TB:บทที่ 276 ไม่เชื่อฟังคำสั่ง

 

เมื่อเห็นว่า ฟางเจ่อเจี่ยจ้องเขาอยู่ เฉินหลงก็ยิ้มออกมา

“ชายคนนี้ช่างแข็งแกร่งนัก หากว่าเราแยกตัวกระจายกันไปจะไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้เขาได้ เรามาแบ่งเป็นสามกลุ่มเถอะ แล้วเราจะไปตามหาเขาที่นั่น หากว่าเจออะไรแล้ว จงส่งสัญญาณในทันที” เขาว่า

หลังจากนั้น เฉินหลงได้ยินแผนการที่ว่าพวกมันจะแยกกันเป็นสามกลุ่มและเริ่มต้นตามหาพวกเขา

เมื่อได้ยินว่าพวกคนข้างบนออกไปกันแล้ว ฟางเจ่อเจี่ยเริ่มจะกระซิบ “นี่นายฆ่าทหารซุปเปอร์แมนทั้งสามนั้นหรือ”

 

“ใช่” เฉินหลงพยักหน้า

“พวกมันเป็น “ทหารซุปเปอร์แมน” แม้ว่าพลังของพวกมันจะไม่ได้สูงที่สุด แต่พวกมันก็มีพละกำลังเทียบเท่ากับชายที่แข็งแรงระดับเจ็ด นายฆ่าพวกมันง่ายๆเช่นนั้นได้อย่างไร” ฟางเจ่อเจี่ยมองเฉินหลงด้วยความประหลาดใจ

“พลังของพวกเขาเป็นระดับเจ็ดแล้วอย่างแน่นอน ทว่าพวกเขายังต้องอาศัยยีนส์ของเอเลี่ยนเพื่อให้มีพลังถึงระดับเจ็ด เมื่อเปรียบเทียบกับปรมาจารย์ที่มีพลังระดับเจ็ดที่ต้องอาศัยความพยายามเพื่อพัฒนาแล้ว พวกเขายังอ่อนด้อยกว่ามาก ใครก็ตามที่มีพลังถึงระดับเจ็ดด้วยความพยายามของตนเองสามารถจะอัดพวกนั้นได้” เฉินหลงกล่าวอย่างสบายๆ

 

เมื่อเห็นสีหน้าของเฉินหลงที่ฆ่าเจสันและพวกอีกสามตัวนั้นแล้ว ฟางเจ่อเจี่ยแทบไม่เชื่อเรื่องที่เขาว่า

แน่ละหากเขารู้ว่าเฉินหลงฆ่ามดที่มีพลังระดับเจ็ดไปเป็นพันๆตัวในอาณาจักรคุนหลุนแล้ว เขาก็คงไม่เชื่อ

“นี่นายดูถูกพวกนักรบยอดมนุษย์หรือ” ฟางเจ่อเจี่ยไม่ชอบใจเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นว่าเฉินหลงไม่ได้ใส่ใจพวก “ทหารซุปเปอร์แมน” เพราะในที่สุดแล้วแผนการนี้ได้กินเวลาที่เขาทำงานหนักไปหลายปี แล้วในตอนนี้เฉินหลงไม่ได้สนใจพวก “ทหารซุปเปอร์แมน” เขาจึงไม่ชอบใจเท่าไหร่

 

“ไม่ใช่ว่าผมดูถูกพวกนั้น แต่พวกนั้นอ่อนแอจริงๆต่างหาก และถึงมีแค่ผมคนเดียว ผมคงฆ่าพวกมันหมดได้ทั้งสิบเจ็ดคน” เฉินหลงมีท่าทีใจเย็น

แม้ว่าคลีฟและพวกทั้งสี่ของเขาจะมีพลังอยู่ในระดับ “หลอมรวมธรรมชาติ” ทว่าระดับ “สภาพหลอมรวมธรรมชาติ” เช่นนี้กลับไม่ได้มีความเข้าใจ “พลังธรรมชาติ” อยู่เลย เฉินหลงไม่รู้ว่าเขาฆ่าที่ “อาณาจักรคุนหลุน” ไปมากเท่าไร แต่ที่นี่ก็ไม่ได้มีภัยอันตรายอะไรต่อเฉินหลงเลย ยิ่งไปกว่านั้น ร่างอมตะของเฉินหลงยังไร้พ่ายด้วย หากเป็นพลังระดับต่ำกว่าปรมาจารย์แห่งดวงดาว โดยทั่วๆไป เขาไม่ต้องใส่ใจสิ่งใดทั้งนั้น

 

“เป็นเรื่องจริงหรือ” ฟางเจ่อเจี่ยไม่เชื่อคำของเฉินหลงอีกต่อไป

“แน่นอน อีกอย่างนะ โครงการซุปเปอร์แมนไม่ได้มีประโยชน์อะไรนักหรอก ถึงนายจะเสียเวาลาไป แต่พวกเราก็ยังมีคนที่แข็งแกร่งจำนวนมากที่จีนอยู่ดี กล่าวได้ว่าไอ้พวกข้างบนนี่ที่ไม่ใช่มนุษย์” เฉินหลงเป็นผู้สร้างสรรค์ “นิวเวิร์ล” ออกมาและเขายังมี “หินแห่งแสง” ที่สามารถผลิตเป็นครั้งๆได้อีก โดยปกติแล้วเขาไม่ต้องไปใส่ใจอะไรกับแผนการซุปเปอร์แมน

 

“แต่ว่าเรื่องนี้ต้องใช้เวลา เยอะมากด้วยเพื่อจะพัฒนาเป็นปรมาจารย์ในนิวเวิร์ล ทว่าโครงการซุปเปอร์แมนสามารถจะยกระดับพลังของประเทศได้อย่างรวดเร็ว แถมยังมีข้อดีของมันเองด้วย” เมื่อเขาได้ยินที่เฉินหลงบอกว่า “แผนการซุปเปอร์แมน” นั่นแทบจะไม่มีค่าอะไร เขาจึงต้องกล่าวไปอย่างอดไม่ได้

“นายคิดว่าพวกข้างบนพวกนั้นที่ไม่ใช่มนุษย์และก็เป็นผีที่ไม่ใช่ผีจะมีประโยชน์หรือ ในอดีตพวกเขาอาจเคยเป็นทหารดีๆแต่หลังจากพวกเขาได้รับยีนส์จากเอลี่ยนเข้าไปในยีนส์ของตัวเองแล้ว พวกเขาก็ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป บางทีพวกเขาอาจจะไม่เชื่อฟังคำสั่งด้วย” เฉินหลงยิ้ม

 

ฟางเจ่อเจี่ยครุ่นคิดเรื่องที่เขาว่าครู่หนึ่ง เขาไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรต่อ เขาทำได้เพียงถามชื่อเฉินหลง “จะว่าไป ฉันยังไม่รู้เลย นายชื่ออะไรหรือ”

“ชื่อของผมคือเฉินหลง” เฉินหลงว่าพร้อมกับรอยยิ้ม

“เฉินหลงนายฆ่า “ทหารซุปเปอร์แมน” ทั้งหมดได้จริงหรือ” จากที่กล่าวมา ฟางเจ่อเจี่ยไม่ปักใจเชื่อ เขาคิดว่าเฉินหลงเพียงแค่คุยโตและเขาต้องการจะทำให้เฉินหลงอับอาย

 

ฟางเจ่อเจี่ยคิดอย่างรอบคอยแล้วแต่เขาก็ไม่รอดพ้นสายตาเฉินหลงไปได้ แต่เขาก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร เฉินหลงยังต้องการจะทำให้เขาเห็นด้วย “คุณอยากจะเห็นจริงไหมละ”

“ฉันอยากเห็น แต่ไม่ต้องมาทำกล้าหาญเลยนะ ฉันไม่ต้องพึ่งพาให้นายพากลับบ้านหรอก” เมื่อฟางเจ่อเจี่ยมองเฉินหลงที่กำลังจะทำอะไรบางอย่างจริงๆ เขาจึงรีบกล่าวไป แต่เขายังไม่ค่อยจะเชื่อ เขาจึงรีบกล่าวไป เขาไม่อยากจะมีปัญหากับเฉินหลงคนที่เดินทางมาไกลเพื่อช่วยเขา หากว่ามีอะไรเกิดขึ้นเขาคงรู้สึกผิด

“ไม่ต้องกังวลไป ผมคิดมาแล้ว จะว่าไปคุณจะขึ้นไปกับผมและดูผมจัดการไหม” สีหน้าเฉินหลงมีความจริงใจ

“เอาเลย ฉันจะรออยู่ที่นี่” เขามองสีหน้าเฉินหลง ฟางเจ่อเจี่ยหวั่งเกรงจากใจจริงว่าเขาจะทำเช่นนั้นเสียเอง

หากว่าเขาไม่ไปกับเฉินหลง เขาก็ไม่ต้องการจะออกจากถ้ำไป

อย่างไรเสีย ในตอนนั้นเองที่เฉินหลงได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์ที่บินอยู่เบื้องบน เฮลิคอปเปอร์นั่นหยุด

เฮลิคอปเตอร์ลงจอดช้าๆ

“กัปตันคลีฟ ผมคือพันตรีโคลแมน หากว่าคุณได้ยินผม โปรดมารวมตัวที่นี่” เสียงของโคลแมนดังมาจากลำโพงบนเครื่องบิน

 

จากนั้นโคลแมนก็พูดซ้ำอีกสองสามครั้ง แล้วพวกเขาก็รอให้คลีฟมา

แน่นอนว่า ก่อนหน้านั้น คลีฟได้โผล่มาต่อหน้าพันตรีโคลแมนพร้อมกับทีมของเขา

“พันตรี”

คลีฟทำท่าทักทายโคลแมน

“กัปตันคลีฟ ผมไม่ได้บอกหรือว่าให้อยู่ที่ฐาน ทำไมคุณจึงอยากจะออกมาจากฐานพร้อมกับทีมด้วย” โคลแมนมีท่าทีจริงจัง

ภาระหน้าที่จำเป็นของทหารคือต้องเชื่อฟัง คลีฟมักจะคิดว่าเขาเป็นทหารที่ดี แต่ในครั้งนี้เขาไม่เชื่อฟังคำสั่ง และนั่นทำให้โคลแมนไม่ชอบใจเล็กน้อย

“พันตรี เจสัน และอีกสสองคนโดนฆ่าไปแล้ว ฆาตกรอยู่ในภูเขาป่าไม้ เราต้องการจะตามหาเขาเพื่อแก้แค้นให้เจสัน” คลีฟบอกเหตุผลไป

 

โคลแมนประหลาดใจที่ได้ยินว่าเจสันและคนทั้งสามได้ตายไป ทว่านี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะไม่เชื่อฟังคำสั่ง “ผมเศร้านะที่เจสันและอีกสองคนโดนฆ่า แต่พวกเขาเป็นทหารที่ยอดเยี่ยมและตัดสินใจไว้อย่างดีแล้วว่าจะตายเพื่อประเทศชาติ แม้ว่าเขาจะรู้จักคนทั้งสามที่โดนฆ่าไป แต่คุณก็บอกผู้บัญชาการก่อนได้ แล้วค่อยจัดการตามที่ผู้บัญชาการบอก แทนที่จะออกมาจากฐานและท้าทายคำสั่งแบบนี้”

“หากว่าคุณถามพันตรีละก็ นั่นจะต้องใช้เวลา และจะไม่ช่วยให้เราหาฆาตกร ดังนั้นผมเลยต้องออกไปจากฐานโดยไม่ได้รับอนุญาต เจสันและคนทั้งสสองเป็นการทดลองที่สำคัญสำหรับคุณ พันตรี แต่สำหรับเรา พวกเขาเป็นพี่น้องที่แสนสนิทในอ้อมแขนของเรา และเราจะแก้แค้นให้พวกเขาอย่างแน่นอน” คลีฟส่ายหน้า

 

หลังจากที่ได้ยินคำของคลีฟแล้ว โคลแมนก็พบว่าก่อนที่เขาจะยอมรับการทดลองนี้ เขาก็เป็นคนรักชาติอย่างที่สุดและเป็นทหารที่ทุ่มเท นี่ดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดีเสียแล้ว

“กัปตันคลีฟ คุณตามหาเขามาสักพักแล้วและยังตามหาเขาไม่เจอ เป็นเช่นนี้แล้ว ไปเถอะกลับฐานไปก่อน ผมจะให้ทหารไปปูพรมตามหาและจับฆาตกรนั่น” การเปลี่ยนท่าทีของคลีฟทำให้น้ำเสียงของโคลแมนอ่อนโยน