ตอนที่ 1769 0.01 สุดท้าย!

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1769 0.01 สุดท้าย!

ในเมื่อเห็นกันชัดๆแล้วว่าบททดสอบนั้นปราศจากอันตราย พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลา เรื่องด่วนตอนนี้คือการผ่านบททดสอบไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และพยายามค้นหามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง

คนอื่นๆพยักหน้ารับ ทั้งห้าออกเดินเข้าสู่ทางเดินพร้อมๆกัน

ฟึ่บ!

เมื่อเข้าสู่ทางเดิน จางเซวียนพลันรู้สึกได้ถึงกระแสพลังงานอบอุ่นที่เข้าโอบล้อมตัวเขา จากนั้น ภาพตรงหน้าก็ถูกลำแสงเจิดจ้าบดบังไว้ ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสีขาวโพลน

กว่าประสาทสัมผัสในการมองเห็นของจางเซวียนจะกลับมา เขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าภูเขาขนาดใหญ่แล้ว

หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้อง มันคือภูเขาที่ก่อตัวขึ้นจากหนังสือมากมายนับไม่ถ้วนซ้อนทับกัน

ภูเขานี้สูงตระหง่านเสียดเมฆ มีหมู่เมฆบดบังยอดภูเขาไว้ ในเวลาเดียวกัน ก็มองไม่เห็นเส้นทางที่พอจะนำขึ้นไปสู่ยอดเขาได้

อีกอย่างที่สะดุดตาจางเซวียนนอกจากภูเขาหนังสือขนาดมหึมาก็คือเส้นสายของตัวหนังสือที่สะบัดไปมาอยู่กลางอากาศ

“ขึ้นไปให้ถึงยอดเขาและเอาชนะบททดสอบให้ได้ หรือไม่ก็ยอมจำนนเสีย แล้วคุณจะได้รับสิ่งตอบแทนสำหรับความเหนื่อยยากที่ผ่านมา” เสียงปรมาจารย์ขงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน

“ผมเข้าใจแล้ว” จางเซวียนพึมพำขณะสูดหายใจลึก

แม้ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าจะดูเหมือนจริงจนน่าทึ่ง แต่หากตัดสินจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับจ้าวหย่าและเว่ยหรูเหยียนเมื่อครู่นี้ ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอยู่ในภาพลวงตา

พูดอีกอย่างก็คือ กายเนื้อของจางเซวียนยังอยู่ที่ทางเดิน มีแต่จิตใต้สำนึกเท่านั้นที่ถูกส่งเข้ามายังภูเขาหนังสือขนาดยักษ์แห่งนี้

จางเซวียนเพ่งสมาธิ เขาขับเคลื่อนพลังปราณให้ไหลเวียนไปทั่วร่างก่อนจะกระโจนขึ้นไป

ตุ้บ!

แต่กลับตรงกันข้ามกับที่คิดไว้ แทนที่จะพุ่งขึ้นสู่กลางอากาศ จางเซวียนกลับร่วงลงมากองกับพื้น

ดูเหมือนต้องใช้การบินเท่านั้นถึงจะขึ้นสู่ยอดเขาได้ แต่ก็นั่นแหละมันจะง่ายไปหน่อยไหมหากเพียงแค่บินก็ขึ้นถึงยอดเขาแล้ว? จางเซวียนครุ่นคิด

เขามองภูเขาหนังสืออีกครั้ง และเห็นว่าไม่มีเส้นทางไหนให้เดินขึ้นไปได้เลย จางเซวียนจ้องมอง สภาพภูเขาลดหลั่นที่อยู่ตรงหน้าจากนั้นก็พยายามบ่ายปีนขึ้นไป แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อเจอแรงกดดันหนักหน่วงถาโถมเข้าใส่

ราวกับถูกสายฟ้าฟาด ทั้งร่างของเขาเป็นเหน็บชาไปหมด ในเวลาเดียวกัน มือไม้ก็บาดเจ็บเพราะหนามหรืออะไรสักอย่าง เลือดพุ่งออกมาไม่หยุด

“เอ่อ…” จางเซวียนมองอาการบาดเจ็บของเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

เขาเคยคิดว่าต่อให้ไม่มีทางเดิน ก็คงไม่ยากเย็นอะไรที่จะป่ายปีนขึ้นสู่ภูเขาแห่งนี้ แต่ใครจะไปรู้ว่ามีอุปสรรคแบบนี้ด้วย?

ราวกับมีนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกสักคนปล่อยการโจมตีใส่เขาอย่างต่อเนื่อง! แล้วภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขาจะขึ้นสู่ยอดเขาได้อย่างไร?

จางเซวียนเดินวนรอบภูเขาและพยายามปีนขึ้นจากจุดต่างๆกัน แต่ก็ได้ผลแบบเดิมทุกครั้ง คือเมื่อปีนสูงขึ้นไปได้เพียงครึ่งเมตร ก็จะถูกแรงกดดันหนักหน่วงโถมทับจนต้องร่วงลงมา เขาหยุดครุ่นคิดด้วยความงุนงง

“หัวใจของบททดสอบไม่ใช่การใช้พละกำลังป่ายปีนหรือ?”

ถ้าเขาปีนขึ้นไปไม่ได้ แล้วจะขึ้นสู่ยอดเขาได้อย่างไร?

ไม่แปลกใจแล้วที่จ้าวหย่ากับเว่ยหรูเหยียนไม่ผ่านบททดสอบ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิด

“ในเมื่อมันคือภูเขาหนังสือ เราก็ควรจะศึกษาและค้นหาให้เจอก่อนว่ามันคืออะไร บางทีอาจมีเงื่อนงำบางอย่างอยู่ในนั้น…”

จางเซวียนหันกลับไปมองหนังสือ เพียงแค่ใช้ความคิด หนังสือหลายร้อยเล่มก็ถูกถ่ายโอนเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า ด้วยการเคาะนิ้วเบาๆ ความรู้มากมายก็พุ่งเข้าสู่หัวสมองของเขา

หนังสือเหล่านี้ครอบคลุมหัวข้อหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเทคนิควรยุทธ เทคนิคการต่อสู้ ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม ดาราศาสตร์ การทำนาย…ดูเหมือนภูเขาหนังสือที่อยู่ตรงหน้าเขาจะรวบรวมเอาความรู้ของทุกวิชาชีพในทวีปแห่งปรมาจารย์เอาไว้

ฟึ่บ!

ทันทีที่ซึมซับความรู้ทั้งหมดเข้าสู่สมองเรียบร้อย จางเซวียนก็พลันรู้สึกได้ว่ามีบันไดหลายขั้นปรากฏขึ้นบนภูเขาหนังสือนั้น เขาถึงกับผงะไป

ก่อนหน้านี้เขาเดินวนรอบภูเขาแล้ว และแน่ใจว่าไม่เคยเห็นบันไดสักขั้น ทำไมจู่ๆมันถึงปรากฏขึ้นหลังจากที่เขาถ่ายโอนหนังสือทั้งหลายร้อยเล่มนั้น?

หรือว่า…เขาจะแผ้วถางเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขาได้ด้วยการอ่านหนังสือที่อยู่ที่นี่?

“ต้องลองดู!”

เมื่อเกิดความคิดขึ้นมา จางเซวียนหันขวับไปกวาดสายตามองภูเขาหนังสือทันที

ฟึ่บ!

หนังสือปริมาณมากมายนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้าเพียงไม่ถึง 5 นาที จางเซวียนก็ถ่ายโอนหนังสือไว้ได้หลายหมื่นเล่ม

เขาเคาะนิ้วเบาๆ แล้วภูมิปัญญามากมายก็พุ่งเข้าสู่หัวสมอง เพียงครู่เดียวหลังจากที่จางเซวียนซึมซับความรู้ทั้งหมดไว้ ภูเขาที่อยู่ตรงหน้าก็สั่นสะท้าน บันไดอีกช่วงหนึ่งปรากฏขึ้น พวกมันค่อยๆเรียงตัวกันทอดยาวขึ้นสู่ยอดเขา

“เป็นแบบนี้จริงๆด้วย…”

เมื่อรู้แล้วว่าหัวใจของบททดสอบคือการอ่านหนังสือ นัยน์ตาของจางเซวียนก็เป็นประกาย

ถ้าเป็นนักรบคนอื่น ต่อให้สามารถใช้การรับรู้จิตวิญญาณเพื่ออ่านหนังสือทีเดียวครั้งละหลายๆเล่ม แต่จิตใต้สำนึกของเขาก็คงจะหมดสภาพไปเสียก่อนเพราะผลจากการไหลบ่าอย่างกะทันหันของภูมิปัญญาที่เข้าสู่สมอง แต่จะไม่เป็นอย่างนั้นสำหรับจางเซวียน

ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือกวาดสายตามองหนังสือ และแตะอีก 1 ครั้งเพื่อถ่ายทอดภูมิปัญญาทั้งหมดเข้าสู่ความทรงจำของตัวเอง

หัวสมองของจางเซวียนตอนนี้เหมือนกับซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ขณะที่นักรบคนอื่นๆ ต้องลำบากลำบนเพื่อพยายามจดจำและทำความเข้าใจเนื้อหาของหนังสือที่กองทับกันจนกลายเป็นภูเขาหนังสือขนาดใหญ่ แต่ทั้งหมดที่จางเซวียนต้องทำก็คือถ่ายโอนความรู้และบรรจุเข้าสู่หัวสมองของเขาเท่านั้น

ฟึ่บ!

จางเซวียนก้าวขึ้นบันได เขายังคงถ่ายโอนหนังสือที่อยู่รอบตัวเข้าไปเรื่อยๆ ภูมิปัญญาจากหนังสือเหล่านั้นลอยเข้าสู่หัวสมองของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน

เมื่อปริมาณหนังสือที่จางเซวียนได้อ่านมีเพิ่มขึ้น จำนวนขั้นบันไดก็ค่อยๆเพิ่มสูงขึ้นด้วย จางเซวียนก้าวขึ้นบันไดทีละขั้นไปอย่างช้าๆ

ไม่นานเขาก็รับรู้ได้ว่าขั้นบันไดจะเพิ่มขึ้นพร้อมกันกับหนังสือทุกๆ100 เล่มที่เขาได้อ่าน

พูดกันตามตรง มีจางเซวียนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถอ่านหนังสือด้วยวิธีนี้ หากคนอื่นพยายามอ่านและซึมซับเนื้อหาในหนังสือตามแบบของเขา ต่อให้เป็นนักปราชญ์โบราณ…ก็อาจเสียสติได้!

จางเซวียนเดินไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็พบว่าตัวเขาถูกห้อมล้อมด้วยหมู่เมฆ ทั้งหมดที่เขาเห็นคือขั้นบันไดทอดยาว ราวกับโลกทั้งโลกหายวับไปแล้ว เหลือเพียงร่างโดดเดี่ยวของเขาเท่านั้น

“เราอ่านหนังสือมาแล้วก็ตั้งเยอะ แต่ยังไม่ถึงยอดเขาเลย นักรบคนอื่นๆที่พยายามจะอ่านหนังสือมากมายขนาดนี้คงสมองพังไปแล้วล่ะ” จางเซวียนบ่นพึมพำ

ตามข้อสันนิษฐานของเขา เป็นไปได้ว่ากระแสกาลเวลาของที่นี่น่าจะแตกต่างจากโลกภายนอก

แม้จะมีอุปกรณ์ช่วยอย่างหอสมุดเทียบฟ้า แต่จางเซวียนก็ต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวันกว่าจะเดินทางมาได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่น คงต้องใช้เวลาหลายศตวรรษหรือแม้แต่เป็นพันปีเพื่อให้ได้ระยะทางเท่ากับเขา

การใช้เวลาหลายศตวรรษเพื่ออ่านหนังสือและไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย…ความเบื่อหน่ายและซ้ำซากคงทำให้สามัญสำนึกและความมีเหตุมีผลของใครคนหนึ่งพังทลายได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งนักปราชญ์โบราณ!

เมื่อมาถึงจุดนี้ จางเซวียนรู้สึกได้ว่าความเร็วของการเพิ่มขั้นบันไดใหม่เริ่มจะช้าลง ก่อนหน้านี้มันจะเพิ่มขึ้นพร้อมๆกับหนังสือทุก 100 เล่มที่เขาได้อ่าน แต่ตอนนี้ อัตราความเร็วกลายเป็นต่อหนังสือทุก1000 เล่ม

เพียงแค่บททดสอบก็ยากเอาการแล้ว แต่ขั้นบันไดก็ยังเพิ่มขึ้นได้ยากกว่าเดิมอีกเป็น 10 เท่า สิ่งนี้เหมือนกับการซ้ำเติมนักรบที่มาได้ไกลถึงระดับหนึ่ง

แต่ก็แน่นอนว่าระดับความยากที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้ส่งผลอะไรมากนักกับจางเซวียน สำหรับเขา ก็แค่ทำให้ขึ้นสู่ส่วนยอดของภูเขาได้เร็วขึ้นหรือช้าลงเท่านั้น

จางเซวียนก้าวต่อไปเรื่อยๆและยังคงอ่านหนังสือต่อไปอีกกว่าครึ่งวัน เมื่อหมดวัน บททดสอบก็มาถึงจุดที่เขาอ่านหนังสือไปแล้วกว่าหมื่นเล่ม และเขาต้องอ่านหนังสืออีกหมื่นเล่มเพื่อจะเพิ่มขั้นบันไดเพียงขั้นเดียว

จางเซวียนรู้ดีว่ามันใกล้สิ้นสุดแล้ว จึงกัดฟันและฝืนทนต่อไป

ไม่ช้าก็เร็ว ยอดเขาจะต้องปรากฏให้เห็นแน่

“กุญแจของเส้นทางของภูเขาหนังสือคือความอดทน…ดูเหมือนบททดสอบของปรมาจารย์ขงคือความขยันหมั่นเพียรและความแข็งแกร่งของสภาวะจิต” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตขณะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ภูมิปัญญาคือกุญแจสู่ความยิ่งใหญ่ ยิ่งอ่านมากเท่าไหร่ก็ยิ่งป่ายปีนได้สูงขึ้นเท่านั้น”

ถึงจะเป็นบททดสอบ แต่มันก็เป็นคำแนะนำที่ปรมาจารย์ขงฝากไว้ให้คนรุ่นหลัง

ปรมาจารย์ขงคงจะอยากบอกคนรุ่นหลังว่าการขึ้นสู่จุดสุดยอดของวรยุทธนั้นไม่ได้อาศัยเพียงแค่ความปราดเปรื่อง แต่ยังต้องมีความรู้และวัฒนธรรมด้วย!

มีแต่ผู้รอบรู้เท่านั้นที่จะเข้าถึงความเข้าใจอันลึกซึ้งของวรยุทธและของโลก และมีแต่ผู้มีวัฒนธรรม เท่านั้นที่จะมีหัวใจเปิดกว้างพอจะยอมรับการเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้คือกุญแจที่ทำให้ใครคนหนึ่งก้าวขึ้นไปสู่จุดที่สูงกว่าเดิมได้

ยกตัวอย่าง 72 นักปราชญ์ คนเหล่านั้นก็ล้วนแต่เป็นผู้ปราดเปรื่องที่ได้รับการบ่มเพาะจากมือของปรมาจารย์ขงเอง พวกเขาได้รับการถ่ายทอดเทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ที่ทรงพลังที่สุดตั้งแต่เริ่มแรก ในแง่ของการเริ่มต้น ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอยู่ในจุดที่เหนือกว่าปรมาจารย์ขงมาก

แต่ทั้งๆที่มีสภาพแวดล้อมซึ่งเป็นใจขนาดนั้น ก็ไม่มีใครสักคนสามารถเทียบชั้นกับปรมาจารย์ขงได้เลย ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการประสบความสำเร็จหรือความแข็งแกร่ง

เรื่องนี้มีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว ในแง่ของความรู้, พวกเขายังห่างชั้นกับปรมาจารย์ขงมาก ซึ่งก็เป็นเพราะหัวสมองของพวกเขาจำกัดระดับการพัฒนาความก้าวหน้าของตัวเองไว้

เมื่อครั้งที่ปรมาจารย์ขงสร้างระบบของ 9 สถานะระดับล่าง ระดับกลาง และระดับบนขึ้นมา ก็ดูเหมือนว่ามันจะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาตัวเองของเขา ซึ่งความท้าทายนี้เองที่ทำให้ดวงตาของปรมาจารย์ขงเปิดกว้าง เขายอมรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆและปรับตัวเข้ากับมันได้ ซึ่งมีแต่ทักษะแบบนี้เท่านั้นที่จะทำให้นักรบก้าวขึ้นไปสู่จุดที่สูงกว่าเดิม

แคร่กกกก!

ขณะที่จางเซวียนเกิดความคิดนั้น เสียงดังเหมือนเปลือกไข่แตกหรือเมล็ดพันธุ์ที่กำลังจะงอกพ้นผืนดินออกมาก็ดังก้องขึ้นในหัวของเขา

“ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเราอยู่ที่ 29.99 แล้ว?”

จางเซวียนกำหมัดแน่น นัยน์ตาของเขาเป็นประกาย