เหยี่ยวที่กางปีกอยู่บนท้องฟ้าบินร่อนเป็นวงกลม อีกาบนกิ่งไม้แผดเสียงร้องแหลมดัง
ทางหลวงที่เดิมทีราบเรียบกว้างขวางพังเละเทะแตกแยกไปนานแล้ว รถม้าขบวนหนึ่งขับเคลื่อนกระเด้งกระดอนมาตลอดทาง
ในฐานะแคว้นใต้อาณัติที่ใหญ่ที่สุดของราชวงศ์จูอิ๋ง แคว้นสือหาวตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของราชวงศ์ มีชื่อเสียงว่าเป็นแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์กว้างขวางพันลี้ มีผลิตผลมากล้นที่สุดในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป เป็นคลังเสบียงขนาดใหญ่ของราชวงศ์จูอิ๋งมาโดยตลอด เป็นแคว้นใต้อาณัติเหมือนกัน แต่แคว้นสือหาวกับแคว้นหวงถิงที่อยู่ใต้อาณัติของต้าสุยกลับเลือกในสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นับตั้งแต่ฮ่องเต้ ขุนนางสำคัญในราชสำนักไปจนถึงแม่ทัพนายกองส่วนใหญ่ที่อยู่ชายแดนของแคว้นสือหาว ล้วนเลือกที่จะปะทะกับกองทัพใหญ่กองหนึ่งของต้าหลีซึ่งๆ หน้า
ไฟสงครามลุกลามไปทั่วแคว้นสือหาว นับตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้เป็นต้นมา ตลอดทั้งแถบทิศเหนือของเมืองหลวงก็ทำสงครามกันอย่างดุเดือด ตอนนี้เมืองหลวงแคว้นสือหาวจึงตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของศัตรูแล้ว
ไม่เพียงแต่ชาวบ้านของแคว้นสือหาวเท่านั้น แม้แต่แคว้นเล็กๆ ใต้อาณัติในบริเวณใกล้เคียงหลายแห่งที่กองกำลังเป็นรองจากแคว้นสือหาวมากก็ยังอกสั่นขวัญผวา แน่นอนว่าสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่ขาดคนฉลาดที่เลือกพึ่งพาสกุลซ่งต้าหลีตั้งแต่เนิ่นๆ เลือกที่จะนั่งดูไฟชายฝั่ง รอคอยดูเรื่องตลก หวังว่ากองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่บุกไปที่ใดที่นั่นก็พังราบเป็นหน้ากลองจะสามารถสังหารคนทั้งเมือง ปลิดชีพพวกคนโง่กลุ่มนั้นของแคว้นสือหาวที่เลือกจะจงรักภักดีต่อราชวงศ์จูอิ๋งให้ราบคาบ ไม่แน่ว่าอาจจะยังเห็นแก่ความดีของพวกเขา รบชนะโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ภายใต้ความช่วยเหลือของพวกเขาก็สามารถยึดเอาเมืองใหญ่ที่มีเสบียงอาวุธและคลังเงินทองหลายแห่งมาได้อย่างราบรื่น
เส้นทางที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อทำให้สารถีหลายคนของรถม้าขบวนนี้คร่ำครวญกันไม่หยุด แม้แต่ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่สะพายคันธนูอันยาว ตรงเอวห้อยดาบยาวก็ยังถูกแรงกระเทือนนี้ทำให้กระดูกทั้งร่างแทบจะเคลื่อนออกจากกัน แต่ละคนอ่อนระโหยโรยแรง พยายามทำตัวให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า สายตากวาดมองไปสี่ทิศ หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกโจรปล้นสะดม ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่เชี่ยวชาญด้านการขี่ม้ายิงธนูเหล่านี้ล้วนมีกลิ่นคาวเลือดลอยโชยมาจากบนร่าง เห็นได้ชัดว่าตลอดทางที่ลงใต้มานี้ พวกเขาที่อยู่ท่ามกลางสงครามอันวุ่นวายเดินทางกันได้ไม่ผ่อนคลายนัก
หากจะบอกว่าวิธีหาเงินเลี้ยงปากท้องของพวกเขาคือการเอาหัวไปผูกกับสายรัดกางเกง *(เปรียบเปรยว่าทำเรื่องบางอย่างโดยไม่สนใจความปลอดภัยของตัวเอง)*ก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะแค่ช่วงเวลาที่ยืนฉี่ หากไม่ทันระวังก็อาจจะทำให้หัวหล่นลงบนพื้นได้
การถูกดักกลางทางที่อันตรายที่สุดระหว่างการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่พวกชาวบ้านลี้ภัยที่ยากลำบากจนต้องกลายมาเป็นโจร แต่กลับเป็นทหารม้าแคว้นสือหาวสามร้อยนายกองหนึ่งที่แสร้งแต่งกายเป็นโจร เห็นขบวนพ่อค้าของพวกเขาเป็นเนื้อก้อนใหญ่ การเข่นฆ่าสังหารครั้งนั้นทำให้เหล่าองค์รักษ์ขบวนพ่อค้าที่ได้ลงสัญญายอมตายมาตั้งแต่แรกบาดเจ็บล้มตายกันไปเกือบครึ่ง หากไม่เป็นเพราะในบรรดากลุ่มผู้ว่าจ้างมีเทพเซียนบนภูเขาที่ไม่เปิดเผยตัวตนอยู่คนหนึ่ง ป่านนี้ทั้งคนและสิ่งของคงถูกทหารทางการกลุ่มนั้นห่อเป็นเกี้ยวกลืนลงท้องไปแล้ว
ขบวนรถม้ากลุ่มนี้ต้องเดินทางผ่านพื้นที่ใจกลางของแคว้นสือหาวไปยังชายแดนทางทิศใต้ มุ่งหน้าไปเยือนทะเลสาบเจี่ยนซูที่ถูกราชวงศ์โลกมนุษย์มองเป็นบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ ขบวนรถม้าได้เงินก้อนใหญ่มาแล้วก็ยังกล้ารับปากแค่ว่าจะหยุดลงที่ด่านชายแดนเท่านั้น ไม่อย่างนั้นต่อให้เงินมากแค่ไหนก็ไม่ยินดีเดินมุ่งหน้าลงใต้ไปแม้แต่ก้าวเดียว ยังดีที่พ่อค้าต่างถิ่นสิบกว่าคนนั้นก็รับปากแล้วว่าเมื่อเหล่าองค์รักษ์ของขบวนรถคุ้มกันมาส่งถึงด่านพันวิหคของชายแดนแล้วก็สามารถย้อนกลับไปทางเดิมได้เลย หลังจากนั้นพ่อค้ากลุ่มนี้จะเป็นหรือตาย จะตักตวงผลประโยชน์ก้อนใหญ่มาได้จากทางทะเลสาบเจี่ยนซู หรือจะไปตายอยู่กลางทาง ทำให้พวกโจรได้เฉลิมฉลองปีใหม่กันดีๆ ก็ล้วนไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของขบวนรถแล้ว
ตลอดทางที่เดินทางกันมานี้ ประหนึ่งเดินอยู่กลางนรกบนดินอย่างแท้จริง
ผู้คนหิวโหยอดอยากเป็นขบวนยาวไกลพันลี้อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่คำกล่าวอ้างอย่างที่บัณฑิตอ่านพบเจอในตำรา
ระหว่างทางมานี้ ขบวนรถมักจะพบเห็นกระท่อมที่มีเสียงกรีดร้องโหยหวนอยู่เป็นระยะ เพราะมีพวกผู้ใหญ่ที่จับเอาเด็กๆ มาขาย ตอนแรกเริ่มมีคนทำใจส่งบุตรชายหญิงของตัวเองขึ้นเขียงให้กับคนชำแหละเนื้อไม่ลง จึงคิดหาวิธีที่พบกันครึ่งทาง ระหว่างพ่อและแม่เด็กจึงมีการแลกเปลี่ยนบุตรชายหญิงที่ผอมแห้งใบหน้าเหลืองตอบให้แก่กันและกันก่อน จากนั้นถึงค่อยเอาไปขายให้กับทางร้าน
ชาวบ้านผู้ประสบภัยหลายคนที่หิวโหยจนกลายเป็นบ้าจะจับกลุ่มกันเหมือนผีดิบเดินได้หรือไม่ก็พวกวิญญาณเร่ร่อน ซัดเซพเนจรไปตามพื้นที่ต่างๆ ของแคว้นสือหาว ขอแค่พบเจอกับสถานที่ที่อาจจะมีอาหารก็จะกรูกันเข้าไป ป้อมส่งสัญญาณ จุดพักม้าแต่ละแห่งของแคว้นสือหาว หรือป้อมปราการดินที่ชนชั้นสูงของแต่ละท้องถิ่นสร้างขึ้นมาล้วนเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดและซากศพที่ยังไม่ทันได้เก็บกวาด ขบวนรถเคยผ่านป้อมขนาดใหญ่ที่มีชายฉกรรจ์ตระกูลเดียวกันห้าร้อยคนให้การปกป้อง พวกเขาทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้ออาหารมาไม่น้อย เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ใจกล้าจ้องมองคันธนูแข็งแรงที่องค์รักษ์ขบวนเดินทางพ่อค้าคนหนึ่งสะพายไว้ด้วยสีหน้าอิจฉา มาทำตีสนิทด้วย ชี้ไปทางรั้วไม้นอกป้อมปราการที่มีศีรษะแห้งเหี่ยวปักเรียงรายไว้ข่มขวัญผู้คน เด็กหนุ่มนั่งยองอยู่บนพื้น ตอนนั้นเขาพูดคุยกับผู้ติดตามคนหนึ่งของขบวนรถอย่างอารมณ์ดี บอกว่าหน้าร้อนนั้นยุ่งยากที่สุด พวกแมลงวันจะมาตอม ง่ายที่จะเกิดโรคระบาด แต่ขอแค่ถึงหน้าหนาว หิมะตกลงมาก็จะช่วยลดความยุ่งยากไปได้ไม่น้อย กล่าวจบเด็กหนุ่มก็หยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง ขว้างไปทางรั้วไม้ กระแทกโดนศีรษะหนึ่งในนั้นอย่างแม่นยำ แล้วจึงปัดมือ ชำเลืองตามองผู้ติดตามของขบวนพ่อค้าที่เผยสีหน้าชื่นชมให้เห็น เด็กหนุ่มมีท่าทางลำพองใจไม่น้อย
ตอนนั้นหญิงสาวที่สวมชุดเขียวมัดผมหางม้าทำให้เด็กหนุ่มจิตใจหวั่นไหว การที่มาคุยเรื่องพวกนี้และทำแบบนี้ให้ผู้ติดตามของขบวนพ่อค้าดู ก็หนีไม่พ้นต้องการแสดงความสามารถของตัวเองออกมาต่อหน้าพี่สาวที่หน้าตางดงามผู้นั้น
น่าเสียดายก็แต่พี่สาวชุดเขียวไม่มองเขาเลย นี่ทำให้เด็กหนุ่มห่อเหี่ยวและผิดหวังอย่างมาก หากหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดาเดินออกมาจากภาพวาดบนผนังในศาลเช่นนี้มาปรากฎตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านอดอยากที่รนหาที่ตายอยู่แถวนี้ จะดีสักแค่ไหนกันนะ? ถ้าอย่างนั้นนางต้องมีชีวิตรอดแน่ อีกทั้งตนยังเป็นบุตรชายคนโตของตระกูล ต่อให้ตนจะไม่ใช่คนแรก แต่ก็ต้องมีสักวันที่วนมาถึงตนจนได้ แต่เด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าในบรรดากลุ่มชาวบ้านผู้ประสบภัยย่อมไม่มีสตรีที่งดงามดุจเทพธิดาแห่งสายน้ำเช่นนี้ ต่อให้มีสตรีที่โตเต็มวัย ส่วนใหญ่ก็มักจะผิวดำเกรียม แต่ละคนผอมจนหนังหุ้มกระดูกเหมือนผีที่หิวโหยจนตาย ผิวพรรณก็หยาบกระด้าง เห็นแล้วทุเรศตา
ข้างกายของพี่สาวชุดเขียวยังมีสตรีที่อายุค่อนข้างมากคนหนึ่งยืนอยู่ นางสะพายกระบี่ แต่รูปลักษณ์กลับเป็นรองอยู่มากโข โดยเฉพาะทรวดทรงองค์เอวที่อีกคนคือฟ้า อีกคนคือดิน หากฝ่ายหลังปรากฏตัวเพียงลำพัง เด็กหนุ่มก็อาจจะหวั่นไหวอยู่เหมือนกัน แต่พอพวกนางยืนอยู่ด้วยกัน ในสายตาของเด็กหนุ่มจึงไม่เห็นฝ่ายหลังแม้แต่น้อย
ขบวนพ่อค้ามุ่งหน้าลงใต้ต่ออีกครั้ง
มักจะมีชาวบ้านเร่ร่อนถือกระบองไม้ที่เหลาปลายจนแหลมมาขวางทาง พวกที่ฉลาดหน่อย หรือควรจะพูดว่าพวกที่ไม่ได้หิวโซจนอับจนหนทางก็จะมักขอให้ขบวนพ่อค้ามอบอาหารให้บางส่วนเสียก่อน พวกเขาจึงจะปล่อยให้เดินทางต่อ
ขบวนพ่อค้าคร้านจะสนใจ ยังคงเดินทางต่อไปเรื่อยๆ โดยทั่วไปแล้วขอแค่พวกเขาชักดาบและปลดคันธนูลงมา พวกชาวบ้านที่ประสบภัยก็จะตกใจจนแตกฮือเหมือนนกแตกรัง
แล้วก็มีชาวบ้านบางส่วนที่สนแต่จะกระโจนเข้าใส่ คิดจะรุมทึ้งแย่งชิง เดิมทีพวกองค์รักษ์ผู้ติดตามขบวนพ่อค้าก็มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกยุทธในยุทธภพอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่ใช่คนของแคว้นสือหาว ตลอดทางที่ลงใต้มาจึงชาชินกันนานแล้ว อีกทั้งในกลุ่มยังมีพี่น้องและสหายที่ต้องตายไปมากขนาดนั้น ส่วนลึกในจิตใจจึงนึกอยากจะให้มีคนบุกเข้ามาเพื่อให้พวกเขาระบายความแค้นด้วยซ้ำ ดังนั้นขบวนทหารม้าฝีมือดีจึงยกมือตวัดดาบเหมือนแหที่หว่านออกไป บางครั้งก็แข่งฝีมือการยิงธนูกัน หากใครยิงเข้าดวงตาก็ถือว่าฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด ยิงทะลุลำคอคือรองลงมา ยิงทะลุหัวใจก็รองลงมาอีก หากยิงโดนแค่ช่วงท้องหรือช่วงขา นั่นก็จะต้องถูกคนอื่นหัวเราะเยาะขบขัน
พ่อค้าที่จ้างองค์รักษ์และขบวนรถครั้งนี้มีจำนวนไม่มาก แค่สิบกว่าคนเท่านั้น
นอกจากหญิงสาวชุดเขียวมัดผมหางม้าที่ปรากฏตัวน้อยครั้ง รวมไปถึงหญิงสาวสะพายกระบี่ข้างกายนางที่ขาดนิ้วหัวแม่มือไปนิ้วหนึ่งแล้ว ยังมีคนหนุ่มสวมชุดคลุมสีดำที่ไม่ชอบยิ้มแย้มพูดคุย คนทั้งสามนี้เหมือนจะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน เวลาปกติหากขบวนรถหยุดพักม้า ซ่อมแซมรถ หรือไม่ก็ต้องพักค้างแรมกลางป่าเขา พวกเขาก็มักจะมารวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน
นอกจากนี้ยังมีพ่อค้าตัวหลักที่ต้องการเงินไม่ต้องการชีวิต คือผู้เฒ่าที่สวมชุดยาวสีเขียวตัวหนึ่ง ว่ากันว่าแซ่ซ่ง พวกองค์รักษ์ล้วนชอบเรียกเขาว่าอาจารย์ซ่ง อาจารย์ซ่งมีผู้ติดตามสองคน คนหนึ่งสะพายกระบองยาวสีนิลไว้ด้านหลัง อีกคนหนึ่งไม่พกพาอาวุธ แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนในยุทธภพตัวจริง อายุของคนทั้งสองพอๆ กับอาจารย์ซ่ง นอกจากนี้ยังมีชายหญิงอีกสามคนที่แม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้ม แต่ดวงตาของพวกเขากลับยังคงทำให้คนรู้สึกถึงความเย็นชา อายุต่างกันค่อนข้างมาก สตรีแต่งงานแล้วรูปโฉมธรรมดา คนที่เหลืออีกสองคนคือปู่และหลาน
พวกผู้ติดตามรู้สึกว่าพ่อค้ากลุ่มนี้ นอกจากอาจารย์ซ่งแล้ว คนอื่นๆ ล้วนวางมาดใหญ่โต ไม่ชอบพูดจา
ยามค่ำคืนของวันนี้ พวกเขาหยุดพักกันที่จุดพักม้าเก่าโทรมแห่งหนึ่งที่ถูกทิ้งร้างเพราะผู้ดูแลหนีหายไปสิ้น ข้าวของต่างๆ ในจุดพักม้าถูกกวาดไปเกลี้ยงนานแล้ว
หญิงสาวชุดเขียวมัดผมหางม้านั่งอยู่บนหัวกำแพงดินนอกจุดพักม้าที่พังถล่มไปแล้วเกินครึ่ง
สตรีสะพายกระบี่ที่ตัวติดกับนางเหมือนเงาไม่ห่างกายยืนอยู่ใต้กำแพง พูดเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ เหลือระยะทางอีกครึ่งเดือนกว่าก็จะเข้าอาณาเขตของทะเลสาบเจี่ยนซูแล้ว”
หญิงสาวชุดเขียวอืมรับอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
อาจารย์ซ่งผู้นั้นเดินออกมาจากจุดพักม้าช้าๆ เตะเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เดินทางมาด้วยกันซึ่งนั่งอยู่บนธรณีประตูให้พ้นทางเบาๆ จากนั้นก็เดินมาใกล้กับกำแพงเพียงลำพัง สตรีสะพายกระบี่รีบคารวะและเอ่ยกับเขาด้วยภาษาราชการของต้าหลีทันที “คารวะซ่งหลางจง”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “แม่นางสวียังคงเกรงใจเช่นนี้เสมอ ทำตัวห่างเหินเกินไปแล้ว”
คำเรียกว่าหลางจงนี้ไม่ได้แปลว่าหมอในร้านยา
ผู้เฒ่าสวมชุดเขียวท่าทางสุภาพเยือกเย็นผู้นี้ก็คือหลางจงผู้ดูแลหลักของกองบวงสรวงกรมพิธีการต้าหลี
ตำแหน่งนี้ สำหรับในแคว้นใต้อาณัติเล็กๆ อย่างแคว้นหวงถิง แคว้นสือหาวแล้ว ถือเป็นขุนนางเมล็ดงาที่ค่อนข้างใหญ่ ลำพังเพียงแค่ในที่ว่าการกรมพิธีการ เหนือหัวขึ้นไปก็มีรองเจ้ากรมพิธีการ เหนือขึ้นไปอีกยังมีเจ้ากรมพิธีการ ไม่แน่ว่าวันใดอาจถูกขุนนางผู้ช่วยที่ระดับขั้นเท่าเทียมกันอย่างหยวนไหว้หลางแย่งชิงตำแหน่งไป แต่เมื่ออยู่ที่ต้าหลี นี่กลับเป็นตำแหน่งที่สำคัญอย่างถึงที่สุด คือหนึ่งในหลางจงสามท่านที่กุมอำนาจมากที่สุดของราชวงศ์ต้าหลี ตำแหน่งไม่ถือว่าสูง ระดับห้าชั้นโท ทว่ากลับมีอำนาจอย่างยิ่ง นอกจากจะมีหน้าที่รับผิดชอบในขอบเขตของหลางจงกรมบวงสรวงแล้ว ยังดูแลเรื่องการทดสอบตัดสินผลงานขององค์เทพแห่งแม่น้ำและภูเขาในหนึ่งแคว้น รวมไปถึงยังมีอำนาจในการแนะนำให้ผู้อื่นได้เลื่อนขั้น
ต้าหลีไม่เคยคิดจะแต่งตั้งเทพวารีและศาลเจ้าให้กับแม่น้ำชงตั้น ทว่าอยู่ดีๆ กลับมีภูตแห่งสายน้ำที่ชื่อว่าหลี่จิ่นตนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา จากเดิมทีที่เป็นเถ้าแก่ของร้านหนังสือในเมืองหงจู๋ กระโดดก้าวเดียวกลับกลายเป็นเทพวารี ว่ากันว่าก็เพราะใช้ช่องทางของหลางจงท่านนี้ ได้เป็นปลาหลีที่กระโดดข้ามประตูมังกร เดินขึ้นไปอยู่บนแท่นบูชาเทพเจ้าที่ตั้งวางไว้สูง ได้เสวยสุขอยู่กับควันธูปจากช่องทางต่างๆ
หญิงสาวสองคนนี้ก็คือหร่วนซิ่วและสวีเสี่ยวเฉียวที่ลงจากภูเขาสำนักกระบี่หลงเฉวียนมาหาประสบการณ์
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดถึงต้องออกจากราชวงศ์ต้าหลีมาไกลขนาดนี้ แม้แต่สวีเสี่ยวเฉียวและต่งกู่ก็ยังรู้สึกประหลาดใจ ทว่าหร่วนซิ่วศิษย์พี่หญิงใหญ่ของพวกเขากลับไม่เห็นเป็นสำคัญเลยแม้แต่น้อย
สวีเสี่ยวเฉียวเห็นว่าซ่งหลางจงมีท่าทางคล้ายอยากจะปรึกษาเรื่องสำคัญจึงเป็นฝ่ายเดินจากไปเอง
ซ่งหลางจงเดินขึ้นมาบนหัวกำแพงแล้วนั่งขัดสมาธิ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าต้องขอบคุณความใจกว้างของแม่นางหร่วน”
หร่วนซิ่วเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งไปซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อ ส่ายหน้าพูดด้วยเสียงอู้อี้ว่า “ไม่ต้อง”
ซ่งหลางจงถามด้วยรอยยิ้ม “ขอละลาบละล้วงถามสักคำ แม่นางหร่วนซิ่วไม่ถือสา หรือว่ากำลังอดทนอยู่กันแน่?”
หร่วนซิ่วถาม “ต่างกันด้วยหรือ?”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเป็นอย่างแรก ข้าก็คงไม่ต้องทำอะไรที่เกินความจำเป็น ถึงอย่างไรข้าก็แก่จนอายุปูนนี้แล้ว เคยมีช่วงเวลาความรักความเลื่อมใสของวัยหนุ่มมาก่อนเช่นกัน รู้ดีว่าเป็นเรื่องยากที่เด็กซึ่งขนยังขึ้นไม่ครบอย่างหลี่มู่ซีจะไม่หวั่นไหว หากเป็นอย่างหลัง ข้าสามารถชี้แนะหลี่มู่ซีหรือท่านปู่ของเขาสักสองสามคำ แม่นางหร่วนไม่ต้องกังวลว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้คนลำบาใจ การเดินทางลงใต้ครั้งนี้เป็นการมาทำงานส่วนรวมที่ทางราชสำนักมอบหมายให้ กฎเกณ์ที่ควรต้องมีก็ยังต้องมี แม่นางหร่วนซิ่วไม่ได้ทำเกินไปแม้แต่น้อย”
หร่วนซิ่วกล่าว “ไม่เป็นไร เขาอยากมองก็ให้เขามองไปเถอะ ข้าไปบังคับลูกตาของเขาไม่ได้สักหน่อย”
ซ่งหลางจงหลุดหัวเราะพรืด
—–