บทที่ 314 ใครล่ะจะไม่โมโห EnjoyBook
บทที่ 314 ใครล่ะจะไม่โมโห
“เด็กนั้นตัวโตกว่าพี่ชายของเขา ค่อนข้างจะแข็งแรงมากทีเดียว เขาไม่สามารถทำงานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนได้ แต่สามารถทำงานอย่างอื่นที่เหลือได้ทั้งหมดเลยละ” พี่สาวรองกล่าว
หลินชิงเหอมีเรื่องประทับใจอยู่บ้าง หู่จือหลานชายคนนี้ครั้งหนึ่งเคยเอาปลามาให้หนึ่งตะกร้า เขาจับปลาได้ด้วยตัวเองแล้วส่งมาให้ที่นี่
ตอนนั้นเขาอายุแค่ 13 ปี พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไป 4 ปีแล้ว เขาคงจะตัวสูงขึ้นอย่างแน่นอน
หลินชิงเหอไม่ติดขัดอะไรที่จะพาคนไปเพิ่ม
เนื่องด้วยสถานที่นั้นกว้างขวางมากเพียงพอ เพิ่มแค่คนกินข้าวมาอีกคนเท่านั้น หลังจากไปถึงที่นั่นแล้วคงมีเรื่องให้ทำอีกมากมาย
ตัวอย่างเช่นเอ้อร์นีและสวี่เชิ่งเหม่ยคอยดูร้านค้า ส่วนเด็กหนุ่มหู่จือก็สามารถออกไปตั้งแผงลอยที่ถนนได้ ไม่มีแรงงานสูญเปล่า
“ในสองวันนี้ถ้าเขาว่าง ให้เขามานั่งคุยกับฉันที่นี่แล้วกันค่ะ ฉันจะเลี้ยงขนมเขาเอง” หลินชิงเหอไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนไป เธอต้องได้เห็นตัวจริงเสียงจริงเสียก่อน
“ตกลงจ้ะ พี่จะให้เขามาที่นี่พรุ่งนี้นะจ๊ะ” พี่สาวรองเอ่ยอย่างดีใจ
พวกเด็ก ๆ ไม่ได้กลับมาในปีนี้ ในบ้านจึงมีที่นั่งอยู่เยอะแยะ ดังนั้นคนทั้งหมดจึงกินอาหารกลางวันกันที่นี่
หลังกินเสร็จ พี่สาวใหญ่และพี่สาวรองได้นั่งอยู่อีกสักพักก่อนจะไปที่บ้านตระกูลโจว
เมื่อพี่สาวกับพี่เขยทั้งสองคู่ออกไปแล้ว โจวเสี่ยวเหมยจึงถามขึ้นด้วยความสับสน “พี่สะใภ้สี่ ร้านเกี๊ยวพี่ต้องการคนมากมายขนาดนั้นเลยหรือคะ?”
“พวกเขาไม่ได้ไปทำงานที่ร้านเกี๊ยวกันหรอก ปีนี้พี่วางแผนไว้ว่าจะเอาตัวอย่างแบบเสื้อไปให้ทางโรงงานเสื้อผ้าดูและจะขอให้ทางโรงงานผลิตเสื้อผ้าใหม่ ๆ ออกมาให้พี่ จากนั้นพี่ก็จะเปิดร้านขายเสื้อผ้าน่ะ” หลินชิงเหอตอบ
โจวเสี่ยวเหมยมีท่าทางประหลาดใจมากอย่างเห็นได้ชัด “พี่สะใภ้สี่ พี่ต้องการจะเปิดร้านขายเสื้อผ้าของตัวเองหรือคะ?”
พี่สะใภ้สี่ของหล่อนช่างแข็งแกร่งมากเกินไปแล้ว!
“ตอนนี้พี่สี่ของเธอก็กำลังก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ พี่ยอมอยู่ล้าหลังเขาไม่ได้หรอก ไม่อย่างนั้นพวกผู้หญิงสวย ๆ ฐานะร่ำรวยจากเมืองหลวงคงจะมาเกาะแกะเขาได้ง่าย ๆ แล้วทีนี้พี่จะทำอย่างไรล่ะ? พี่เลยต้องหาเลี้ยงตัวเองให้ได้น่ะสิ” หลินชิงเหอตอบ
โจวชิงไป๋ได้ฟังก็ทำอะไรไม่ถูก
ส่วนโจวเสี่ยวเหมยกับซูต้าหลินหัวเราะออกมาทั้งคู่
“ชิงไป๋ แกทำความผิดอะไรต่อเมียแกหรือเปล่า?” ท่านแม่โจวหน้าเปลี่ยนสีและพูดขึ้นมาทันที
“แม่ครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” โจวชิงไป๋ตอบด้วยท่าทางหมดแรง
“ใช่ คุณยังไม่ได้ทำ แค่มีคนมาเล็งคุณเท่านั้นล่ะ คุณแม่คะ ถ้าไปอยู่ที่นั่นแล้ว คุณแม่ต้องคอยสอดส่องนะคะ คุณแม่เกือบจะสูญเสียฉันกับเจ้าหลานชายทั้งสามคนไปแล้วน่ะค่ะ” หลินชิงเหอบอกกับท่านแม่โจว
ท่านแม่โจวที่ถูกหลอกด้วยเรื่องเหลวไหลจึงรีบถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้น?”
“ภรรยาครับ” เมื่อมองไปที่ภรรยาของเขา โจวชิงไป๋ก็ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
หลินชิงเหอกลอกตาใส่เขา “คนที่ชื่อจางเหมยเหอ คุณคิดว่าฉันจะลืมหรือคะ? หล่อนตามหาคุณถึงที่ร้านเลยทีเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะฉันบังเอิญปรับเปลี่ยนชั้นเรียนแล้วไปเจอเข้าละก็ เฮอะ!”
การขุดเรื่องเก่า ๆ มาพูดเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทำได้ดีที่สุด ซึ่งเธอก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
โจวเสี่ยวเหมยกับซูต้าหลินต่างพากันตกใจ ส่วนท่านแม่โจวก็ร้อนใจมากจนต้องตีลูกชายตัวเองแรง ๆ ทีหนึ่ง “แก…แกต้องการจะทำให้แม่โกรธจนตายไปเลยใช่ไหม? ทำไมแกไม่อยู่กับเมียและลูกของแกดี ๆ กลับกลายเป็นว่า…”
“คุณแม่คะ ใจเย็น ๆ ค่ะ” หลินชิงเหอไม่เต็มใจที่จะให้สามีของเธอต้องโดนทุบตี เธอช่วยพาคุณแม่กลับลงนั่งที่เก้าอี้และพูดว่า “เหตุการณ์นั้นผ่านไปแล้วค่ะ ผู้หญิงคนนั้นก็แต่งงานไปเรียบร้อยแล้ว ฉันแค่บอกให้คุณแม่รู้ ถ้าชิงไป๋กล้าทำผิดต่อฉัน ฉันจะไม่ให้อภัยและไม่มีทางกลับมาคืนดีอีก ส่วนลูกชายทั้งสามคนของฉันนั้นทางตระกูลโจวสามารถลืมไปได้เลยค่ะว่ามีพวกเขาอยู่ เพราะทุกคนจะเปลี่ยนไปใช้แซ่หลินของฉัน”
ท่านแม่โจวรีบปลอบใจ “แม่เจ้าใหญ่ อย่าโมโหไปเลยนะ นิสัยของชิงไป๋เป็นยังไงพวกเราทุกคนต่างรู้ดี เขาไม่มีทางกล้าจะทำผิดต่อเธอแน่นอน ไม่อย่างนั้นฉันจะเป็นคนแรกที่จะไม่ให้อภัยเขา!”
หลินชิงเหอพูดว่า “วันนี้ฉันยอมพี่สาวใหญ่และพี่สาวรองเรื่องที่จะให้เชิ่งเหม่ยกับหู่จือไปที่นั่นด้วย ซึ่งเดิมพี่สะใภ้รองเอ่ยปากถึงลิ่วนีขึ้นมาแต่ฉันไม่เห็นด้วย ฉันไม่รู้ว่ามันจะมีปัญหาอะไรไหมน่ะค่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ร้านค้าของเธอ เธอเป็นคนเห็นชอบว่าจัดการอย่างไรถึงจะเหมาะสม ใครจะว่าอะไรได้” ท่านแม่โจวรีบให้ความมั่นใจ
“พี่สะใภ้รองต้องการให้ลิ่วนีไปที่นั่นเหรอ?” โจวเสี่ยวเหมยตกใจจากนั้นก็กลอกตา “พี่สะใภ้รองชักจะหน้าใหญ่เกินไปแล้ว ลิ่วนีมีคุณงามความดีอะไรกัน? ครั้งก่อนหล่อนเข้าไปในเมืองไปกินอาหารที่บ้านฉันสองมื้อ หลังจากกินเสร็จ หล่อนแค่เช็ดปากแล้ววิ่งหนีหายจ้อยไปเลย!”
ไม่สำคัญว่าหล่อนจะช่วยล้างจานและกวาดพื้นหรือช่วยทำอะไรหรือไม่ เพียงแต่โจวเสี่ยวเหมยรับไม่ได้กับทัศนคติแบบนั้น ต่อมาเมื่อโจวลิ่วนีไปที่บ้านอีก 2-3 ครั้ง โจวเสี่ยวเหมยจึงทำเพียงปล่อยให้หล่อนกลับไปโดยไม่แม้แต่จะให้หล่อนได้อยู่กินอาหารด้วย
หล่อนเชิดหน้าทำหัวสูงขนาดนั้น จะให้เธอซึ่งเป็นคุณอาของหล่อนสุภาพด้วยได้อย่างไร? ปฏิบัติกับคนอื่นเหมือนเป็นคนโง่แบบนี้น่ะเหรอ?
“พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้สามต่างก็ไม่แนะนำให้พี่พาลิ่วนีไปด้วยเหมือนกัน” หลินชิงเหอพยักหน้า
“ก็ทุกคนอาศัยอยู่ที่นั่นกันหมดนี่คะ พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้สามพูดแบบนั้นก็ถูกแล้ว แม่อย่ากวนน้ำให้ขุ่นขึ้นมาเชียวนะคะ เข้าใจไหม? มีลูกสะใภ้ที่กตัญญูกับแม่อย่างพี่สะใภ้สี่ ถือว่าชีวิตนี้ของแม่มีหลักประกันแล้วนะคะ ถ้าแม่จะก่อเรื่องอะไรขึ้นมา หนูก็ไม่เห็นด้วยค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยหันมากำกับแม่ของหล่อน
หล่อนรู้นิสัยแม่ของตนเองดี
ท่านแม่โจวนิ่งเงียบไป หลินชิงเหอจึงเข้าไปช่วยพูด “คุณแม่กำลังคิดแทนฉันอยู่หรือคะ งั้นเมื่อเราไปอยู่ที่นั่นในอนาคต คุณแม่เลี้ยงไก่เพิ่มอีกสักสองตัวนะคะ ฉันชอบกินไก่ตุ๋นที่คุณแม่ทำ น้ำแกงไก่ตุ๋นมันอร่อยมากเลยค่ะ”
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหาแน่นอนจ้ะ” ท่านแม่โจวตอบตกลงอย่างรวดเร็ว
“ที่อยู่ที่นั่นใหญ่พอไหมคะ?” โจวเสี่ยวเหมยถาม
“พอนะ ยังมีพื้นที่ว่างอยู่ ถ้าอยากกินอะไรเธอก็ปลูกเองหรือจะเลี้ยงไก่ก็ได้” หลินชิงเหอผงกศีรษะ
“จริงสิ ต้าหลินกับหนูตัดสินใจว่าเราทั้งคู่จะไปพร้อมกับแม่และพ่อตอนหน้าร้อนนี้ด้วยนะคะ” โจวเสี่ยวเหมยกล่าว
“แกตัดสินใจแล้วจริง ๆ ใช่ไหม?” ท่านแม่โจวปลาบปลื้มมากและเอ่ยถามขึ้น
“อืม ตัดสินใจได้แล้วค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยยืนยัน
“เยี่ยม! เยี่ยมมาก! ไปที่นั่นเลย มีคนไปด้วยกันเยอะ ๆ ก็จะมีคนคอยดูแลกันเยอะขึ้น” ท่านแม่โจวกล่าวอย่างพอใจ
โจวเสี่ยวเหมยและซูต้าหลินไม่ได้กลับเข้าไปในเมืองจนกระทั่งเลยเวลาบ่ายสามโมงไปแล้ว ซึ่งซูต้าหลินไม่สามารถขัดท่าทางกุลีกุจอของแม่ยายได้จึงเอาไก่หนึ่งตัวกลับไปด้วย
พอถึงช่วงเย็น สะใภ้ใหญ่และสะใภ้สามก็มาเยี่ยม
สะใภ้รองไม่ได้มาที่นี่เลย เมื่อคิดดูแล้วก็ชัดเจนว่าเป็นเพราะหล่อนโกรธในเรื่องที่คุยกันวันนี้ หลินชิงเหอจึงไม่เก็บมาใส่ใจ
มันเป็นร้านของเธอเอง เธอจะรับสมัครคนงานเป็นใครก็ได้แล้วแต่ความต้องการหรือไม่ต้องการของเธอ ต่อให้เป็นแม่สามีอย่างท่านแม่โจวเป็นคนเอ่ยปากก็เปล่าประโยชน์ ฉะนั้นอย่าว่าแต่พี่สะใภ้คนหนึ่งเลย
“ทำไมพี่สะใภ้รองถึงไม่มาด้วยกันล่ะคะ?” แต่ภายนอกหลินชิงเหอก็ยังต้องแสร้งทำเป็นถามขึ้นมา
“วันนี้หล่อนถึงกับฝืนยิ้มด้วยซ้ำ” พี่สะใภ้ใหญ่เอ่ยถึงอย่างหมดหนทาง
“ใครจะไปตามใจหล่อน มันเป็นร้านของเธอ เธอจะเลือกใครก็ได้ที่เธอต้องการ อย่าไปสนใจหล่อนเลย” พี่สะใภ้สามพูดอย่างเผ็ดร้อน
หลินชิงเหอได้ยินก็ตอบกลับ “พวกเราทั้งหมดต่างเป็นครอบครัวเดียวกัน ฉันจะไม่อยากให้ครอบครัวของเราได้ดีได้อย่างไรกันคะ? ในอนาคตมันจะเป็นโลกของคนหนุ่มสาวเหล่านี้ พวกเขาจะได้สามารถช่วยดูแลกันและกันในอนาคต ฉันได้ยินเสี่ยวเหมยพูดให้ฟังวันนี้ว่าเด็กสาวคนนั้นเข้าไปในเมืองบ่อย ๆ แถมบอกว่าหล่อนยังทิ้งถ้วยชามไว้หลังกินอิ่มแล้วอีกด้วย”
มันไม่ใช่การซุบซิบนินทาเกี่ยวกับโจวลิ่วนี พวกเธอก็แค่พูดว่าเด็กสาวคนนี้เป็นคนไร้ยางอายเกินไป แต่พี่สะใภ้รองยังทำเหมือนกับว่าลูกสาวของหล่อนยอดเยี่ยมเต็มประดา ซึ่งคงจะเป็นเรื่องแปลกประหลาดหากหลินชิงเหอจะรักษามารยาทกับหล่อน เป็นแบบนี้ใครล่ะจะไม่โมโหบ้าง?