ตอนที่ 734 งานเลี้ยงหงเหมิน ( 1 )

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 734 งานเลี้ยงหงเหมิน ( 1 )

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ เดือนสิบเอ็ด วันที่ห้า ยามเว่ย ฟู่เสี่ยวกวนและคณะได้เดินทางมาถึงเมืองหนิงซาน

เมื่อได้พบกับซือหม่าเช่ออีกครา จึงเห็นว่านางซูบผอมลงกว่าเมื่อคราที่อยู่ในเมืองจินหลิงมากยิ่งนัก ใบหน้ามิมีน้ำมีนวลเหมือนเคย แม้แต่แววตาก็ดูเหนื่อยล้า มองดูแล้วช่างซีดเซียวเสียจริง

“ขอบคุณที่แบกรับความลำบากนี้เอาไว้”

“…มิได้ลำบากหรอก” ซือหม่าเช่อละสายตาที่มองไปยังใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนแล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย หัวใจของนางเต้นโครมครามอย่างควบคุมมิได้ นางหันหน้าไปทางอื่นด้วยท่าทีเขินอายแล้วตอบว่า “เพียงแต่ว่า อ่า… เมื่อคืนนี้เกิดเรื่องขึ้นจึงทำให้ข้ามิได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอก็เท่านั้น”

เรื่องที่โรงงานหงเย่หนึ่งเกิดไฟไหม้เมื่อคืนนี้ ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ได้รับรู้แล้ว “หากรู้สึกว่าเหนื่อยก็จงพักผ่อนเถิด… แท้ที่จริงข้าอยากจะแนะนำให้เจ้าลาออกจากตำแหน่งนี้เสียด้วยซ้ำ”

“มิได้ ! ” คำเอ่ยของนางตั้งมั่นยิ่ง ซือหม่าเช่อเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา “ข้ารู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้ช่างมีความหมายยิ่ง อีกทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็เป็นเพียงพวกหัวขโมยยามดึกเท่านั้น ข้าจะสามารถไขคดีได้ในมิช้า”

แสงสุริยาในฤดูหนาวส่องกระทบใบหน้าของนาง ทำให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมามิน้อย

ที่สวนด้านหลังของสำนักงานเขต ทั้งสองคนได้ร่วมดื่มชาและเจรจาเรื่องของหนิงซาน เป็นซือหม่าเช่อที่เอ่ยเสียส่วนมาก ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนก็รับฟังอย่างตั้งใจ

ต้องยอมรับว่าสตรีผู้นี้มีความพยายามในการทำหน้าที่ขุนนางได้อย่างดียิ่ง และนางก็กลายเป็นขุนนางที่ดีดั่งใจหวังได้จริง ๆ

อย่างน้อยที่สุด ณ ตอนนี้ ทั้งสิบสามมณฑลที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยเดินทางไป พบว่าซือหม่าเช่อเป็นผู้พิพากษาที่ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

เขตหนิงซานมีรายได้มากกว่าในเขตอื่นมากเลยทีเดียว เนื่องจากตระกูลซือหม่าได้เข้ามาลงทุนในพื้นที่แห่งนี้เป็นจำนวนมาก

อีกทั้งยังเป็นทรัพย์สินของนางเองอีกด้วย และแน่นอนว่าคุณงามความดีนี้ต้องเป็นของนางโดยมิต้องสงสัย

“หงเย่จี๋มิได้เข้าร่วมการทำสัญญาครัวเรือน เนื่องจากที่แห่งนั้นเป็นพื้นที่ของตระกูลจางเสียส่วนมาก เมื่อหลายวันก่อนท่านพ่อได้เดินทางไปเจรจาด้วยตนเองมาแล้วคราหนึ่งเพราะต้องการจะซื้อที่ดินในบริเวณนั้น แผนการเดิมของตระกูลข้าคือจะก่อตั้งโรงงานทอผ้าในหงเย่จี๋ประมาณ 10 แห่ง”

“โรงงานหงเย่หนึ่ง เดิมทีได้ทำการผลิตสินค้าไปบ้างแล้ว ผ้าไหมชุดแรกผลิตออกมายังมิทันได้ส่งออกไป โรงงานก็ถูกเผาไปเสียก่อน โรงงานหงเย่สองได้ก่อตั้งเสร็จสมบูรณ์แล้วและกำลังดำเนินการทอผ้า ส่วนโรงงานหงเย่สามปูพื้นฐานไว้เรียบร้อยแล้ว คาดว่าปีหน้าในเดือนสามคงจะสามารถผลิตสินค้าออกมาได้สำเร็จ ส่วนโรงงานอื่น ๆ ยังมิถึงไหน”

ซือหม่าเช่อระบายออกมาชุดใหญ่ น้ำเสียงของนางหยิ่งผยอง แต่ทว่าก็เจือความผิดหวังไว้เล็กน้อย

“ตระกูลจางมิขายให้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ซือหม่าเช่อใช้มือทั้งสองข้างกุมถ้วยชาเอาไว้แล้วดื่มเข้าไปหนึ่งอึก จากนั้นก็พยักหน้ารับ นางจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความคับแค้นใจมากยิ่งนัก “ตามที่ท่านกล่าวไว้…ขุนนางมิอาจข่มขู่หรือบังคับให้ชาวบ้านทำการซื้อหรือขายได้”

จางผิงจวี่ผู้นั้น ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอในงานเลี้ยงไป๋โส่ว

เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “เอาเยี่ยงนี้ดีหรือไม่ คืนนี้จงจัดงานเลี้ยงขึ้นมาสักโต๊ะในนามของข้า แล้วเชิญผู้อาวุโสตระกูลจางมาร่วมงานนี้ด้วย…”

เขายังมิทันได้กล่าวจบ หลี่ฉงจือปลัดอำเภอก็เดินเข้ามาแล้วโค้งคารวะฟู่เสี่ยวกวน ก่อนจะกระซิบเบา ๆ ว่า “ใต้เท้าขอรับ เรือนจางส่งเทียบเชิญมา 1 ใบเพื่อเชิญติ้งอันป๋อและใต้เท้าซือหม่าโดยเฉพาะ กล่าวว่างานเลี้ยงนี้จัดขึ้นที่เรือนตระกูลจางเพื่อต้อนรับติ้งอันป๋อขอรับ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ เขารับเทียบเชิญนั้นไปอ่านแล้วตอบกลับพร้อมรอยยิ้มว่า “จงบอกกับเขาว่าข้าจะไปให้ตรงเวลา”

“รับทราบขอรับ ! ”

หลี่ฉงจือกลับออกไป จากนั้นซือหม่าเช่อก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน “เหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อคืนนี้อาจจะเป็นฝีมือของตระกูลจาง ดังนั้นงานเลี้ยงครานี้เกรงว่าคงมิใช่เรื่องดี ! ”

“แท้ที่จริงแล้ว ข้าคาดหวังเหลือเกินว่าจะเป็นงานเลี้ยงหงเหมิน ! ”

ซือหม่าเช่อชะงักงัน “งานเลี้ยงหงเหมินคืออันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“อ่า…ก็คือ” ฟู่เสี่ยวกวนเกาศีรษะแล้วตอบกลับว่า “ก็คือการจงใจจัดงานเลี้ยงขึ้น แต่แท้ที่จริงแล้วมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมฉลอง แต่ทว่าเป็นการตั้งใจสังหารต่างหาก ! ”

ซือหม่าเช่อรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันใด “มิได้การ ท่านไปมิได้เป็นอันขาด ! ตระกูลจางมีสมาชิกมากกว่า 100,000 คนอยู่ที่หงเย่จี๋ เพียงแค่เรือนประจำตระกูลของเขาก็มีผู้ดูแลมากถึง 300 คนแล้ว ด้านทหารยามของเมืองหนิงซานมีเพียงแค่ยี่สิบกว่าคนเท่านั้น จะปกป้องท่านจากอันตรายได้เยี่ยงไร ? ”

“วางใจเถิด เพราะเขามิใจกล้าเช่นนั้นหรอก”

“แล้วหากเขาใจกล้าบ้าบิ่นขึ้นมาเล่า ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบว่า “เช่นนั้นก็เชิญเจ้าชื่นชมหยาดโลหิตของตระกูลจางที่ไหลเจิ่งนองได้เลย ! ”

ซือหม่าเช่อมิรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนเอาความมั่นใจนี้มาจากที่ใด ต่อจากนั้นก็พบว่าฟู่เสี่ยวกวนเรียกหนิงซือเหยียนและจัวตงหลายเข้ามา พวกเขากระซิบกระซาบกันอยู่สองสามประโยคจากนั้นทั้งสองคนก็หายออกไป ส่วนสวี่ซินเหยียนยังคงอยู่ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนดังเดิม

“หากจะจับโจรต้องจับหัวหน้าโจรให้ได้เสียก่อน…แน่นอนว่าหากเขามิเริ่มก่อน ข้าก็จะมิทำอันใดเขา เพียงแค่เตรียมการให้พร้อมเท่านั้นเอง นี่ก็ใกล้ปีใหม่ เจ้าจะเดินทางกลับหยิงชิวหรือไม่ ? ”

ซือหม่าเช่อยังคงเป็นกังวลเรื่องงานเลี้ยงหงเหมินนี้อยู่ คาดมิถึงว่าอยู่ ๆ ฟู่เสี่ยวกวนจะเอ่ยเรื่องปีใหม่ขึ้นมา

“ปีนี้คาดว่าคงมิได้กลับไป ท่านพ่อและท่านพี่ล้วนอยู่ที่นี่ ส่วนท่านปู่กับท่านย่าก็กำลังเดินทางมาเช่นกัน…” ซือหม่าเช่อหยุดลงชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “พวกเราได้ซื้อเรือนแห่งหนึ่งเอาไว้ที่เมืองหนิงซาน ส่วนท่านพี่ได้ซื้อไว้ที่เมืองว่อเฟิง สภาพอากาศที่นี่ดีกว่าหยิงชิวมากนัก ท่านปู่ตั้งใจจะสร้างเรือนหลักประจำตระกูลซือหม่าที่ว่อเฟิงเต้า และคาดว่าในอนาคตจะทำธุรกิจที่ว่อเฟิงเต้าเป็นหลัก”

ถือว่าเป็นเรื่องดีมากทีเดียว การประมูลราคาบ้านเรือนในว่อเฟิงเต้านั้น ตระกูลผู้นำการค้าทั้งห้าแห่งราชวงศ์หยูก็ได้เข้าร่วมประมูลด้วยเช่นกัน พวกเขาได้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในที่ราบว่อเฟิงเอาไว้ รวมกับกองทุนที่พวกเขาลงทุนในว่อเฟิงเต้าก็คาดว่าต้องการใช้พื้นที่แห่งนี้เป็นฐานการผลิต

“ท่าน…ท่านจะกลับเมืองจินหลิงเมื่อใด ? ”

“ข้าคิดว่าจะไปดูรอบ ๆ นี้เสียหน่อยแล้วค่อยกลับ น่าจะราว ๆ ปลายเดือนสิบเอ็ด”

“อ่า…แล้วจะกลับมาอีกเมื่อใดเล่า ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย แล้วตอบกลับไปว่า “เกรงว่าจะมิใช่เร็ว ๆ นี้”

ซือหม่าเช่อเผยสีหน้าเศร้าหมอง นางนึกในใจว่าเขาเป็นถึงหัวหน้ากรมการค้าเชียว อีกทั้งฮูหยินทั้งสามก็น่าจะคลอดบุตรเรียบร้อยแล้ว เขาคงจะอยู่ที่เมืองจินหลิงสักพักใหญ่ ๆ

ซือหม่าเช่อคาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะพาทหารดาบเทวะไปเยือนผืนปฐพีของชาวฮวง และเขาก็มิได้เอ่ยถึงมันแม้แต่คำเดียว

เขามิได้ต้องการจะปกปิดเป็นความลับแต่อย่างใด เพราะแท้ที่จริงตั้งใจจะปล่อยข่าวลือเรื่องที่จะเดินทางไปสู้กับชาวฮวงออกไปเสียด้วยซ้ำ

“เมื่อมิกี่วันก่อน ท่านพ่อกล่าวว่ามีความเป็นไปได้มากยิ่งนักที่ท่านจะกลับไปยังราชวงศ์อู๋ จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าตอบ “หากมิมีอันใดขัดข้อง ข้าคงอยู่ในราชวงศ์หยูอีกประมาณ…ปีหรือสองปีเห็นจะได้ เมื่อถึงเวลานั้นคาดว่าว่อเฟิงเต้าคงเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว มิมีสิ่งใดให้ต้องกังวลอีก”

ซือหม่าเช่อเบ้ปากเล็กน้อย นางมิได้กังวลถึงอนาคตของว่อเฟิงเต้าเสียหน่อย

“เช่นนั้นข้า…ก็เป็นขุนนางต่ออีกสักปีสองปีก็แล้วกัน”

ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก ประโยคเมื่อครู่ชัดเจนมากยิ่งนัก “เจ้าควรตริตรองให้ดี”

ซือหม่าเช่อยกยิ้มด้วยความดีใจ นางเองก็เข้าใจในความหมายนี้เช่นกัน “ข้าตริตรองมาอย่างดีแล้ว แท้ที่จริง…” ซือหม่าเช่อกำชายเสื้อแล้วเอ่ยด้วยท่าทีเขินอายเหมือนสาวน้อย “แท้ที่จริงท่านพ่อมีโครงการลงทุนอีกอย่างหนึ่ง คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า”

“ลงทุนอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ลงทุนสร้างโรงงานที่ราชวงศ์อู๋ ในรั่วซีโจวและชิงหัวโจวเจ็ดรัฐทางใต้แห่งราชวงศ์อู๋เป็นสถานที่ปลูกหม่อมเลี้ยงหนอนไหมอันเลื่องชื่อ แต่การถักทอมิก้าวหน้าเท่าราชวงศ์หยู จากความคิดของท่านพ่อแล้ว เห็นว่าท่านน่าจะยินดีต้อนรับเขาเข้าไปยังราชวงศ์อู๋ใช่หรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้น การที่ตระกูลซือหม่าสามารถก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในห้าตระกูลผู้นำการค้าแห่งราชวงศ์หยูได้ นั่นก็หมายความว่าพวกเขามีสายตาและมีความคิดแหลมคมมิเหมือนผู้ใดนั่นเอง