“อะไรนะ”
เยี่ยเม่ยลุกขึ้นอย่างไม่เชื่อ มองหลินซูเหย่าด้วยความสงสัย
หลินซูเหย่าก็มิได้โง่ นางรู้ดีว่าจากการแสดงออกต่างๆ นานา ของตนก่อนหน้านี้ เยี่ยเม่ยย่อมไม่เชื่อนางแน่ ดังนั้นจึงรีบอธิบาย “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เชื่อข้า แต่เจ้าไปดูก่อนเถอะ หลอกเจ้าหรือไม่ มองปราดเดียวก็รู้แล้ว”
ถึงแม้การกระทำทั้งหลายก่อนหน้าของสตรีตรงหน้า ทำให้เยี่ยเม่ยไม่มั่นใจจริงๆ
แต่เยี่ยเม่ยก็ไม่กล้าเดิมพัน หากเป็นเรื่องจริงขึ้นมา นางไม่ได้ช่วยเหลือ แล้วจิ่วหุนเกิดเรื่องขึ้น นางแบกรับผลลัพธ์ไม่ไหว
ดังนั้น เยี่ยเม่ยไม่พูดจา ก็รีบเดินออกไป
หลินซูเหย่าติดตามไปอย่างรวดเร็ว
เยี่ยเม่ยเดินไปพลาง ถามไปพลาง “เจ้ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
จะว่าไปแล้ว เยี่ยเม่ยยังคิดว่าตัวเองสะเพร่าเกินไปแล้ว จิ่วหุนบาดเจ็บ ส่วนนางฟุบหลับไปเพราะว่าเหนื่อยมาก
“ข้าได้ยินท่านพ่อกับแม่ทัพเซียวสนทนากัน…” หลินซูเหย่าติดตามเยี่ยเม่ยไป ทว่าอย่างไรเสียเยี่ยเม่ยก็เป็นคนที่มีฝีมือติดตัว ดังนั้นนางต้องวิ่งตามถึงจะทัน
เยี่ยเม่ยแววตาเย็นวาบ หันกลับไปมอง หลินซูเหย่า ทว่ายังไม่หยุดฝีเท้า
หลินซูเหย่าเล่าต่อทันที “ความหมายของพวกเขาคือ พวกเขารู้แล้วว่าคุณชายเสี่ยวจิ่วคือจิ่วหุน รู้ว่าคืนนี้มีคนจำนวนมาสังหารเขา แต่ก็ไม่ยื่นมือเข้าช่วย”
เยี่ยเม่ยหัวเราะเสียงเย็น “ข้าว่าไม่ใช่แค่ไม่ช่วยหรอกกระมัง”
หากคนจำนวนมากทำการลอบสังหารจริง การที่พวกเขาปะปนเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ก็เพียงพอจะพิสูจน์แล้วว่า คนพวกนี้ถูกปล่อยเข้ามาอย่างจงใจ
หลินซูเหย่ามิได้โง่ เข้าใจเหตุผลนี้ ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับบิดาตน ดังนั้นนางไม่กล้าพูดมาก
กลับถามว่า “เพียงแต่แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้ารู้แต่แรกแล้วหรือเปล่าว่าเสี่ยวจิ่วคือจิ่วหุน”
คำถามนี้ เยี่ยเม่ยไม่ตอบ
ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นมิตรหรือศัตรู ตอบคำถามออกไปอย่างพลการจะยิ่งแสดงความโง่เขลาออกไป
ระหว่างพูดคุย เยี่ยเม่ยเข้ามาถึงเรือนของจิ่วหุนแล้ว เป็นดังความคิด หน้าเรือนไม่มีคนเฝ้าประตูเลยสักคนเดียว ไม่ว่าพูดอย่างไร จากการแสดงออกของเสี่ยวจิ่วในสนามรบ พวกแม่ทัพเหล่านั้นก็ส่งองครักษ์หลายคนมาอารักขาหน้าเรือนเขา
ทว่าวันนี้ ไม่มีเลยสักคนเดียว
เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป กลิ่นคาวเลือดพุ่งเข้ามาทันที เยี่ยเม่ยกับหลินซูเหย่ามองไป ก็เห็นในห้องมีศพนอนเกลื่อน ทั้งยังถูกตัดหัว สภาพตรงหน้าสยดสยองมาก
บนพื้นนองไปด้วยเลือด
สภาพเช่นนี้ หลินซูเหย่ามองแล้วก็กระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนัก กลอกตาสิ้นสติไปแล้ว
เมื่อนางล้มลง เยี่ยเม่ยก็ได้สติรับร่างนางเอาไว้
เห็นหลินซูเหย่าหน้าขาวซีด คนไม่เหลือสติอีก กลับทำให้เยี่ยเม่ยเลิกสงสัยว่าเบื้องหน้าคือฉากที่แม่นางผู้นี้จัดไว้หรือไม่ ขวัญอ่อนขนาดนี้ จะเอาความกล้ามาวางแผนเช่นนี้ได้อย่างไร
ดูท่า หลินซูเหย่าผู้นี้ถึงจะชอบทำเป็นฉลาดแกมโกงไปบ้าง ชวนให้คนรังเกียจ แต่ก็ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์ชั่วช้า
เวลานี้นางไม่มีเวลาสนใจแม่นางผู้อ่อนแอนี่อีก นางวางหลินซูเหย่าที่หน้าประตู พิงไว้กับเสา จากนั้นก็สำรวจรอบห้องจิ่วหุน
บนพื้นคือรอยเลือด ดูจากร่องรอยการต่อสู้แล้ว เยี่ยเม่ยก็มองออกทันทีว่า จิ่วหุนยืนรับศึกอยู่ข้างเตียง
เยี่ยเม่ยมองศพบนพื้น มีร่องรอยกระบี่บนร่าง ทั้งยังรอยเท้าไม่ชัดเจนหลายรอยอยู่รอบๆ
รวมไปถึงหลังคาที่แตกออก ยังมีร่องรอยที่หน้าต่าง
นางหลับตาลง ภาพการต่อสู้ในห้องนี้วิ่งฉายอยู่ในสมอง
ลอบสังหาร หลังคา หน้าต่าง…
รอยเลือด
ในที่สุด…
เยี่ยเม่ยก็เปิดตาออก มองไปที่หลังคา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จิ่วหุนต้องเลือกกระโดดหนีไปทางหลังคาแน่
นางกระโดดทะยานขึ้นไปบนหลังคา
สำรวจรอยเลือดด้านบน เห็นรอยเท้า เยี่ยเม่ยเดินตามรอยเท้าไปสองก้าว จากนั้นสายตาก็สงบลง…
ที่พื้นยังมีรอยเลือดคล้ายถูกลากสายหนึ่ง
ดูท่าคงมีคนเลือดไหลไม่หยุดผู้หนึ่ง อีกทั้ง…
คนลอบสังหารจำนวนมาก หากหนึ่งในนั้นบาดเจ็บ ก็สมควรร่นถอยไป ให้คนอื่นผลัดเข้ามาสังหารต่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เสียชีวิต เลือดพวกนี้น่าจะไม่ใช่เลือดของพวกที่มาลอบสังหาร
ดังนั้นเป็นไปได้มากว่าเลือดพวกนี้เป็นของจิ่วหุน
ยามที่สายตาทอดยาวออกไปอีกหน่อย เยี่ยเม่ยก็นั่งยองดูอยู่ครู่หนึ่ง สายตาพลันปรากฏเพลิงโทสะ
ลากไปได้ไม่กี่ก้าว เลือดสดสีแดงก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม…
หมายความว่าอย่างไร
จิ่วหุนถูกพิษอีกครั้งแล้ว
คนพวกนี้ใช้พิษ ทั้งยังไล่สังหารจิ่วหุนอยู่นาน
ไม่ทันให้คิดมากอีก นางไม่อาจเสียเวลาโมโหอยู่ที่นี่ต่อไป เยี่ยเม่ยไม่พูดไม่จา ก็รีบไล่ตามรอยเลือดไป
สถานที่ที่จิ่วหุนจะไปเป็นทิศทางของเรือนที่นางพักอยู่
เยี่ยเม่ยเดินตามเส้นทางสายนี้ หลังจากทะยานอยู่บนหลังคาไปสิบกว่าเมตร นางก็ชะงักไปเล็กน้อย รอยเลือดไปอีกทางหนึ่ง
จิ่วหุนเปลี่ยนทิศทางแล้วหรือ
ทำไมเขาไม่ไปหานาง เพราะอะไรถึงไม่ไปขอความช่วยเหลือจากนางทันที ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนเส้นทางเล่า
หรือว่าด้านหน้ามีทหารไล่ล่ามา หรือว่า
เขาไม่อยากทำให้นางลำบากไปด้วยกันแน่
ในขณะที่ใช้ความคิดอยู่ที่นี้ เยี่ยเม่ยยิ่งทวีความเดือดดาลในใจ โมโหที่คนกลุ่มนี้ไล่สังหารจิ่วหุน ทั้งโมโหที่จิ่วหุนไม่ไปขอความช่วยเหลือจากนาง เดินทางถึงครึ่งทางก็ชิงเปลี่ยนใจไปก่อน
เยี่ยเม่ยเปลี่ยนเส้นทางทันที ติดตามรอยเลือดไป
ยามค่ำคืน ซินเยว่เยี่ยนที่เพิ่งเดินออกจากห้องของซือหม่าหรุ่ย คนทั้งสองสนทนากันจนล่วงเลยถึงเวลานี้ มองเห็นบนหลังคามีเงาร่างคน คล้ายกับเป็นเยี่ยเม่ย นางกระโดดขึ้น ติดตามไป
เยี่ยเม่ยรีบร้อนวิ่งทะยาน สายตาสอดส่องไปทั่วสารทิศ
ตลอดทางมาไม่มีร่องรอยต่อสู้เลย รอยเลือดหยุดที่ริมแม่น้ำ ก็ไม่เห็นอีกแล้ว
เยี่ยเม่ยในยามนี้สายตาสงบนิ่งลง
ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น นางหันหน้ากลับไปอย่างว่องไว เห็นผู้มาก็มุ่นคิ้ว “เป็นเจ้า”
“เกิดอะไรขึ้นแล้ว” ซินเยว่เยี่ยนถามออกไปทันที
เยี่ยเม่ยรู้สึกกระวนกระวายใจ รีบตอบ “จิ่วหุนเกิดเรื่องแล้ว ข้าไล่ตามมาถึงตรงนี้ ตลอดทางบนพื้นไม่มีร่องรอยการต่อสู้ รอยเลือดมาหยุดอยู่แค่ที่นี่ ความเป็นไปได้มากที่สุดคือ จิ่วหุนกระโดดลงไป เมื่อไม่มีทางหนี เขากระโดดน้ำหนีเอาชีวิตรอด”
“เอ๋” ซินเยว่เยี่ยนนิ่งไปเล็กน้อย นางไม่อยากเชื่อ เมื่อตอนบ่ายยังดีๆ อยู่เลยนิ
แต่นางตระหนักได้แล้ว เยี่ยเม่ยเรียกว่า จิ่วหุน… เยี่ยเม่ยไม่ปิดบังฐานะของจิ่วหุนอีก อย่างนั้นก็พิสูจน์ได้ว่า “ฐานะของจิ่วหุนแตกแล้วอย่างนั้นหรือ”
“อืม ไม่รู้ว่าเจ้าพวกไร้เหตุผลที่ไหนไล่สังหารเขา ข้าสะเพร่าเอง คิดไม่ถึงว่าจะมีคนจับจ้องยามที่พิษกำเริบลอบสังหารเขา” เยี่ยเม่ยโทษตัวเอง สีหน้าคล้ำง้ำงอ
ซินเยว่เยี่ยนรีบเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องโทษตัวเอง ไม่ใช่ปัญหาของเจ้าเลย ศัตรูอยู่ในที่ลับ พวกเราอยู่ในที่แจ้ง พวกเขาหาโอกาสลอบสังหารได้ ก็เท่ากับว่าพวกเขาติดตามจิ่วหุนมาเป็นเวลานานแล้ว ต่อให้ป้องกันก็ไม่ทัน”
สายตาเดือดดาลของเยี่ยเม่ยก็สงบลงราวน้ำในแม่น้ำ กัดฟันเอ่ยว่า “หากข้ารู้ว่าใครมันบงการอยู่เบื้องหลัง ข้าจะฉีกมันเป็นชิ้นแน่”