“มีสิ…”
ตงฟางเถียนเฟิงตอบอย่างแน่วแน่
“ในพันปีแรกแดนมณีได้บ่มเพาะบุคคลผู้ไร้เทียมทานออกมาเป็นกลุ่มใหญ่”
“ตลอดพันปีนั้นมีอยู่สามคนที่ไม่มีใครเทียบได้ พวกเขาคือกลุ่มคนที่ผนึกจิวโจวให้เป็นน้ำหนึ่งอันเดียว ถึงอย่างนั้น พวกเขาทั้งสามก็ตายไปแล้ว”
ซือหยูจับใจความได้เขาตาลุกวาว
“พวกเขาตายยังไง?”
“จักรพรรดิจิวโจวคนแรกตายเพราะอสูรภายในของตน!”
“จักรพรรดิจิวโจวที่สองตายด้วยน้ำมืออสูร!”
“จักรพรรดิจิวโจวที่สามตายด้วย…ดาวตก” เมื่อถึงคนสุดท้ายตงฟางเถียนเฟิงหยุดพูดที่กลางประโยคอย่างเห็นได้ชัด
ทุกคนเงียบเมื่อนางพูดจบทุก ๆ คนและเฉินอี้เจิงตายด้วยวิธีที่ผิดธรรมชาติ! พวกเขาแทบจะมองเห็นฝ่ามือยักษ์แห่งความมืดที่คอยทำลายการผนึกกำลังของจิวโจว
ซือหยูเห็นความเกี่ยวเนื่องกันของการตายเหล่านั้นอสูรภายในตน เผ่าอสูร ดาวตก ทั้งสามสิ่งที่ไม่ดูจะไม่เกี่ยวข้องกันนี้ทำให้ซือหยูคิดถึงสิ่งเดียว นั่นคือประตูชีวาล่อง!
ประตูชีวาล่องเกิดจากสิ่งที่ตกมาจากสวรรค์เผ่าอสูรมีตัวตนหลังจากที่ประตูชีวาล่องเปิด! มันคือพลังของเผ่าอสูรที่สืบทอดกันมาที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตตายเพราะอสูรภายในตน! และดาวตกนี่ไม่ใช่สัญลักษณ์ของอสูรและการมาของประตูชีวาล่องรึ? แล้วจักรพรรดิจิวโจวที่สองยังตายด้วยมือเผ่าอสูรโดยตรงอีก! เมื่อตระหนักความจริง ซือหยูรู้สึกว่าแผ่นหลังเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น เผ่าอสูรเป็นคนบงการทุกอย่างงั้นรึ?! เมื่อเขาคิดถึงหมาดำที่มีพลังอสูรหนาแน่นอยู่ทั้งตัวซือหยูก็เริ่มมั่นใจในการค้นพบยิ่งขึ้น เผ่าอสูรคือที่มาของสิ่งชั่วร้ายทุกประการ!
“จากที่ตระกูลบูรพาคาดเดามีร่องรอยของเผ่าอสูรอยู่เบื้องหลัง”
ตงฟางเถียนเฟิงบอกด้วยเสียงเคร่งเครียด
ฮั่นเฟยเลิกคิ้ว
“เผ่าอสูร!!”
“เผ่าพันธุ์ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของทุกเผ่าพันธุ์รึ?”
บันทึกโบราณบอกเอาไว้ว่าเผ่าอสูรนั้นไม่ได้มีอยู่มากมาย
แต่เรื่องหนึ่งที่แน่ใจก็คือในการรุกรานของเผ่าอสูรครั้งล่าสุดเผ่ามนุษย์ในจิวโจวแทบจะสูญสิ้นไป แต่เป็นเซียนมณีที่เข้ามาปกป้องเหล่ามนุษย์ เผ่ามนุษย์จึงได้ขยายเผ่าพันธุ์และฟื้นคืนมนุษยชาติกลับมา แต่ที่แปลกสำหรับตงฟางเถียนเฟิงก็คือซือหยูนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อยแม้ว่าฮั่นเฟยยังสีหน้าตึงเครียด
“ถ้าข้าเดาไม่ผิดเจ้าหมาดำที่ตระกูลข้าเรียกว่าวิญญาณทมิฬจะต้องเป็นเผ่าอสูร! มันคือผู้ร้ายตัวจริงที่เข่นฆ่าคนในจิวโจวมาโดยตลอด มันคือตัวการที่ทำให้เกิดการเสื่อมถอยในจิวโจว!”
ตงฟางเถียนเฟิงกล่าวอย่างเย็นชา
ฮั่นเฟยพยักหน้าเบาๆ
“นี่คือความจริงสินะหมาดำนั่นมีพลังอสูรอยู่จริง”
เมื่อพูดนางหันไปมองซือหยู พลังอสูรแบบเดียวกันมีอยู่ในตัวซือหยูด้วย
“ถ้าพูดตรงๆ เหตุผลหลักที่ข้าเข้ามาในแดนมณีไม่ใช่การค้นหาสมบัติ แต่เป็นการทำลายวิญญาณทมิฬ!”
ตงฟางเถียนเฟิงเหลือบมองพวกเขาสีหน้าของนางแน่วแน่ไม่หวั่นไหว ฮั่นเฟยถามอย่างไร้อารมณ์
“นี่คือเหตุผลที่ตระกูลบูรพามาที่แดนมณีสินะ?”
ตระกูลบูรพาเข้าใจอดีตและปัจจุบันอย่างถ่องแท้พวกเขารู้ว่าจิวโจวกำลังจะล่มสลาย พวกเขาวางแผนอะไรกัน? ฆ่าวิญญาณทมิฬและช่วยทุกสิ่งบนโลกหรือ?
“เจ้าคงไม่เชื่อแน่ถ้าข้าพูดว่าข้าตั้งใจจะแก้ไขเรื่องราวทุกอย่างและช่วยจิวโจว”
ตงฟางเถียนเฟิงพูดว่าร้ายให้ตัวเอง
“ข้าขอพูดอย่างนี้ก็แล้วกันตระกูลบูรพาหมายตาวิญญาณทมิฬมาหลายปี การฆ่ามันย่อมต้องเป็นประโยชน์มหาศาลแก่ตระกูลบูรพา ส่วนเรื่องผลประโยชน์ สิ่งเหล่านั้นคือความลับของตระกูลที่ข้าบอกพวกเจ้าไม่ได้”
“น่าเสียดายที่มันยังไม่ปรากฏตัวตอนนี้คือโอกาสล้ำค่าที่จะทำให้มันต้องออกมา ข้าต้องกำจัดมัน! ข้าต้องไปที่สวนสุสาน!”
ฮั่นเฟยพยักหน้า “อย่างไรก็มีผลประโยชน์ถึงเจ้าล่ะนะ”
บางทีกลุ่มคนที่ทุ่มเทอย่างไม่หวั่นไหวและไม่เห็นแก่ตัวที่ปรารถนาจะช่วยโลกอาจมีอยู่จริง ถึงอย่างนั้น กลุ่มคนที่ไม่ได้เล็งผลประโยชน์ก็ไม่มีอยู่ ทุกกลุ่มอำนาจย่อมต้องเฟ้นหาผลกำไร เช่นเดียวกับตระกูลใหญ่ ถ้าหากไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง และตระกูลบูรพาเพียงแค่ปกป้องจิวโจวจากอันตราย ฮั่นเฟยคงจะไม่เชื่อใจตงฟางเถียนเฟิงเลย
“แล้วพวกเจ้าล่ะ?พวกเจ้าจะไปตามล่ามันด้วยรึ? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไรกัน?”
ตงฟางเถียนเฟิงกระพริบดวงตาสดใสนางมองซือหยู ปิงหวูชิง และฮั่นเฟย
ฮั่นเฟยตอบได้ทันที
“พลังอสูร”
นางต้องการฆ่าหมาดำและเอาพลังอสูรอันบริสุทธิ์ของมันมาครอง
ปิงหวูชิงชี้โลหิตที่เปรอะเปื้อนพื้น
“กระบี่ยังอยู่ในมือข้า!” หลายคนตายอย่างทุกข์ทรมานและกลายเป็นสัตว์อสูรสิ่งเหล่านี้ได้ทำให้ปิงหวูชิงโกรธแค้นและอยากที่จะฆ่ามันให้ตาย
“แล้วเจ้าล่ะ?พี่ซือหยูของข้า คนที่ข้าไม่รู้ที่มา?”
ตงฟางเถียนเฟิงถาม
ซือหยูยิ้ม
“ข้าหหรือ?ข้าก็แค่จะยืนยันสิ่งที่ตัวเองคิด”
หลังจากดื่มน้ำผึ้งร้อยบุพผาซือหยูได้วิเคราะห์เรื่องราวเกี่ยวกับแดนมณีหลายประเด็น ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เขาจะยืนยันความคิดของตัวเอง
ตงฟางเถียนเฟิงหัวเราะเบาๆ
“ก็ดีพวกเรามีผลประโยชน์ร่วมกันทุกคน ไปหาเจ้านั่นกันเถอะ!”
ผลประโยชน์ร่วมกันรึ?ซือหยูไม่ยอมรับง่าย ๆ เขามักจะไม่เชื่อใจใครง่าย ๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงการสรุปเอาฝ่ายเดียวจากคนแปลกหน้าที่เขาเพิ่งจะได้เจอเป็นครั้งแรก
ทั้งสามมุ่งหน้าไปยังสวนสุดท้ายที่นั่นคือสุสาน
ก่อนจะเดินทางซือหยูหันไปมองหอวิชา มีอะไรอยู่เหนือชั้นสองของหอคอยร้อยชั้นกันแน่?
พวกเขามาถึงสุสานในวันต่อมา
“ฮ่าๆ สุสานคือสถานที่ที่ถูกบอกเล่าว่าเป็นที่เก็บสมบัติของเซียนมณี สมบัติของเซียนย่อมเกินกว่าจะประเมิน”
ตงฟางเถียนเฟิงมองหลุมศพหลากหลายขนาดในแววตามีความรู้สึกหลากหลาย
ท่ามกลางหลุมศพมีอยู่แห่งหนึ่งที่มีป้ายขนาดยักษ์ตระการตา มันสูงจนถึงชั้นเมฆ มันคือป้ายหลุมศพของเซียนมณี
“ช้าก่อน!ไม่ใช่ว่าสมบัติของเซียนมณีเน่าเปื่อยไปนานแล้วจนเหลือแค่ผลึกเทพหรอกรึ?”
ซือหยูขมวดคิ้วเล็กน้อยความเป็นจริงไม่ตรงตามตำนานนัก
ตงฟางเถียนเฟิงยักใหญ่ ไอลีนโนเวล
“สมบัติของเซียนมณียิ่งใหญ่พอกับสมบัติภูติเจ้าคิดว่ามันจะผุกร่อนได้ง่ายหรือ? มันก็แค่เรื่องเล่าผิด ๆ สิ่งเดียวที่หายไปคือดวงวิญญาณของนางที่กลายเป็นผลึกเทพ”
ของทั้งหมดยังอยู่ดีหรือ?ทุกคนตัวสั่นเล็กน้อย
“ถ้าเช่นนั้นแล้วหลุมศพอื่นเล่า?”
ซือหยูเหลือบมองหลุมศพมากมายหลายขนาดด้วยเนตรวิญญาณ เขาเห็นร่างทมิฬนับไม่าถ้วนรอบหลุมศพ เหล่านั้นล้วนมีกลิ่นอายพลังมหาศาล บางพลังนั้นเทียบได้กับเซียน! ซือหยูดูหวั่นเกรงเมื่อได้มอง
เมื่อได้ฟังคำถามตงฟางเถียนเฟิงเคร่งเครียดกว่าเดิมมาก
“หลุมศพอื่นคือผู้บุกรักที่ถูกเซียนมณีฆ่าตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่”
“ซากศพเหล่านั้นถูกขังอยู่ในสุสานดวงวิญญาณถูกพันธนาการให้ปกป้องหลุมศพของเซียนมณี มันจะไม่มีวันสลายไป”
“เสี่ยงมากที่จะเข้าใกล้หลุมศพของเซียนมณี!ดวงวิญญาณเหล่านั้นจะทำร้ายผู้บุกรุก!”
ฮั่นเฟยดูตกใจ
“เสี้ยววิญญาณของเซียน!”
เสี้ยววิญญาณของเซียนนั้นมีอันตรายแม้แต่กับนภาจรัส
ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้เมื่อมองดูดวงวิญญาณของเหล่าเซียน
ที่ชายแดนสุสานมีผู้เหลือรอดชีวิตเข้ามานอกจากซือหยู ใบหน้าของพวกเขาไม่คุ้นนัก พวกเขาอาจเป็นคนกลุ่มอื่นอีกสองหมื่นคนที่ไม่ได้ไปยังหอคอยร้อยชั้น
พวกเขาลังเลอยู่เช่นกันพวกเขามองป้ายหลุมศพด้วยความโลภ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าพอแม้จะผ่านเวลามานาน
“เจ้าพวกขยะใช้ไม่ได้!มันก็แค่หลุมศพคนตาย! หลีกไปให้พ้นทางข้า!” เสียงชายหนุ่มดังจากขอบนภาดังเสียงฟ้าผ่าชายร่างกำยำบินมาถึง เขาเหยียบเมฆร่อนถลาลม ทั้งตัวปกคลุมแสงสีทอง ทุกคนที่ได้เห็นต่างหลีกทางให้เขาด้วยความหวาดกลัว
ฮั่นเฟยและตงฟางเถียนเฟิงหันไปพร้อมกันนางทั้งสองที่เป็นนภาจรัสชักสีหน้า
“เจ้าคนบ้านั่นมาจากไหนกัน?”
ตงฟางเถียนเฟิงดูกล้าๆ กลัว ๆ
ฮั่นเฟยหรี่ตาอันงดงามนางเว้นทุกคำพูด
“นภาจรัสอันดับหนึ่งจางอู๋ชวงแห่งเขตกลาง!”
ในสี่นภาจรัสฮั่นเฟยอยู่ในลำดับที่สาม ตงฟางเถียนเฟิงนั้นเป็นอันดับสี่
คนแรกที่แข็งแกร่งที่สุดคือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคนี้เขาคือนภาจรัสตัวจริง ศิษย์คนแรกของราชาเขตกลาง จางอู๋ชวง!
ตู้ม!
แสงทองประกายทั้วฟ้าปกคลุมสวรรค์กว้างใหญ่จางอู๋ชวงร่อนลงกลางสวนสุสานด้วยแรงสั่นสะเทือนรุนแรง ป้ายหลุมศพมากมายล้มลงจากแรงสั่น
เหล่าเสี้ยววิญญาณเซียนนั้นโกรธแค้นด้วยพลังเหล่านั้น สวรรค์และฟ้าดินได้หม่นหมองลง เปลี่ยนเวลากลางวันเป็นค่ำคืน สายลมเย็นยะเยือกพัดเข้ามาไม่ขาดสาย
ยอดฝีมือที่อยู่ขอบสวนสุสานต่างถอยหนีด้วยความตกใจหลายคนที่ถอยช้าได้กลายเป็นฝุ่นผงจากสายลมทมิฬและสลายหายไป แม้แต่วิญญาณก็ไม่เหลือรอด
ท่ามกลางแสงสีทองจางอู๋ชวงเผยรูปลักษณ์ของตนเอง เขาสวมสุดเกราะทองคำเต็มตัว พลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่สนใจสิ่งใดแสดงให้เห็นด้วยตา เขายืนนิ่งในท่าที่จะบดขยี้ทุกสิ่งบนโลก
“จางอู๋ชวง?”
ซือหยูหรี่ตาเล็กน้อยเขาเป็นศิษย์ราชาเขตกลางหรือ? ตงฟางเถียนเฟิงจ้องมองและพูดด้วยความกลัว
“จางอู๋ชวงคือผู้ที่เกิดมาเพื่อเป็นราชา!เขาเกิดในตระกูลหลวงของชาวโลก”
“ได้ยินว่าตอนเขาเกินจิตวญยาณของจักรพรรดิและราชาสามพันคนได้เข้ามาเยี่ยมเยือนเขา เขาครองราชย์เมื่ออายุสามปี เอาชนะฝ่ายที่แข็งแกร่งขณะที่กำลังตัวเองอ่อนแอกว่าเมื่ออายุห้าปี เขาปกครองอาณาจักรของคนทั่วไปในเขตกลาง มีนับหมื่นประเทศที่ยอมจำนนต่อเขา!”
“พอสิบขวบเขาก็ได้ตั้งสำนักที่ไร้เทียมทาน กวาดล้างกลุ่มอำนาจในดินแดนนั้น สยบสามพันสำนักในเขตกลาง! พออายุได้สิบห้าปี เขาก็ไปถึงตำหนักเขตกลาง ชี้กระบี่ไปที่ใบหน้าราชาเขตกลาง!”
“พลังของเขาเป็นที่ชื่นชมของราชาเขตกลางราชาเขตกลางจึงรับเขาเป็นศิษย์! ได้ยินว่าตอนที่เขาอายุสิบห้า เขาสามารถรับหนึ่งกระบวนท่าของราชาเขตกลางได้โดยไม่พ่ายแพ้ สองกระบวนท่าเมื่ออายุสิบหก สามกระบวนท่าตอนอายุสิบเจ็ด”
“และตอนนี้เขาอายุสิบเก้าแล้วเขารับพลังของราชาเขตกลางได้ห้ากระบวนท่าโดยไม่พ่ายแพ้!”
“จากที่คนระดับสูงในตระกูลข้าประเมินเขาคือผู้มีพรสวรรค์ที่ทรงอำนาจที่สุดในชั่วกัลป์นี้ ในด้านพรสวรรค์ เขาเหนือกว่าจักรพรรดิจิวโจวในอดีต!”
“ตระกูลเราเดิมพันกับเขาไว้สูงเราเชื่อว่าเขาจะได้เป็นจักรพรรดิจิวโจวคนใหม่! เขาก้มลงมองโลกจากเบื้องบนมาตลอดชีวิตในตำแหน่งของผู้ปกครอง!”
เมื่อทุกคนฟังจบแม้แต่คนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามยังต้องทึ่ง เขาได้เป็นจักรพรรดิที่ปกครองทุกประเทศของมนุษย์ธรรมดาตั้งแต่ห้าขวบ! เขาเป็นเจ้าสำนักใหญ่ในเขตกลางลตั้งแต่อายุสิบขวบ! อีกทั้งยังชูกระบี่ใส่ราชาเขตกลางเมื่ออายุสิบห้า! เขาได้เป็นจักรพรรดิมาตั้งแต่กำเนิด! เกิดมาเพื่อเป็นผู้ปกครองหรือ?ซือหยูรู้สึกกดดันแปลก ๆ
“เขาแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่?เจ้าก็เป็นนภาจรัสเหมือนกัน เจ้าเคยรู้บ้างหรือไม่?”
ซือหยูถาม
ตงฟางเถียนเฟิงตอบอย่างขมขื่น
“พูดชัดๆ เขาเกิดมาเพื่อปกครอง! ไม่มีใครในระดับเดียวกับเขาที่จะมีพลังเทียบเท่าเขาได้แล้ว!”
“ในงานชุมนุมนภาจรัสครั้งที่แล้วในการคัดเลือกนภาจรัสรุ่นใหม่ เจ้ารู้วิธีที่เขาได้อันดับหนึ่งหรือไม่?”
ตงฟางเถียนเฟิงยกนิ้ว
“กระบวนท่าเดียวเขาเอาชนะพวกเราสามคนด้วยกระบี่ท่าเดียว!”
“เจ้าดูโลกวันนี้สิไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะรับมือกระบวนท่าเดียวจากเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม”
สามนภาจรัสรวมกับมิอาจรับกระบวนท่าเดียวของเขาได้หรือ?
“เขาคือจักรพรรดิที่ก้าวข้ามเหนือทุกคนในยุคสมัยข้าได้ยินว่าคนที่ชี้แนะห้าองครักษ์แสงกระจ่างที่เป็นองครักษ์ของราชาเขตกลาง หัวหน้าองครักษ์ซือตี๋หรือจักรพรรดิโลหิตและอสูรเนรมิตรที่แข็งแกร่งอีกหลายคนไม่ใช่ราชาเขตกลาง เพราะตัวเขาปิดประตูฝึกตนอยู่ตลอดเวลา แต่คนที่ชี้แนะคือเขา จางอู๋ชวง!”
“ถ้าอย่างนั้นคนเหล่านั้นก็ต้องเรียกว่าเขาว่า ‘อาจารย์’สิ”
เขาชี้แนะอสูรเนรมิตรที่แข็งแกร่งแม้กระทั่งจักรพรรดิโลหิตกับพวกห้าองครักษ์แสงกระจ่างรึ?
เขาเป็นคนยุคเดียวกับพวกเขาจริงๆ น่ะหรือ?