไหลเช่นนี้!!”

 

“ผู้พิทักษ์จ้าวสูญเสียลูกหลานไม่พอยังสูญเสียสติไปแล้วหรือไร! ถึงได้ลงมือวู่วามเช่นนั้น!!”

 

“นั่นสิ! ผู้พิทักษ์จ้าวลงมือฆ่าคนเหลวไหลเช่นนี้ หากตำหนักเมฆาครามไม่ฆ่า แล้วจะให้ผู้ใดฆ่ากัน?”

 

……

 

‘การกระทำ’ ของจ้าวจินนับว่าทำให้ผู้คนมีโมโหแล้วจริงๆ อาวุโสระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับอดไม่ได้ที่จะก่นด่าทั้งตำหนิมัน

 

แม้เมิ่งฉิงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับจะไม่พูดอะไร หากแต่มองจากหว่างคิ้วที่ขมวดย่นเป็นปมก็รู้ได้ทันทีว่าในใจมีโทสะต่อการกระทำของจ้าวจินไม่น้อย

 

ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครเคลือบแคลงสงสัยกู่ซืออวิ๋นเลย

 

นั่นเพราะพวกมันไม่มีใครคิดใครฝันว่ากู่ซืออวิ๋นจะปั้นน้ำเป็นตัวออกมาได้หน้าตายเช่นนี้!

 

แต่แน่นอนว่าเรื่องราวก่อนหน้านี้เป็นความจริงทั้งหมด

 

มันไปเยือนตำหนักเมฆาครามคราวนี้ จ้าวตำหนักเมฆาครามออกมาต้อนรับขับสู้มันด้วยตัวเองเป็นอย่างดีจริงๆ!

 

อย่างไรก็ตามที่อีกฝ่ายให้หน้าและปฏิบัติต่อมันด้วยดีราวกับมันเป็นแขกผู้มีเกียรติ ไม่ใช่เพราะฐานะผู้พิทักษ์ตำหนักฟ้าลี้ลับแต่อย่างใด…แต่เป็นเพราะมันคือบิดาของ ‘กู่ลี่’ และมันเคยดูแลต้วนหลิงเทียนมาก่อน!

 

ด้วยประการฉะนี้ เรื่องราวการตายของจ้าวจินก็ปิดฉากลง…

 

ตำหนักฟ้าลี้ลับไม่คิดสืบสาวราวเรื่องอะไรอีกต่อไป

 

และต้องกล่าวเลยว่าเมื่อจ้าวจินกับจ้าวเติงตกตายไปแบบนี้ ตระกูลจ้าวที่เสีย 2 เสาหลักที่ค้ำยันไป ก็เริ่มตกต่ำลงทันตาเห็น!

 

ไม่กี่วันต่อมาตระกูลจ้าวก็ล่มสลายลง กลายเป็นศิษย์สามัญทั่วไปในตำหนักฟ้าลี้ลับ ไร้ซึ่งอำนาจใดๆอีกต่อไป…บางคนก็ถูกผู้คนรุมกระทืบจนยับ ด้วยเคยใช้อำนาจรังแกผู้อื่นเอาไว้…

 

ณ เขตที่พักส่วนตัวของต้วนหรูเฟิง จ้าวตำหนักเมฆาคราม

 

บ้านลานแห่งหนึ่งที่เงียบสงบปราศจากผู้ใดแวะเวียนผ่านมารบกวน

 

ในมุมเล็กๆหนึ่งบริเวณหลังหัวเตียง ปรากฏฝุ่นเม็ดเล็กๆที่ยากจะมีผู้ใดสังเกตเห็นตั้งอยู่อย่างเงียบงัน แต่หามีใครรู้ไม่ว่าในฝุ่นเม็ดเล็กนั้น กลับมีอีกโลกอยู่ภายใน

 

“ฮ่าๆๆๆ…ในที่สุดการยกระดับเป็นรูปแบบที่ 2 ก็เสร็จสมบูรณ์เสียที!”

 

เสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เป็นต้วนหลิงเทียนที่สามารถปรับแต่งปีกอีกาทองคำให้กลายเป็นปีกอีกาทองคำรูปแบบที่ 2 ได้สำเร็จ!

 

“ในที่สุดก็ได้เวลาที่ข้าจะทะลวงขอบเขตอริยะเซียนแล้ว!”

 

เมื่อปีกอีกาทองคำถูกปรับแต่งให้กลายเป็นรูปแบบที่ 2 ได้แล้วเสร็จ นั่นหมายความว่าต้วนหลิงเทียนก็ไม่จำเป็นต้องระงับพลังฝึกปรือเอาไว้อีกต่อไป!

 

เช่นนั้นหลังจากใช้เวลา 3 วัน 3 คืนในเจดีย์ ต้วนหลิงเทียนก็ชักนำพลังให้พุ่งทะลวงด่านที่สมควรทะลวงผ่านได้เนิ่นนานสำเร็จ!

 

“อริยะเซียนขั้นต้น!”

 

อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนกลายเป็นตื่นเต้นยินดีไม่น้อย เมื่อสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพของปราณสุริยันแรกกำเนิดในร่าง

 

‘ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าสามารถใช้เวทย์พลังปีกอีกาทองคำได้…และสามารถทำความเข้าใจเพื่อเพาะสร้างต้นแบบเวทย์พลัง ‘ปฐมเวทย์กลืนกิน’ ได้เสียที!’