เป๊ง เป๊ง เป๊ง

หลังเสียงตีระฆังตามครั้งติด คนแคระภายนอกอารามแห่ง “พระเจ้าแห่งการช่าง” ต่างพากันหยุดนิ่ง กำมือขวาแน่น แล้วก็ออกหมัดชกและสวดไปพร้อมๆ กัน

“พระเจ้าแห่งไอน้ำผู้ยิ่งใหญ่ ท่านผู้เป็นเจ้าแห่งเครื่องจักร ท่านผู้ควบคุมศิลปะแห่งการช่าง ผู้มอบความแข็งแกร่งและความกล้าหาญกับพวกเรา…”

แคทริน่าที่กำลังจะถอยกลับก็ต้องตกใจเล็กน้อย พระเจ้าแห่งการช่างเป็นพระเจ้าแห่งไอน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่? ดูเหมือนสภาไม่ได้สนใจกับดินแดนคนแคระที่นี่มากพอ

“แต่ ‘พระเจ้าแห่งไอน้ำ’ ที่นี่ดูต่างจาก ‘พระเจ้าแห่งไอน้ำ’ ที่คนแคระนักประดิษฐ์ในเรนทาโตบูชา ท่าทางและถ้อยคำในบทสวดไม่เหมือนกันเลย” แคทริน่าเคยเจอคนแคระจากมิติภูเขารัตติกาล ตอนที่นางกับเพื่อนๆ รอนแรมเข้าไปในเรนทาโตและเข้าไปในโรงงานผลิตสิ่งประดิษฐ์ ท่าแปลกๆ ที่ปิดตาเวลาสวดมนต์ทำให้นางประทับใจไม่ลืม

นางมองไปรอบๆ และพบว่าทั้งมนุษย์ มนุษย์หมาป่า เอลฟ์ และเผ่าพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่คนแคระต่างก็หยุดเดิน แม้จะไม่ได้ร่วมสวด แต่ก็เห็นได้ว่าพวกเขาไม่อยากรบกวนพิธีกรรมยามเที่ยงวันของคนแคระ นางจึงคิดอยู่ในใจ ดูจากปฏิกิริยาของพวกเขา พระเจ้าแห่งการช่างคงกลายเป็นพระเจ้าแห่งไอน้ำมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว

เสียงสวดมนต์ ซึ่งค่อยๆ ประสานพร้อมเพรียงกัน สร้างเสียงสะท้อนที่แปลกประหลาด แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้นับถือศรัทธาก็สัมผัสได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ แต่บรรยากาศกับอบอวลไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ชวนคลื่นเหียน

นั่นเป็นลักษณะที่โดดเด่นของดูมิวต์ คนแคระไม่ได้ชื่นชอบเพียงการดื่มเบียร์เอลเท่านั้น แต่ยังหลงใหลเหล้าเลิศรสทุกชนิด พ่อค้าที่เดินทางมาที่นี่ส่วนใหญ่มาเพื่อนำไวน์มาแลกเปลี่ยนกับแร่และสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ของคนแคระ

คนแคระซึ่งถูกนักเวทดัดแปลงสายเลือดต่างคุยโวถึงพลังวิญญาณพื้นฐาน ด้วยทักษะและพรสวรรค์ในฝีมืองานช่าง จึงไม่ใช่เรื่องยากที่พวกเขาจะสร้างอุปกรณ์ระดับฝึกหัด แต่อุปกรณ์ระดับล่างและระดับกลางต้องใช้คนแคระที่ได้รับการปลุกพลังสายเลือดแล้วเท่านั้น นักเวทโบราณปรับเปลี่ยนสายเลือดของคนแคระ เพื่อให้ผลิตสิ่งประดิษฐ์ได้น้อยลงทั้งนี้ก็เพื่อรักษายุคของนักเวทให้ยาวนานยิ่งขึ้น

สำหรับอุปกรณ์ระดับอาวุโส มีคนแคระเพียงไม่กี่คนที่สามารถหลอมอุปกรณ์ระดับนี้ได้ และอัตราความสำเร็จต่ำกว่าของนักเวทมากนัก ในทางกลับกัน อุปกรณ์ระดับตำนาน จะสร้างขึ้นด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์และพรสวรรค์เฉพาะตัวของไฮต์ พระเจ้าแห่งการช่าง เท่านั้น แม้แต่โอคุน พระเจ้าแห่งความกล้าหาญ ก็ยังไม่สามารถทำได้

กลิ่นไวน์ลอยออกมาจากบ้านหนังต่างๆ เมื่อปะปนกันแล้ว ดูเหมือนว่าแค่กลิ่นก็สามารถทำให้คนที่ไม่ใช่นักดื่มเมามายได้ อย่างไรก็ดี แคทริน่าคอแข็งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรเพราะนางเกิดในจักรวรรดิชาชราน นางไม่ได้รู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด แต่กลับกัน นางกับสูดหายใจเข้าเต็มปอดและหรี่ตาเล็กลง

หลังจากการสวดมนต์ยามเที่ยงวัน แคทริน่าก็เดินแทรกผู้คนกลับไปยังโรงแรม นางปิดหน้าต่างและเริ่มเข้าฌานสมาธิ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับภารกิจคืนนี้ แม้ว่าพวกคนแคระจะตัวไม่สูงนัก แต่เหล่าคนแคระก็มีหัวใจรักในสถาปัตยกรรมที่งดงามและวิจิตรบรรจง ดังนั้น จึงไม่มีใครรู้สึกอึดอัดในเมืองดูมิวต์ หากไม่ได้ตัวสูงเหมือนยักษ์ บ้านที่สร้างจากหินในเมืองนี้มีความสูงเฉลี่ยถึงสี่เมตร

ไม่นานก็ถึงเวลาเที่ยงคืน หน่วยทหารคนแคระลาดตระเวนไปบนถนนด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว เนื่องจากจู่ๆ พระเจ้าแห่งการช่างก็กลับกลายเป็นพระเจ้าแห่งไอน้ำและลมล้างพระเจ้าแห่งความกล้า ดูมิวต์จึงไม่ได้สงบอย่างที่เห็น สถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดจากน้ำมือของ “พวกนอกรีต” ที่ต่อต้านพระเจ้าแห่งน้ำผู้ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ดังนั้น เมืองฮามินาจึงถูกจับตาดูอย่างใกล้ชิด

แคทริน่าวางวงเวทที่ช่วยกำจัดคลื่นพลังเวทมนตร์เสียก่อน แล้วนางกินเพิ่มพลังให้ตัวเองด้วยเวท ‘พรางกายขั้นสูง’ แม้ดูมิวต์ไม่ได้มีอคติต่อนักเวท แต่สิ่งที่นางกำลังจะทำเกี่ยวข้องกับพระเจ้าแห่งการช่าง ผู้นำทางจิตวิญญาณสูงสุดของคนแคระ นางจึงไม่อาจนิ่งนอนใจได้

แคทริน่ากระโดดลงบนพื้นอย่างนุ่มนวลราวกับขนนก และแอบย่องเข้าไปในวิหารพระเจ้าแห่งไอน้ำ ระหว่างทางเดิน นางคอยแหงนหน้าสังเกตดวงดาวและบรรยากาศโดยรอบ ขณะที่คำนวณพิกัดที่นางจะต้องวางรูปปั้นตามสูตรที่อาจารย์ของนางระบุไว้

“ทำไมสูตรนี้ต้องใช้พิกัดของวิหารสำคัญกับอาคารต่างๆ โดยรอบด้วยนะ?” แคทริน่าท่องจำตัวแปรที่ต้องใช้จนขึ้นใจ แต่นางก็ยังสงสัยกับรูปแบบการเปลี่ยนพิกัด ผลคำนวณจริงๆ เป็นอย่างไรกันแน่ แล้วทำไมถึงต้องใช้ตัวแปรแปลกๆ มากมาย?

อย่างไรก็ตาม เพราะนี่เป็นคำขอของอาจารย์ นางจึงไม่คิดมาก หลังจากเดินสำรวจอยู่นาน นางก็มาถึงพิกัดที่ต้องการ แล้วนางก็เดินเข้าไปหารูปปั้นสีขาวด้านตะวันออกเฉียงใต้ของพระเจ้าแห่งไอน้ำอย่างเงียบๆ

“นี่เป็นรูปปั้นของไฮต์สินะ?” แคทริน่าสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วน

คนแคระสวมเสื้อเกราะที่สลักรูปแบบศักดิ์สิทธิ์และถือค้อนยักษ์อยู่ในมือ เคราของเขายาวลงถึงช่วงอกและปกคลุมใบหน้า ภายในเบ้าตามีอัญมณีสะท้อนแสงไฟฝังอยู่สองชิ้น

“รูปปั้นที่อาจารย์ให้มาดูอุจาดตาไปเลยเมื่อเทียบกับรูปปั้นนี้…” แคทริน่าหยิบรูปปั้นเล็กๆ ที่ลูเซียนให้ออกมา แล้วนางก็ขบขัน “วิสัยทัศน์ถึงความงามของอาจารย์ ผันผวนตลอด”

รสนิยมของลูเซียนด้านดนตรี สถาปัตยกรรม และการออกแบบจันทรากาลนั่นไร้ข้อกังขา แนวคิดต่างๆ เช่น “เสียงแห่งอาร์คานา” ก็ทำให้คนมากมายต้องตกตะลึง แต่ส่วนใหญ่แล้ว ความคิดและการสร้างสรรค์ของเขาล้วนเป็นความงามที่แปลกประหลาดที่ไม่มีใครยอมรับ ตัวอย่างก็เช่นรูปปั้นคนแคระที่ทำจากโลหะส่วนต่างๆ มันก็ดูดีและคายความเย็นออกมาจากผิวหน้า แต่ก็มีหัวล้านใหญ่ที่เต็มไปด้วยรูปแบบที่น่าขนลุก จนทำให้ทุกคนที่เห็นต้องรู้สึกกลัว

รอยยิ้มหายไปจากใบหน้า แคทริน่าตั้งสมาธิและส่งรูปปั้นคนแคระหัวล้านให้ลอยเข้าไปยังกลางหัวใจของไฮต์ พระเจ้าแห่งการช่าง ตามคำสั่งของลูเซียน ก่อนที่นางจะได้เวทมนตร์ที่สลับซับซ้อนยาวเหยียด

เวทมนตร์บันทึกไว้ด้วยภาษาจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณ แต่ก็นำมาซึ่งความรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์แปลกๆ แสงสีเงินค่อยๆ ส่องสว่างออกมาจากตัวคนแคระ และแผ่กระจายออกเหมือนใยแมงมุมขนาดยักษ์ที่ควบคุมหัวใจมนุษย์

“ท่านคือเจ้าแห่งสติปัญญา จักรพรรดิแห่งพระเจ้า พระเจ้าแห่งไอน้ำผู้ยิ่งใหญ่… ขอให้ข้าได้อัญเชิญนามของท่าน ท่านยูริผู้ยิ่งใหญ่ ขอได้โปรดประทานพลังควบคุมทุกสิ่งอยากให้กับข้า…”

ระหว่างที่นางร่ายเวท เส้นแสงสีเงินเรืองรองก็กระจายตัวเข้าไปยังหัวใจของรูปปั้นไฮต์ และส่วนที่เหลือก็กลืนเข้าเป็นเนื้อเดียวกับความว่าง จนเกิดการสั่นไหว

ในอาการสั่นไหวนั้น แสนบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏขึ้นเป็นรูปร่างเทวทูตตัวเล็กๆ ขับร้อง สรรเสริญ และสวดภาวนาด้วยเสียงอันไพเราะ พร้อมทั้งเต้นไปรอบรอบรูปปั้นยูริ

เสียงต่างๆ ดูเหมือนจะหยุดนิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากวิหาร

จู่ๆ อาการสั่นไหวในความว่างเปล่านั้นก็หนักหน่วงขึ้น แล้วจุดแสงเล็กๆ ก็หลอมรวมเข้าไปยังรูปปั้นยูริ แล้วทันใดนั้นรูปปั้นยูริก็ค่อยๆ พร่ามัว จนมองไม่เห็นอีกต่อไป!

“มันหลอมรวมกับกาลและอวกาศรึ?” แคทริน่าตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ซึ่งนางไม่เคยเห็นมาก่อน “นี่คือความละเอียดอ่อนของพลังชั้นตำนานอย่างนั้นรึ? แล้วทำไมถึงมีพลังศักดิ์สิทธิ์ติดมาด้วย?”

นางส่ายหน้าและพยายามตั้งสติ ลบร่องรอยรอบๆ โดยละเอียด แล้วนางจึงกลับไปที่โรงแรม

เมื่อแคทริน่าเดินลับหลังหายไปตรงสุดถนน นกสีดำสนิทตัวหนึ่งที่มีขนสีอ่อนๆ ดูหน้าตลกอยู่บนหัว ก็บินโฉบลงมาจากราตรีอันมืดมิด

นกตัวนั้นบินร่อนลงตรงหัวของพระเจ้าแห่งการช่างและแผดเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน “ลูเซียน อีวานส์ ลอบรวมพลังศรัทธา เขาคงมั่นใจในทฤษฎีของตัวเองมาก… มากถึงขนาดว่าขโมยพลังศรัทธาไฮต์…”

“… เขาส่งลูกศิษย์มาทำภารกิจ นั่นคงจะหลอกทุกคนได้ แต่ไม่ใช่ข้า…”

“ไม่ ข้าต้องหาทางเตือนไฮต์ ลูเซียน อีวานส์ ไม่มีวันได้เก็บพลังศรัทธาอย่างราบรื่น ไม่อย่างนั้นเขาจะเข้าสู่ระดับมนุษย์ครึ่งเทพเร็วกว่าใคร…”

เจ้านกบินลงมาจากรูปปั้นและบินบนโดยรอบขณะที่ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดจนน่าตกใจ เรากลับกำลังบอกข่าวกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายถึงเวลาตายของตน

วันที่สามหลังจากแคทริน่าออกจากเมืองฮามินา

หน่วยทหารคนแคระก็พบกับ “สาวก” ที่กล่าวคำอาฆาตมาดรายพระเจ้าแห่งสายน้ำระหว่างการลาดตระเวน จนเกิดการปะทะกันอย่างดุเดือด

อันที่จริง มีผู้ร่ายเวทระดับอาวุโสอยู่ในกลุ่มสาวกด้วย หน่วยทหารคนแคระจึงพ่ายแพ้ยับเยิน โชคดีที่วิหารไฮต์อยู่ไม่ไกล นักบวชจำนวนหนึ่งจึงมาทันเวลา ล้อมกรอบพวกสาวกให้อยู่ในจัตุรัสไม่ไกลกันนัก

พลังศักดิ์สิทธิ์ระเบิดขึ้นทุกทิศทาง กลายเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์ที่สุดในจัตุรัส เหล่าสาวกล้มตายลงทีละคนๆ และจัตุรัสก็กำลังจะพังทลาย

ตู้ม!

นักบวชและนักร่ายเวทอาวุโสของกลุ่มสาวกร่ายเวทสุริยันต์ถั่งโถมใส่กัน ผลเสียหายจากการปะทะกินพื้นที่ไปทั่วจัตุรัส รูปปั้นไฮต์สั่นสะเทือนจนแหลกละเอียด แสงศักดิ์สิทธิ์และแสงสีเงินส่องวูบวาบ

ในแสงนั้น ไฮต์ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในวิหารก็ลืมตาขึ้น เปลวไฟสีทองสองดวงกำลังลุกโชนอยู่ในตา สะท้อนถึงความโกรธสุดขีดของเขา

เขายื่นมือออกมา และรูปปั้นยูริหัวล้านก็ปรากฏขึ้นในฝ่ามือ

“ใครขโมยพลังศรัทธาของข้า?” ไฮต์กัดฟันกรอดด้วยความโกรธ “เจ้าแห่งไอน้ำ? ลูเซียน อีวานส์!”

สายลมแห่งความเกรี้ยวกราดพัดไปทั่ววิหาร แล้วเปลวไฟที่ทองก็พุ่งลงมาจากฟากฟ้า เผาทำลายนักร่ายเวทอาวุโสกลายเป็นเถ้าถ่าน

หลังจากตรวจสอบความทรงจำของผู้รอดชีวิตโดยละเอียดแล้ว ไฮต์ก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่เขาจะตะโกนออกมาด้วยความฉุนเฉียว “เจ้าขโมยพลังศรัทธาของข้า ข้าก็จะขโมยของเจ้า!”

เขาจ้องเขม็งรูปปั้นยูริในมือ แล้วเขาก็ปล่อยเปลวไฟสีทองออกมาหุ้มมัน จะได้ไม่มีใครรู้ตัว

ภายในจักรวาลอะตอม แสงสีทองเลือนลางก็ปรากฏขึ้นบนรูปปั้น “พระเจ้าแห่งไอน้ำ” ยูริ ไม่มีใครจับสังเกตได้ หากไม่ได้เฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา

ภายในหอคอยเวทมนตร์ ลูเซียนตะลึงงันไปชั่วขณะ เขาหันไปมองรอบๆ ก่อนที่จะลอบยิ้มมุมปาก

…………………………………………