“แค่นำอาหารมาก็พอแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องนำเสื้อผ้ามา ในไม่ช้าก็จะมีคนนำเสื้อผ้ามาเอง” หลิน ชูจิ่วไม่ต้องการปฏิเสธความปรารถนาดีของผู้หญิงคนนั้น แต่เธอรู้ว่าเสื้อผ้ามีความสำคัญต่อคนทั่วไปอย่างไร เสื้อผ้าสำหรับพวกเขาราวกับเป็นสิ่งที่หรูหรา

       เมื่อผู้หญิงคนนั้นได้ยินคำพูดของหลิน ชูจิ่ว ผู้หญิงอีกสองคนก็บอกว่าพวกนางจะกลับไปทำอาหารที่บ้าน หลิน ชูจิ่ว เห็นว่าเด็ก ๆ กินอาหารแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น พวกเขาต้องกินอีกครั้งหลังจากสองชั่วยามผ่านไป ดังนั้นเธอจึงให้เงินกับทหารคุ้มกันเพื่อให้ไปซื้อข้าว

       พวกผู้หญิงต่างก็เห็นถึงความเอื้ออาทรของหลิน ชูจิ่ว ดังนั้นที่เหลือจึงบอกว่าพวกนางจะไปหาเตาเพื่อที่จะต้มน้ำ เพราะไม่ว่าจะอย่างไรเด็กบางคนก็กระหายน้ำมาก

       ทหารคุ้มกันมองไปที่เสี่ยวเทียนเหยาและมองไปที่หลิน ชูจิ่ว เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเขาไม่จำเป็นอีกต่อไป เขาก็หายไปในทันที

       ไม่มีเตาในสวนหลังบ้าน แต่มีบ่อน้ำ พวกผู้หญิงให้ทหารสร้างเตาธรรมดา ๆ จากหินในสวนหลังบ้านขึ้นมา จากนั้นพวกนางก็ออกไปข้างนอกเพื่อซื้อฟืน หมอและถังไม้ แต่ละคนต่างก็ยุ่งกันไปหมด

       ไม่มีบ้านเรือนแถวสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง มีเพียงไม่กี่คนที่มาที่นี่ แต่ตอนนี้ผู้คนเข้าๆ ออกๆ ฉากนี้จึงดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้อย่างรวดเร็ว และก็ยังมีคนที่อยากรู้อยากเห็นวิ่งเข้ามาใกล้เพื่อดูสถานการณ์ภายใน แต่หลังจากที่เขาเห็นสถานการณ์ข้างใน ดวงตาของเขาเบิกกว้างและรีบวิ่งจากไป

       ทันทีที่เขาวิ่งออกไปไกลแล้ว เขาก็ถูกผู้คนล้อมรอบเอาไว้ ก่อนจะถามขึ้น “กั้วเอ้อร์มีอะไร เกิดอะไรขึ้นข้างใน?”

       ชายที่ชื่อกั้วเอ้อร์ ส่ายหัวและพูดขึ้นทันที “มีคนโง่กำลังดูแลเด็ก ๆ อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง”

“อะไรนะ? มีคนไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทังหรือ? ใครบางคนถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะโชคร้าย พวกเจ้าหน้าที่จะมาแน่นอน รีบหลบไปให้ไกลจากที่นี่เพื่อที่พวกเราจะไม่ถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วยกันเถอะ” คนที่รู้บางอย่างพูดขึ้น คนที่ไม่รู้ก็งงงวยเป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงดึงคนที่รู้มาและสอบถาม แต่ก็ไม่มีใครเต็มใจที่จะให้คำตอบแก่พวกเขา ความปั่นป่วนนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

       คนที่ต้องการดูการแสดงสดนั้นต่างก็ไม่กลัวที่จะทำเรื่องใหญ่  พวกเขากระจายข่าวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง …

       กลุ่มเจ้าหน้าที่ของราชสำนักปรากฏตัวบนถนน ผู้ชมทุกคนต่างก็ตกใจกับเรื่องนี้ พวกเขาแยกย้ายกันไปและเปิดทางให้กับเจ้าหน้าที่ทันที

       โดยไม่คำนึงถึงผู้เข้าชม กลุ่มเจ้าหน้าที่ต่างก็ล้อมรอบพื้นที่เอาไว้ เมื่อผู้นำของเจ้าหน้าที่เห็นเงาคนอยู่ภายในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง ใบหน้าของเขาก็ดำมืดลงและดึงดาบออกมา ก่อนจะวิ่งเข้าไปข้างใน

“ ใครกล้าที่จะสร้างปัญหาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง?” มีเพียงหลิน ชูจิ่วเท่านั้นที่เหลืออยู่ดูแลเด็ก ๆ ในห้องโถง ส่วนเสี่ยวเทียนเหยาผู้ที่นั่งอยู่ตรงมุมยังคงปกปิดกลิ่นอายของเขาเอาไว้อย่างสมบูรณ์

       ภายในผู้นำไม่ได้สังเกตเห็นการดำรงอยู่ของเสี่ยวเทียนเหยา ดังนั้นเขาจึงชี้ดาบของเขาไปที่หลิน ชูจิ่วทันที “นางเป็นคนที่สร้างปัญหาภายในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง มานำตัวนางออกไป” เมื่อผู้นำพูดจบ เจ้าหน้าที่สองคนก็เดินไปข้างหลังหลิน ชูจิ่วเพื่อนำนางออกไป

“ ช้าก่อน” หลิน ชูจิ่วเองก็ตกใจ เธอก้าวกลับไปพร้อมกับทารถน้อยแล้วพูดขึ้นทันที “เจ้าเป็นใคร ข้าไม่ได้สร้างปัญหาใด ๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทังแห่งนี้ เด็ก ๆ ที่นี่ต่างหากที่ได้รับปัญหาและข้าก็กำลังดูแลพวกเขาอยู่”

“พวกเราเป็นใคร? เจ้าไม่เห็นหรืออย่างไร เราเป็นเจ้าหน้าที่ของราชสำนัก” ผู้นำชี้นิ้วของเขามาบนเครื่องแบบแล้วพูดต่อไปว่า“ สำหรับการดูแลพวกเขา? เด็ก ๆ เหล่านี้อยู่ในความดูแลของราชสำนัก ใครต้องการให้เจ้ามาดูแลพวกเขากัน บอกข้ามาว่าอะไรคือจุดประสงค์ที่แท้จริงของเจ้าในการมาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง แห่งนี้? เจ้าต้องการจะขายเด็กเหล่านี้ใช่หรือไม่?”

“เจ้าช่างกล้าจริงๆ” หลิน ชูจิ่ว หัวเราะขึ้น“ เด็กเหล่านี้ป่วยหนักและร่างกายอ่อนแอ แต่เจ้ากลับบอกว่าเจ้าหน้าที่ของราชสำนักกำลังดูแลพวกเขาอยู่อย่างนั้นหรือ?”

“เจ้า เจ้ากล้าพูดถึงราชสำนักของเราเช่นนี้ได้อย่างไร ดูเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นเจ้า จะไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว พวกเจ้ายังทำอะไรกันอยู่ นำตัวนางออกไป!” ผู้นำขยิบตาและตะโกนขึ้นเสียงดัง“ ผู้หญิงคนนี้เป็นฆาตกรที่ฆ่าเด็กทารถที่ถูกทอดทิ้งในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อ อันทัง รีบจับกุมนางซะ!”

       เพียงกระพริบตา ผู้นำก็วางอาญาครั้งใหญ่ไว้บนหัวของหลิน ชูจิ่วเสียแล้ว !