จิ่งเหิงปัวเกือบจะอุทานอย่างตกตะลึง 

 

 

ซังต้ง! 

 

 

นึกไม่ถึงว่านางจะหลบหนีออกจากวังจริง นึกไม่ถึงว่านางยังไม่ไป นึกไม่ถึงว่านางอยู่ที่นี่! 

 

 

จิ่งเหิงปัวใจเต้นตึ่กตั่กขึ้นมา นึกไม่ถึงเลยว่ารถม้าคันนี้จะแล่นมารวมกันกับซังต้ง ดูจากจำนวนฝูงชนแล้ว ลูกน้องที่ยังอยู่ในนครของตระกูลซังอาจจะชุมนุมกันอยู่ที่นี่ทั้งหมด สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือในเมื่อซังต้งอยู่ที่นี่ การคุ้มกันคงต้องเข้มงวดเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นคนเหล่านี้จะชุมนุมบริเวณโดยรอบรถม้า นางกังวลว่าพอตนเองพุ่งลงจากรถ ยังไม่ทันได้หายตัวอาจจะถูกล้อมไว้ 

 

 

ไม่ต้องเดา ถ้าซังต้งมองเห็นนางแล้วไม่อยากถลกหนังนางทั้งเป็น นางยอมแซ่เดียวกับซังต้ง! 

 

 

อยากจะพุ่งออกไปคงไม่ได้แล้ว ดูท่าทางซังต้งจะชุมนุมลูกน้องปรึกษาหารือกันที่นี่แล้วพุ่งออกไป ต้องรอให้ซังต้งออกไปอีกครั้งหรือขึ้นรถ ทุกผู้คนคืนสู่ตำแหน่งเดิม พอรถม้าขยับเขยื้อนอีกครั้งค่อยไป 

 

 

โชคดีที่ด้วยเพราะคนเยอะ คนไม่ลงมาจากรถม้าคันใดคันหนึ่งก็ไม่มีคนสนใจ ทุกคนต่างมีเรื่องในใจหนักหน่วง สีหน้าเคร่งขรึม 

 

 

จิ่งเหิงปัวกุมกริชไว้ในฝ่ามือ รอคอยอยู่ 

 

 

ซังต้งกลับคล้ายไม่ร้อนใจด้วยซ้ำ ยามช่วงเวลาความเป็นความตายร้อนรนดุจประกายไฟ นางยังเยื้องกรายเชื้องช้าคล้ายกำลังครุ่นคิด วนเวียนรอบรถม้าคันนี้ของจิ่งเหิงปัวพอดี มีหลายครั้งที่เข้าใกล้ประตูรถถึงขนาดชนเข้ากับประตูรถ ทำให้ใจดวงน้อยของจิ่งเหิงปัวเดี๋ยวเต้นเดี๋ยวเต้น แทบอยากจะดึงนางเข้าไปตบแรงๆ หลายครั้ง 

 

 

คล้ายได้ยินรถม้าอีกหลายคันแล่นเข้ามาเลือนราง ครบแล้วในที่สุด จากนั้นมีเสียงดังครืนเสียงหนึ่ง คล้ายประตูใหญ่สักบานถูกปิดลงแล้ว 

 

 

จิ่งเหิงปัวใจหายแวบ 

 

 

รถม้าขยับเล็กน้อยคล้ายซังต้งพิงอยู่บนตัวรถ พิงตรงหน้าต่างรถพอดี จิ่งเหิงปัวเลิกม่านรถออกเล็กน้อยอย่างระมัดระวังมาก ครุ่นคิดความเป็นไปได้ที่จะปักเข็มลงบนศีรษะนาง 

 

 

คิดแล้วมุมไม่สะดวก เสี่ยงอันตรายเกินไป อย่างนั้นช่างมันเถอะ 

 

 

ล่างรถม้าซังต้งมีเรื่องในใจแน่นขนัด ข้างกายเป็นลูกน้องทั้งสิ้น ย่อมนึกไม่ถึงว่าห่างเพียงหนึ่งผนังกั้นจะมีคนอยู่ ก่อเกิดความคิดสังหารต่อนางนับไม่ถ้วนครั้ง 

 

 

“มากันครบแล้วหรือ?” นางเอ่ยปากเชื่องช้า 

 

 

พลันมีเสียงต่างๆ เข้ามาขานนาม 

 

 

“ซังอีกลุ่มเทียนพาลููกน้องคำนับผู้นำตระกูล” 

 

 

“หวังจิ้งกลุ่มตี้พาลููกน้องคำนับผู้นำตระกูล” 

 

 

“โอวหยางอู๋เฟยกลุ่มเสวียนพาลููกน้องคำนับผู้นำตระกูล” 

 

 

“ตานอีหลงกลุ่มหวงพาลููกน้องคำนับผู้นำตระกูล” 

 

 

… 

 

 

ผู้ใต้บัญชาตระกูลซังขานนามทีละคน จิ่งเหิงปัวลองแอบนับดู คนไม่น้อยเลย เฉพาะกลุ่มเล็กเหล่านี้ก็แบ่งเป็นเทียนตี้เสวียนหวงเฟิงอวิ๋นเหลยอวี่หงฮวงโฮ่วถู่เป็นต้นสิบหกกลุ่ม ยังมีลููกน้องในกลุ่มอีกล่ะ? นี่ไม่ใช่กำลังของตระกูลซังที่อยู่ในตี้เกอเหรอ แล้วทั้งแคว้นล่ะ? 

 

 

เพียงแต่สิ่งที่ประหลาดคือผู้ที่ขานนามเหล่านี้ทุกคน เสียงค่อนข้างชรา อายุมากแล้วอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

“ดีมาก รบกวนทุกคนแล้ว” ซังต้งฟังจบ ถอนใจเสียงหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ยามนี้ ข้างกายข้ามีเพียงพวกเจ้าแล้ว” 

 

 

“ท่านผู้นำ” บุรุษผู้หนึ่งเอ่ยว่า “เหตุใดท่านยังจะอยู่ที่นี่? เหตุใดต้องชุมนุมที่ส่วนลึกของเมืองนี้? ยามนี้ท่านควรจะออกนอกเมือง พวกเราคุ้มกันท่าน ยังทันเวลานะ!” 

 

 

ซังต้งหัวเราะเพียงครั้ง เสียงคลุมเครือ 

 

 

“ข้าไม่ออกนอกเมือง” 

 

 

มีผู้ตกตะลึง มีผู้เข้าใจ มีผู้ถอนใจ 

 

 

“ซังอี นายน้อยใหญ่ออกนอกเมืองหรือยัง?” ซังต้งถาม 

 

 

ผู้ชราคนหนึ่งตอบว่า “อยู่บริเวณประตูเมืองแล้ว ทว่าตรวจสอบเข้มงวดเป็นพิเศษ แม้ว่ามีพวกผู้ชราเซวียนหยวนคอยช่วยเหลือกันยังคงไม่อาจออกนอกเมือง ทุกคนต่างกำลังคิดหาวิธี” 

 

 

“ไม่ต้องคิดแล้ว” ซังต้งเอ่ย “ข้าจะส่งเขาออกนอกเมืองเอง” 

 

 

ทุกคนนิ่งเงียบด้วยต่างรู้สึกว่าวาจานี้เหลวไหล ยามนี้ผู้ยอดเยี่ยมที่แท้จริงตระกูลเซวียนหยวนกับตระกูลซังต่างอยู่บริเวณประตูเมือง หวังส่งนายน้อยใหญ่ออกไปยังลำบาก ผู้นำตระกูลยังอยู่ที่เขตราษฎรยากจนทางเหนือของเมือง เหนือบ่ากว่าแรงนัก จะส่งอย่างไร? 

 

 

“ท่านจะไปรวมกลุ่มกับนายน้อยใหญ่หรือ?” มีผู้ถามอย่างหยั่งเชิง 

 

 

“ไม่…” ซังต้งถอนใจเสียงยาว เสียงเปล่าเปลี่ยวไร้ขอบเขต เอ่ยสืบต่อว่า “ข้าจะไม่พบเขาอีกแล้ว” 

 

 

ทุกคนก้มศีรษะนิ่งเงียบ 

 

 

“ตระกูลซังได้ล่มสลายแล้ว ข้าซังต้งได้พังทลายแล้วเช่นกัน ไม่อาจปกป้องหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ได้ ทำให้ตระกูลใหญ่โตร้อยปีเสื่อมโทรมในมือข้า คือความผิดที่สิ้นชีพหมื่นครั้งยังไม่อาจหลีกลี้ของข้า ต่อให้ข้ากลับไปในชนเผ่า เหล่าผู้อาวุโสคงจะไม่ปล่อยข้าไปแน่ เช่นนั้นเหตุใดข้ายังต้องลำบากลำบนหนีกลับไป จากนั้นได้รับโทษประหารอย่างอปยศอดสูหรือถูกขังอยู่ในคุกมืดใต้ดินรับความทุกข์ทรมานชั่วชีวิตนั้นเล่า?” 

 

 

“ท่านผู้นำ!” มีผู้โต้แย้งอย่างฮึกเหิมว่า “ท่านจะยอมแพ้ก่อนไม่ได้! แม้ว่าชนเผ่าผู้อาวุโสกำลังมาก ทว่าท่านมีพวกเรา เหล่าลููกน้องในตี้เกอ พวกเราสาบานด้วยชีวิตว่าจะปกป้องท่านกลับไป จะปกป้องท่านไม่ให้ถูกเหล่าผู้อาวุโสตัดสินโทษ!” 

 

 

ซังต้งยิ้มแย้มเพียงน้อย 

 

 

“รอให้ผ่านพ้นการไล่สังหารของกงอิ้น เดินทางพันลี้กลับชนเผ่า พวกเจ้าว่าข้างกายข้ายังจะเหลืออยู่กี่คน? พวกเจ้ายังเหลือรอดอยู่กี่คน?” 

 

 

ความนิ่งเงียบสงัดผืนหนึ่ง 

 

 

 “ข้าไม่อาจกลับไป ผู้ที่ควรกลับไปคือซังเทียนสี่” ยามนี้ซังต้งฟื้นคืนความสูงศักดิ์และความสงบเยือกเย็นของมหากองเซ่นไหว้ในที่สุด เอ่ยอย่างสุขุมว่า “เทียนสี่ ผ่านการชำระล้างแห่งสวรรค์ สะบั้นเอ็นหลอมกระดูกกลายเป็นอัจฉริยะที่พบได้ไม่บ่อยในร้อยปีนี้ของตระกูลซังเรา คือความหวังในทางตันของตระกูลซังเรา ที่พึ่งพาเพียงหนึ่งเดียวที่จะรุ่งเรืองขึ้นมาในอีกร้อยปีข้างหน้า เขาปรากฏเบื้องหน้าชาวโลกน้อยครั้งนัก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวความผิดชอบชั่วดีในตี้เกอ แลไม่มีความรับผิดชอบต่อการพินาศของหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ ซ้ำเขายังเป็นผู้สืบทอดสายตรงเพียงหนึ่งเดียวที่แบกรับสายโลหิตแห่งบรรพบุรุษตระกูลซังเรา เขากลับไป ผู้อาวุโสทำอะไรเขามิได้ ตระกูลซังยังคงเป็นพวกเราแขนงหนึ่งนี้” 

 

 

“ทว่า…” ยังมีผู้คิดจะโน้มน้าว 

 

 

“ไม่มีทว่าอะไรทั้งนั้น ข้ากลายเป็นผู้ไร้ประโยชน์แล้ว ในเมื่อไร้ประโยชน์ย่อมต้องตระเตรียมพร้อมถูกพลีชีพ หากต้องพลีชีพอยู่ในคุกใต้ดินที่มืดมิดไร้แสงสว่าง ไม่สู้ทำตนสง่าผ่าเผยแลสาแก่ใจ สุดท้ายแล้วพลีชีพ ณ นครตี้เกอนี้!” 

 

 

วาจาสุดท้ายน้ำเสียงของซังต้งแปรเปลี่ยนเป็นดุเดือด จิ่งเหิงปัวรู้สึกทันทีว่าแย่แน่…สตรีนางนี้เศร้าโศกเสียใจเต็มอก น้ำเสียงตัดเยื่อใย นางคิดจะทำอะไรน่ะ? 

 

 

นางไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ? 

 

 

จิ่งเหิงปัวคิดมาโดยตลอดว่าคนที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วคือคนที่เกรียงไกรที่สุด ไม่หวาดกลัวแม้แต่ความตาย บนโลกนี้ยังมีอะไรที่ไม่กล้าทำหรือทำไม่ได้บ้าง? 

 

 

“ท่านผู้นำ!” เหล่าผู้ใต้บัญชาของตระกูลซังฟังความนัยของซังต้งออกเช่นกัน เสียงตะโกนกึกก้อง 

 

 

“ท่านผู้นำ! หากท่านไม่ไปจริง พวกเราก็ไม่ไป!” 

 

 

“ใช่แล้ว พวกเราจะอยู่กับท่าน!” 

 

 

“พวกเราต่างชราแล้ว ระหว่างทางหลบหนีไม่แน่ว่าจะรอดมาได้สักกี่คน ยังไม่สู้อยู่กับผู้นำตระกูล ก่อกวนตี้เกอให้พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินจนสาแก่ใจ!” 

 

 

“ผู้นำตระกูล หากจำต้องต้องพลีชีพถึงจะส่งนายน้อยใหญ่ไปได้ พวกเรายินยอมพร้อมใจ!” 

 

 

… 

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ้มเยาะอยู่ในรถ 

 

 

เจ้าโง่ที่สมองเรียบง่าย ถูกปลุกระดมได้ง่ายดายฝูงหนึ่ง 

 

 

ทำไมคนที่เหลืออยู่ถึงเป็นอ่อนแอแก่ชราทั้งนั้น? เห็นชัดเลยว่าซังต้งคิดดีแล้วว่าจะใช้พวกเขาเป็นตัวหมาก ต้องการให้พวกเขาแสดงความจงรักภักดีเสียที่ไหน? ยอมหรือไม่ยอมต้องตายทั้งนั้น 

 

 

แต่…นางเท้าคางไว้ ในใจคิดว่าพลังปลุกระดมซึ่งเป็นของผู้มีอำนาจก็เป็นความสามารถชนิดหนึ่ง ต้องเรียนรู้ไว้สักหน่อย 

 

 

… 

 

 

ซังต้งคล้ายถูกความห้าวหาญของผู้ใต้บัญชาทำให้ซาบซึ้งใจ โบกมือบอกใบ้ทุกคนเงียบสงบ ยามเอ่ยปากอีกครั้งน้ำตาคลอเบ้า เสียงสะอึกสะอื้น 

 

 

“ขอบคุณพี่น้องเก่าแก่ทุกท่าน…” นางยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา เอ่ยสืบต่อว่า “ตระกูลซังมีพวกเจ้าได้นับเป็นวาสนาของตระกูลซัง ยามนั้นเหล่าพี่น้องเก่าแก่ลงเรี่ยวลงแรงร่วมรวบรวมกิจการพื้นฐานของตระกูลซังเรากับข้า นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้ว ตระกูลซังถูกราชินีต่ำทรามทำร้าย ข้าปกป้องพี่น้องเก่าแก่ไว้ไม่ได้ ไม่อาจมอบวัยชราอันทรงเกียรติสุขสบายให้พวกเจ้า ยังต้องให้พวกเจ้าพลีชีพเคียงข้างข้า…วางใจเถิด แม้ว่าวันนี้เจ้าและข้าสิ้นชีพ ย่อมต้องถูกเทียนสี่จารึกไว้ในความทรงจำชั่วกาล ภายภาคหน้าต้องมีสักวัน เขาจะแก้แค้นให้พวกเรา ทำให้ตระกูลซังรุ่งเรืองอีกครั้ง ภรรยาลูกหลานของพวกเจ้าจะได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีที่สุด ป้ายวิญญาณของพวกเจ้าจะต้องถูกบูชาไว้ในศาลอิงหลิงของตระกูลซังเรา เคียงข้างบรรพบุรุษหลายชั่วคนของตระกูลซังเรา เสพสุขการเซ่นไหว้บูชาของชนรุ่นหลังแห่งตระกูลซังตลอดกาล!” 

 

 

ผู้ชราตระกูลซังกลุ่มหนึ่ง น้ำตาร้อนผ่าวคลอเบ้า เสียงหนักแน่นเคร่งขรึม 

 

 

“ยอมสิ้นชีพเพื่อตระกูลซัง! ยอมสิ้นชีพเพื่อผู้นำตระกูล!” 

 

 

ในบรรยากาศเคร่งขรึม มีผู้หลุดเสียงร่ำไห้โศกศัลย์ 

 

 

จิ่งเหิงปัวพิงผนังรถอยู่ จมดิ่งสู่ห้วงความคิด 

 

 

นางไม่ได้ถูกน้ำใจไมตรีของเจ้านายลูกน้องที่พลีชีพอย่างเด็ดเดี่ยวฉากหนึ่งนี้ทำให้ซาบซึ้ง เรื่องมากมายหากมองทะลุแก่นแท้จะเหลือเพียงภายในที่อำมหิต นางเพียงนึกถึงอนาคตของตนเองขึ้นมากะทันหัน นึกถึงว่าตนเองอยากจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ขณะนี้ จะต้องยึดอำนาจก่อน ระหว่างขั้นตอนยึดอำนาจและหลังจากยึดอำนาจ เรื่องซื้อใจคน ใช้วาจาปลุกระดม ใช้ผลประโยชน์มอมเมา เกี่ยวพันคุณธรรมแบบนี้ เกรงว่าคงต้องทำให้เยอะล่ะมั้ง? 

 

 

ภายภาคหน้านางต้องเปลือกนอกเสแสร้ง เล่นเล่ห์เพทุบาย ควบเมฆคลุมฝน ก่อการเลวร้ายเหรอ? 

 

 

อีกทั้งกงอิ้น อยู่ในสถานการณ์แบบนี้มานานหลายปีแล้ว เรื่องราวที่ซับซ้อนมืดครึ้มเหล่านี้ ที่จริงแล้วเขาคงจะเคยชินอย่างมากเหมือนกันล่ะมั้ง? ก่อนหน้านี้นางแค่เคยชินกับความสูงส่งเย็นชาน่ารักของเขา ขณะนี้คิดว่าผู้มีอำนาจย่อมมีการไตร่ตรองของผู้มีอำนาจ หรือมีเรื่องมากมายที่ไม่เป็นอิสระเหมือนกัน ต้องอดกลั้นความรังเกียจแล้วลงมือกระทำเหมือนกันล่ะมั้ง? 

 

 

พอนึกถึงตรงนี้นางเกิดความวุ่นวายใจเล็กน้อย สถานการณ์ของต้าฮวงซับซ้อนแบบนี้ ทุกผู้คนถึงขนาดแม้แต่ศัตรูสหายยังไม่ชัดเจน วันเวลาแบบนี้ไม่ใช่ว่านางจะอารมณ์ดี แค่แทบอยากจะแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด เหวี่ยงเจ้าพวกก่อเรื่องบ้าบอเหล่านี้ลงกองขยะไปให้หมดถึงจะสะใจ