ตอนพิเศษ 2-1 ยอน ชิน

วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์

ตอนพิเศษ 2 ยอน ชิน

 

 

 

 

“ฝ่าบาทเสด็จ”

 

 

กยอลวัยห้าขวบทิ้งพู่กันทันทีแล้วลุกพรวดเมื่อได้ยินเสียงดังจากด้านนอก

 

 

“จัดให้เรียบร้อยด้วยสิองค์ชาย”

 

 

รยูฮาที่คอยดูอยู่ดุเขา แม้ความดื้อรั้นจะปรากฏบนใบหน้าเล็กเท่ากำปั้น แต่มือก็ล้างพู่กันอย่างเอาจริงเอาจังและวางมันไว้ข้างๆ จานฝนหมึก จากนั้นจึงหันหลังกลับไปกระโดดใส่อ้อมกอดของพ่อซึ่งคิดถึงอยู่ตลอดเวลา

 

 

“เสด็จพ่อ!”

 

 

“องค์ชายของพวกเรารอพ่ออยู่หรือ”

 

 

ฮอนก้มตัวลงแล้วอุ้มกยอลขึ้นมาอย่างสบายๆ ก่อนจะระดมจูบลงบนแก้มป่องนั้น พ่อกับลูกชายนั่งลงตรงที่นั่งโดยที่ยังกอดกันไม่ปล่อยเพราะเป็นการพบเจอกันที่พิเศษ ส่วนยอนก็นั่งมองดูพวกเขาเงียบๆ อยู่ข้างๆ

 

 

“วันนี้ทรงสบายดีใช่หรือไม่เพคะเสด็จพ่อ”

 

 

แม้จะเป็นเด็กอายุแปดขวบ แต่การพูดการจาของยอนกลับไม่เหมือนเด็กแม้แต่น้อย คงจะเป็นเพราะว่านางคือองค์หญิงเพียงพระองค์เดียวในวังหลวง อันมีองค์ชายสามพระองค์ และลูกพี่ลูกน้องเป็นองค์ชายอีกหนึ่งพระองค์ ซึ่งฮอนมองว่าทั้งน่ารัก ทั้งน่าเอ็นดู

 

 

“สบายดีสิ ยอนของพ่อจุ๊บตรงนี้หน่อยได้หรือไม่”

 

 

ฮอนยิ้มแย้มพร้อมกับเอาแก้มตัวเองไปใกล้ๆ ทว่าอีกฝ่ายไม่ยอมง่ายๆ ยอนส่ายหน้าไปมาพร้อมใช้มือเล็กๆ ปิดปาก ก่อนจะพูดอย่างเย็นชา

 

 

“โปรดทรงรักษาพระเกียรติด้วยเพคะเสด็จพ่อ เดี๋ยวข้าราชพริพารจะนินทาเอาได้”

 

 

“ทุกคนออกไปให้หมด”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

 

 

เหล่าข้าราชบริพารพากันถอยหลังออกผ่านประตูเปิดกว้าง เมื่อประตูปิดลงหลังจากขันทีคนสุดท้ายออกไป ฮอนก็ยิ้มแย้มอย่างพึงพอใจ

 

 

“ตอนนี้ได้แล้วใช่หรือไม่”

 

 

ว่าพลางขยับแก้มไปใกล้อีกครั้งและแตะเบาๆ ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็คงต้องทำให้สักครั้งสินะ ยอนถอนหายใจพร้อมแตะริมฝีปากลงดังจุ๊บอย่างไม่เต็มใจ

 

 

“ไหนดูสิ กยอมของพ่อ มานี่เร็ว”

 

 

หลังได้รับหอมจากลูกสาว ฮอนอารมณ์ก็ดีขึ้นราวกับจะบินได้ จากนั้นจึงรับตัวองค์ชายคนสุดท้องที่เพิ่งผ่านสิบเดือนมาได้หมาดๆ จากรยูฮามาอุ้มเอง

 

 

“ป้อ! ป้อ!”

 

 

“องค์ชายของพวกเรา เรียกพ่ออย่างนั้นหรือ”

 

 

“แค่ส่งเสียงอ้อแอ้เพคะเสด็จพ่อ”

 

 

ยอนชิงพูดประโยคที่รยูฮาเคยพูดเสียก่อน ฮอนหัวเราะเสียงดังพร้อมกับอุ้มกยอมไว้ที่ไหล่ด้านซ้าย

 

 

“ชินไปไหนแล้วล่ะพระมเหสี”

 

 

“หลังทะเลาะกับยอนก็ไปตำหนักองค์ชายคังเพคะ”

 

 

“ทำไมอีกล่ะ”

 

 

ชินกับยอนเป็นคู่แฝด เวลาเล่นก็เล่นด้วยกันเป็นอย่างดี แต่ก็มักจะทะเลาะกันใหญ่โตสามวันครั้งเป็นประจำ ชินชอบไปหาคังเวลาทะเลาะกับยอนหรือไม่ก็ถูกผู้ใหญ่ดุเสมอ นั่นทำให้ฮอนนึกถึงตัวเองสมัยเด็กที่เคยตามชานต้อยๆ และยิ่งคังโตขึ้น เขาก็ยิ่งเหมือนชานยิ่งขึ้นไปอีก

 

 

“ไยทะเลาะกับชินอีกแล้ว”

 

 

ฮอนหันมองยอนด้วยสีหน้าจงใจขึงขัง หากเป็นชินหรือกยอลก็คงจะกลัวไปแล้ว แต่สำหรับยอน ขนคิ้วกลับไม่กระดิกสักเส้น

 

 

“ท่านพี่ทำหมึกกระเด็นใส่ชุดที่หม่อมฉันชอบที่สุด”

 

 

“งั้นก็เปลี่ยนชุดใหม่ก็ได้มิใช่หรือ”

 

 

“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ชุดเพคะ แต่ในสถานการณ์ที่ท่านพี่ควรจะขอโทษ เขากลับป้ายหมึกบนหน้าหม่อมฉันแล้วหัวเราะคิกคัก”

 

 

เหตุการณ์ที่เด็กน้อยสองคนทะเลาะกันปรากฏชัดตรงหน้าเขา ฮอนจึงพยายามกดมุมปากที่รังแต่จะยกขึ้นอย่างจริงจัง

 

 

“แล้วเจ้าทำอย่างไรล่ะ”

 

 

“หม่อมฉันก็เลยราดหมึกทั้งหมดใส่หัวท่านพี่เพคะ”

 

 

“เฮ้อ”

 

 

ฮอนส่งลูกคนเล็กคืนให้รยูฮาและนั่งลงตรงข้ามกับยอน

 

 

“เรื่องนั้นลูกผิดนะ การทำแบบเดียวกันคืนเมื่ออีกฝ่ายทำผิดมันไม่ใช่วิถีของผู้มีปัญญา”

 

 

“แต่หม่อมฉันไม่ได้ทำเหมือนท่านพี่นะเพคะ”

 

 

“ยังไงหรือ”

 

 

“หลังทำให้ศีรษะและเสื้อผ้าของท่านพี่เปื้อนแล้ว หม่อมฉันก็กล่าวขอโทษและบอกอีกด้วยว่าถ้าทำผิดก็ต้องขอโทษ พอพูดอย่างนั้น ท่านพี่ก็ร้องไห้แล้วออกไปเลย เสด็จพ่อ หม่อมฉันทำผิดหรือเพคะ หม่อมฉันก็แค่เสียใจที่ไม่ได้ใส่ชุดโปรด มันคือกระโปรงสีดอกบ๊วยที่เสด็จพ่อทรงชมว่าสวยเมื่อคราวก่อน แต่สุดท้ายหม่อมฉันก็ไม่ได้รับคำขอโทษ”

 

 

หลังแก้ต่างให้ตนเอง ยอนก็ทำหน้าเศร้าเงยหน้ามองฮอน ดวงตากลมใต้เงาขนตายาวเป็นประกายน่าสงสาร ยอนอาจจะไม่รู้ แต่รยูฮาเองก็เคยทำเช่นนี้ยามตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบเช่นกัน เพราะฉะนั้นนอกจากอีกฝ่ายจะไม่ดุแล้ว ยังทำทุกอย่างตามที่ต้องการให้อีกด้วย

 

 

แม้กระทั่งนักดาบมือหนึ่งยังอ่อนลงเพราะเล่ห์เหลี่ยมนั้น มีหรือฮอนจะไม่โดน หางคิ้วตรงจึงตกลงมาเหมือนกับคิ้วของลูกสาว

 

 

“ไม่ใช่อย่างนั้น ลูกไม่ได้ทำผิด ยอนของพ่อเสียใจใช่หรือไม่”

 

 

“เพคะเสด็จพ่อ หม่อมฉันเสียใจ”

 

 

ยอนว่าพลางเดินเข้าหาอ้อมแขนอ้ากว้าง นางใช้วิธีนี้เพื่อผ่านช่วงวิกฤตเสี่ยงจะโดนดุ ฮอนแนบหน้าลงกับแก้มยิ้มน้อยๆ คล้ายไม่มีท่าทางจะร้องไห้มาก่อน เขาใช้ปลายนิ้วลูบเส้นผมที่ถักเปียอย่างสวยงาม

 

 

“น่ารักเช่นนี้โตขึ้นอยากเป็นอะไรเล่า”

 

 

“อืม หม่อมฉันอยากเป็นสามัญชนเพคะ”

 

 

คำตอบที่ไม่คาดคิดทำให้รยูฮาหันไปมองยอน โดยไม่สนใจกยอมที่อุ้มอยู่ ส่วนฮอนก็เอียงคอด้วยความสงสัย จู่ๆ ก็บอกว่าอยากเป็นสามัญชนเนี่ยนะ

 

 

“สามัญชน แล้วจะทำอะไรล่ะ”

 

 

“เป็นสามัญชนมันมีอิสระไม่ใช่หรือเพคะ ถ้าได้เป็นสามัญชน หม่อมฉันจะออกท่องเที่ยว อยากเห็นทะเลที่ไม่ว่ามองออกไปไกลแค่ไหนก็มีแต่น้ำทะเลสีคราม อยากเห็นทะเลทรายที่ไม่ว่าจะไปไกลกี่พันลี้ก็มีแต่ทรายด้วย”

 

 

ไม่ได้หรือเพคะ ยอนถามปิดท้ายพร้อมกับทำน่าเศร้าอย่างน่าเอ็นดู มันเป็นสีหน้าที่รยูฮาเคยทำบ่อยๆ ตอนอารมณ์ดี ฮอนจึงไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มตามได้

 

 

“ทำไมจะไม่ได้เล่า ถ้ายอนของพวกเราอยากเห็นทะเล พ่อก็จะสร้างเรือให้ ถ้าอยากเห็นทะเลทราย พ่อก็จะซื้ออูฐให้”

 

 

“อูฐ? อูฐคืออะไรหรือเพคะ”

 

 

“มันคือม้าที่ใช้ขี่ในทะเลทรายน่ะ สามารถบรรทุกของได้มากมาย และเดินเป็นเวลานานมากๆ ได้อีกด้วย”

 

 

ไม่รู้ว่าความเย็นชาเมื่อครู่หายไปไหนหมด แต่ยอนที่กำลังเงี่ยหูฟังเสียงอ่อนโยนอยู่ในอ้อมกอดก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อยเท่านั้น ว่าแล้วเชียว ไยถึงใสซื่อขนาดนั้นกันนะ หลังจากมองดูพ่อกับลูกสาว รยูฮาก็ส่ายหัวพลางตบกล่อมกยอมเบาๆ แล้วออกเสียงเรียกด้านนอก

 

 

“ซังกุงแม่นมอยู่ตรงนั้นหรือไม่”

 

 

“เพคะพระมเหสี”

 

 

“มารับองค์ชายสามไปหน่อย แล้วก็พาองค์ชายรองกับองค์หญิงกลับตำหนักด้วย”

 

 

“จะไปแล้วหรือ เพิ่งจะได้เจอกันเอง”

 

 

ฮอนกอดยอนแน่นเหมือนกลัวใครจะมาแย่ง แสดงความไม่พอใจด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่รยูฮาก็ยังคงยืนกรานเช่นเดิม

 

 

“ไว้เจอกันอีกทีพรุ่งนี้ตอนเข้าเฝ้านะเพคะ กว่าจะกลับไปเตรียมตัวนอนก็ดึกดื่นแล้ว”

 

 

นางตัดความตั้งใจของฮอนดังฉับราวกับตัดหัวไชเท้า ส่งกยอมให้ซังกุงแม่นมและบอกให้ลูกคนโตกลับด้วย วังจานยองที่วุ่นวายมาทั้งวันเพราะสี่พี่น้องเข้าสู่ช่วงอยู่ในความเงียบสงบ แต่แน่นอนว่าบนเตียงนอนที่มีม่านรายล้อม ณ ส่วนที่ลึกที่สุดของวังจานยองกลับไม่ได้มีความเงียบสงบใดๆ

 

 

“เร็วสิ นะ”

 

 

เสียงออดอ้อนเซ้าซี้รยูฮา ชุดนอนส่งเสียงดังสวบสาบทุกครั้งที่ทั้งสองเคลื่อนไหว

 

 

“ทรงรีบอะไรขนาดนั้นเพคะ”

 

 

รยูฮาดึงแขนออกอย่างเย็นชา แต่ก็ไม่อาจเมินเฉยคนที่เอาแต่มองจากข้างๆ เหมือนลูกหมาเปียกฝนได้

 

 

“อย่าทรงมองด้วยสายตาแบบนั้นเพคะ”