ร่างคุ้นเคยของคนผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูหอตำหนักที่ใหญ่ที่สุดตรงนั้น
คนผู้นี้ฉินเจิงรู้จัก ชุยอี้จือเองก็รู้จักเช่นกัน
เป็นเซี่ยอวิ๋นหลานที่กระโดดจากหน้าผาระหว่างเกิดเหตุดินโคลนถล่มที่อารามลี่อวิ๋นแล้วหายตัวไป
ชุยอี้จือมองตามควันสีอ่อนจนพบเซี่ยอวิ๋นหลาน เมื่อควันสีอ่อนเข้าประชิดแขนเสื้ออีกฝ่ายก็อันตรธานหายวับไป เขาอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “เซี่ยอวิ๋นหลาน ไฉนเป็นเจ้า”
เซี่ยอวิ๋นหลานสวมอาภรณ์ผ้าทอสีแดงเข้ม คลุมด้วยชุดคลุมผ้าดิ้นเงินดิ้นทองสีดำบนร่าง ใบหน้าค่อนข้างซีดเซียว ดูแล้วอ่อนแรงอย่างยิ่ง สภาพไม่ค่อยสู้ดีนัก ยากจะนึกภาพได้ว่าเมื่อครู่เขาแค่ใช้หมอกสีอ่อนกลุ่มหนึ่งก็ดีดกระบี่ที่อัดแน่นด้วยจิตสังหารของฉินเจิงกระเด็นออกไป
“รองราชเลขาชุย” เซี่ยอวิ๋นหลานมองชุยอี้จือพลางพยักหน้าให้ ก่อนหันไปมองฉินเจิง พร้อมทักทายเสียงเรียบ “ท่านอ๋องน้อยเจิง”
“เจ้า…เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เมื่อครู่เป็นฝีมือเจ้ารึ” ชุยอี้จือพินิจมองเขาถี่ถ้วน สภาพร่างกายเขาในยามนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังป่วยอยู่
เซี่ยอวิ๋นหลานผงกศีรษะ “เป็นข้า ส่วนข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรนั้น…” หยุดชั่วครู่แล้วยิ้มกล่าว “ที่นี่เป็นบ้านของข้า”
ชุยอี้จือตกใจยกใหญ่ หันไปมองฉินเจิง
“นางเล่า” ฉินเจิงเม้มปากเป็นเส้นตรง มองเซี่ยอวิ๋นหลานโดยไม่หลบตา
“เจ้าหมายถึงฟางหวา” เซี่ยอวิ๋นหลานตอบเสียงเรียบ “นางกลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“ไปไหน” ฉินเจิงถาม
“นางนำสมุนไพรดำม่วงไปด้วยจำนวนมาก ตอนนี้ใต้หล้านอกจากเมืองหลินอันที่ต้องใช้สมุนไพรดำม่วง ยังมีที่ใดต้องการมันอีก” เซี่ยอวิ๋นหลานเลิกคิ้ว “นางย่อมต้องไปเมืองหลินอัน พี่จื่อกุยอยู่ที่นั่น นางไม่ปล่อยให้เขาเป็นอันใดแน่”
ฉินเจิงหรี่ตามองเซี่ยอวิ๋นหลาน
“ข้าไม่จำเป็นต้องโกหกเจ้า” เซี่ยอวิ๋นหลานเผยสีหน้าเย็นชา
ฉินเจิงละสายตากลับมา มองสำรวจโดยรอบ “ที่นี่คือที่ไหน”
“ลำน้ำสวินสุ่ย” เซี่ยอวิ๋นหลานตอบ
“ไม่เคยได้ยินมาก่อน” ฉินเจิงบอก
เซี่ยอวิ๋นหลานหัวเราะครู่หนึ่ง “ที่นี่เหนือน้ำยังมีน้ำ เหนือภูเขายังมีภูเขา คนทั่วไปยากจะหาที่นี่พบ แม้อยู่ในหนานฉิน แต่ก็ไม่เคยมีใครค้นพบแล้วบันทึกมันในแผนที่ เจ้าย่อมไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“เจ้าบอกว่าที่นี่เป็นบ้านของเจ้า” ชุยอี้จืออดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ไฉนที่นี่ถึงเป็นบ้านเจ้า บ้านเจ้าไม่ใช่จวนแหล่งธัญพืชหรอกหรือ”
“ข้าแค่เกิดมาในจวนแหล่งธัญพืชเท่านั้น” เซี่ยอวิ๋นหลานมองชุยอี้จือแวบหนึ่ง “หนแห่งใดในใต้หล้าล้วนยึดถือเป็นบ้านได้ แล้วเหตุใดที่นี่ถึงเป็นบ้านข้าไม่ได้ ในเมื่อรองราชเลขาชุยมีเฟิงหลิงที่ถ่ายทอดมาจากตระกูล แสดงว่าบรรพบุรุษของเรามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็ควรรู้ไว้ว่าที่นี่เป็นดินแดนลับของเผ่าภูตผี และข้าเป็นชาวภูตผี”
ชุยอี้จือพูดไม่ออกชั่วเวลาหนึ่ง แต่เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงเฟิงหลิงซึ่งเป็นเรื่องที่เขากังวลใจอยู่ตอนนี้ก็รีบถามขึ้นทันที “เฟิงหลิงเล่า อยู่กับเจ้าหรือ”
“ฟางหวานำเฟิงหลิงไปแล้ว” เซี่ยอวิ๋นหลานส่ายหน้า
“จริงหรือ” ชุยอี้จือถามซ้ำ
เซี่ยอวิ๋นหลานพยักหน้า “นกตัวนั้นหานางพบ นางจึงเก็บมันไว้ก่อน” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอย่างแฝงนัยยะ “คงไม่อยากเปิดเผยร่องรอย หากเป็นข้า ถูกคนดมกลิ่นแล้วตามหา ก็ไม่ค่อยยินดีนัก”
ฉินเจิงเผยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
ชุยอี้จือผ่อนลมหายใจโล่งอก สำหรับเขาตอนนี้เมื่อรู้ว่าเฟิงหลิงยังไม่ตายก็พอใจแล้ว มิฉะนั้นเขาคงไม่มีคำอธิบายกับตระกูล เขาหันไปถามฉินเจิง “ท่านพี่ เราจะไปเมืองหลินอันเลย หรือว่า…”
“ข้ากับพี่อวิ๋นหลานถือว่าเป็นสหายเก่ากัน ในเมื่อมาถึงบ้านของเขาแล้วจะไม่แวะได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว พี่อวิ๋นหลานคงไม่ไล่กลับ ไม่ให้ค้างสักคืนหรอกกระมัง” ฉินเจิงเลิกคิ้ว ไม่มีความคิดจะตามร่องรอยต่อ
“แน่นอน” เซี่ยอวิ๋นหลานมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนเบี่ยงตัวเปิดทางให้
ฉินเจิงยกเท้าก้าวเข้าไปข้างใน
“นาง…ไม่เป็นไรใช่ไหม” ชุยอี้จือมองเยว่เหนียงที่หมดสติอยู่บนพื้น
เซี่ยอวิ๋นหลานส่ายหน้า ยกมือขึ้นแผ่วเบา มีคนปรากฏตัวขึ้นข้างหลัง เขาออกคำสั่ง “นำเยว่เหนียงไปหาอาจารย์จ้าว นางหวงแหนใบหน้ายิ่ง บอกอาจารย์จ้าวทำแผลให้นาง อย่าทิ้งรอยแผลเป็นไว้”
“ขอรับ” คนผู้นั้นก้าวขึ้นมา หามเยว่เหนียงไปหาจ้าวเคอ
ข้างในตัวหอตกแต่งได้อย่างงดงามวิจิตรตระการตา
ขาข้างหนึ่งของฉินเจิงอยู่หลังประตู อีกข้างหนึ่งอยู่ข้างนอก เขาหยุดเท้านิ่งชะงัก กวาดสำรวจมองภายในรอบหนึ่ง แววตาพลันฉายความมืดครึ้ม “เครื่องเรือนทั้งหมดข้างในล้วนแต่เป็นสิ่งที่นางชอบ พี่อวิ๋น
หลานปรารถนาดีนัก”
ในที่สุดเซี่ยอวิ๋นหลานก็ยิ้มออกมา “ทุกสิ่งที่นางชอบ ข้าย่อมทุ่มสุดกำลัง ถึงอย่างไร…”
“ถึงอย่างไร” ฉินเจิงหันกลับไปมองเซี่ยอวิ๋นหลานทันที
“หากนางอยู่ที่นี่ ที่นี่ก็เป็นบ้านของนาง” เซี่ยอวิ๋นหลานสบแววตาเขา ตอบเสียงทุ้มต่ำ
“บ้านรึ” แววตาฉินเจิงดุดันขึ้นทันที
“ชาติก่อนชาตินี้ อ้อมไปวนมา ที่นี่ต่างหากที่เป็นที่ที่สบายใจ” เซี่ยอวิ๋นหลานพยักหน้า
ฉินเจิงได้ยินเช่นนั้นก็แสยะยิ้มทันที “ที่ที่สบายใจของข้าก็คือบ้านของข้า ที่นี่ไม่แน่ว่าเป็นที่ที่สบายใจของนาง” พูดจบก็เดินเข้าไปข้างใน ม่านมุกกระเพื่อมตามการเคลื่อนไหวของเขา
เซี่ยอวิ๋นหลานมองม่านมุกสั่นไหวเบื้องหน้า ยืนเม้มปากนิ่งพักหนึ่ง ก่อนหันมามองชุยอี้จือ
ชุยอี้จือแปลกใจกับการที่เซี่ยอวิ๋นหลานอยู่ที่นี่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และยิ่งไม่เข้าใจบทสนทนาระหว่างฉินเจิงกับเขา แต่สัมผัสได้ว่าระหว่างทั้งสองคุยกันเสมือนเกิดสายฟ้าสถิตขึ้น เมื่อเห็นเซี่ยอวิ๋นหลานมองมาก็ส่งยิ้มให้ “พี่อวิ๋นหลาน รบกวนแล้ว”
เซี่ยอวิ๋นหลานไม่ใส่ใจนัก เชิญเขาเข้าไปข้างใน
จ้าวเคอได้ยินว่าฉินเจิงกับชุยอี้จือมา ขณะจะออกมาดูก็เห็นเยว่เหนียงถูกหามมาส่งเสียก่อน จึงรีบถามขึ้นทันที “คุณชายเล่า อาการทรุดหรือไม่”
“เรียนท่านอาจารย์ คุณชายปลอดภัยดี เพียงแต่เยว่เหนียงถูกกระบี่ของท่านอ๋องน้อยเจิงทำร้ายเข้า คุณชายสั่งให้ข้านำนางมาส่งที่นี่ บอกว่าเยว่เหนียงหวงแหนใบหน้ามาก ขอให้ท่านช่วยรักษาแผลที่ลำคอนางไม่ให้ทิ้งรอยแผลเป็น” คนผู้นั้นส่ายหน้า
“ช่างเป็นกระบี่ที่คมนัก” จ้าวเคอมองลำคอเยว่เหนียงแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้ากล่าว “บอกคุณชายว่าวางใจเถิด กระบี่ของท่านอ๋องน้อยเจิงแม้เร็วมาก แต่ดูแล้วไม่ได้หมายลงมือสังหารจริงๆ เพียงแค่เฉือนผิวหนังเท่านั้น หากเขาจะสังหารคนจริงๆ วิชาของคุณชายแม้ขวางเขาได้ทันกาล แต่เกรงว่าจะไม่ได้ทำให้เกิดแผลตื้นเช่นนี้ วิทยายุทธ์ของท่านอ๋องน้อยเจิงยอดเยี่ยมที่สุดในหนานฉิน แต่ด้วยคุณชายมีคำสาปเผาใจกำเริบ ป่วยหนักยังไม่หายดี แรงต้านทานมีขีดจำกัด ตอนนี้บาดแผลแค่นี้ไม่เป็นปัญหาอะไร ข้าใช้ยาดีทำแผลให้นาง น่าจะไม่เหลือรอยแผลเป็นทิ้งไว้”
คนผู้นั้นพยักหน้า วางเยว่เหนียงลงบนเตียง
จ้าวเคอลงมือทำแผลให้เยว่เหนียง ไม่นานก็ทำแผลเสร็จ เขายกมือแผ่วเบาเพื่อปลุกเยว่เหนียงขึ้นมา
หลังเยว่เหนียงฟื้นแล้ว พลันคว้าแขนจ้าวเคอด้วยใบหน้าซีดขาว “ข้าเสียโฉมแล้วใช่หรือไม่ หา”
“ยัง วางใจเถอะ แค่ทำร้ายผิวชั้นนอก” จ้าวเคอส่ายหน้า
“จริงหรือ” เยว่เหนียงรีบถาม
“จริงสิ”
เยว่เหนียงเห็นว่าเขาไม่คล้ายกับพูดเล่นจึงเบาใจลง เพียงพริบตาเมื่อนึกถึงฉินเจิงได้ก็ถามขึ้น “ท่านอ๋องน้อยเจิงเล่า”
“อยู่ที่เรือนคุณชาย” จ้าวเคอหันกลับมา “คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องน้อยเจิงจะผ่านกลไกแต่ละด่านจนหาที่นี่เจอได้ ร้ายกาจจริงสมคำร่ำลือ มิน่านายหญิงน้อยถึงยินยอมมอบทั้งกายและใจเพื่อออกเรือนด้วย”
“ยังพูดเรื่องออกเรือนอันใดอีก ตอนนี้พวกเขาไม่ใช่สามีภรรยากันแล้ว พระราชโองการหย่าร้างประกาศออกไปทั่วใต้หล้า ยามนี้ไร้ซึ่งความเกี่ยวข้องกันอีก บุกมาถึงที่นี่ มิหนำซ้ำยังอวดตนสังหารข้าเช่นนี้ ข้าแค่ได้รับคำสั่งจากเจ้านายให้อยู่ที่นี่ เกินไปแล้วจริงๆ มิน่าเจ้านายถึงอยากตัดเยื่อใยกับเขา” เยว่เหนียงรีบกล่าวด้วยความไม่พอใจทันที
“ท่านอ๋องน้อยเจิงไม่ได้ตั้งใจสังหารเจ้า แต่อยากบีบให้คุณชายปรากฏตัว” จ้าวเคอมองเยว่เหนียง
“เจ้านายข้ากลับไปแล้ว เขาทราบดีว่าข้าไม่ได้โกหก หรือเดาออกว่าคุณชายของเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย แค่ตะโกนเรียกคุณชายเจ้าออกมาพบก็พอแล้ว ถึงกับต้องลงมือบังคับด้วยหรือ ใช่ว่าไม่รู้จักกันเสียหน่อย”
เยว่เหนียงชะงัก
“หากเขาไม่ทำเช่นนี้ เดิมคุณชายมิได้อยากพบเขา” จ้าวเคอบอก “ที่นี่เป็นแนวป้องกันโดยธรรมชาติอันน่าพิศวงมาตั้งแต่โบราณ ในเมื่อเขาทำลายกลไกเข้ามาได้ แสดงว่าคงรู้จักเผ่าภูผีแปดเก้าส่วน อีกอย่างเขาก็ทราบเป็นทุนเดิมแล้วว่าคุณชายคือผู้สืบทอดราชวงศ์เผ่าภูตผี เสาะร่องรอยตามหานายหญิงน้อย ย่อมนึกได้แน่ว่าคุณชายก็อยู่ที่นี่ด้วย”
เยว่เหนียงได้ยินเช่นนั้นแม้เข้าใจแล้วว่าฉินเจิงมิได้มีเจตนาสังหารนาง แต่ยังคงไม่คลายความโกรธลง “ตอนนี้เขาอยู่ที่เรือนของคุณชายเจ้า กล่าวเช่นนี้ คืนนี้ก็ค้างที่นี่ไม่เดินทางต่อ ไม่ไปตามเจ้านายแล้วหรือ”
“ข้ายังไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางนั้นเป็นเช่นไร ประเดี๋ยวเจ้าไปดูกับข้าก็ได้” จ้าวเคอบอก
เยว่เหนียงส่ายหน้าทันที “ข้าไม่อยากไปแล้ว ต่อไปอยู่ให้ห่างจากเขาหน่อยก็ดี หากไม่ใช่ว่าข้างกายเจ้านายไม่มีใคร คงไม่ทิ้งข้าอยู่รับกระบี่เขาที่นี่เช่นกัน” ระหว่างพูดก็สะเทือนไปถึงบาดแผลที่ต้นคอ นางพลันสูดปากด้วยความเจ็บ “แผลนี่จะหายดีเมื่อไร”
“นายหญิงน้อยกลับไปตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้หนึ่งวันครึ่งคืนแล้ว หากใช้เส้นทางที่ใกล้ที่สุดน่าจะใกล้ถึงเมืองหลินอันแล้ว หวังว่าจะช่วยท่านโหวเซี่ยได้ทัน” จ้าวเคอกล่าว “ข้าใช้ยาชั้นเยี่ยม หากเจ้าไม่แตะต้องมัน สิบวันก็หายดี”
เยว่เหนียงพยักหน้า กังวลใจเล็กน้อย “เมืองหลินอันตกอยู่ในอันตราย การเดินทางครั้งนี้อย่าได้เกิดเรื่องกับเจ้านายเป็นดี”
“วางใจเถอะ คุณชายส่งคนคอยคุ้มครองในที่ลับแล้ว สมุนไพรดำม่วงต้องไปถึงเมืองหลินอันได้อย่างปลอดภัยแน่นอน เขาไม่ปล่อยให้นายหญิงน้อยเป็นอะไรไปหรอก” จ้าวเคอโบกมือ
“ยังเป็นคุณชายอวิ๋นหลานที่แสนดี” เยว่เหนียงลดมือลงจากลำคอ ทอดถอนใจกล่าว “คนที่เจ้านายรักไฉนถึงไม่เป็นคุณชายอวิ๋นหลานเล่า ดันชอบท่านอ๋องน้อยเจิง ตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเป็นคุณชายอวิ๋นหลาน เราที่เป็นลูกน้องคอยติดตามเจ้านายคงลดความกังวลได้บ้าง”
“นายหญิงน้อยหาที่นี่จนพบ ทิ้งเจ้าไว้ ก็เห็นที่นี่เป็นบ้านแล้ว วันข้างหน้าเรื่องระหว่างนางกับคุณชาย ไหนเลยจะบอกได้แน่นอน ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็มิใช่พระชายาน้อยแล้ว” จ้าวเคอได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวขึ้น
“ก็จริง” เยว่เหนียงพลันเริงร่า “พูดตามตรง ข้าคิดว่าคุณชายเจ้าน่าชื่นชอบยิ่งกว่าท่านอ๋องน้อยเจิงนัก”
จ้าวเคอยกมือไล่ “ในเมื่อเจ้าไม่กล้าออกไปพบก็กลับไปพักผ่อนเถอะ ระหว่างนี้งดของเผ็ดร้อน ข้าจะไปดูคุณชายสักหน่อย” พูดจบก็เดินออกไป
เยว่เหนียงเห็นเขาเดินออกไปแล้วก็ลูบบาดแผลพลางขมวดคิ้ว พึมพำว่า “นั่นหมายความว่าหลายวันนี้ข้าแตะต้องสุราไม่ได้เลยแม้แต่น้อยหรือ ลงแดงตายแน่…” พูดจบก็ลงจากตั่ง เดินออกไปด้วยใจคอแห้งเ**่ยว
เมื่อกลับมาถึงที่พักของตนเอง เยว่เหนียงขดตัวนอนบนตั่งบุนวมพลางไตร่ตรองเป็นนาน ก่อนจะลงจากตั่ง ยกมือเรียกเหยี่ยวตัวหนึ่งบินมาหา หยิบพู่กันเขียนจดหมายลวกๆ ฉบับหนึ่ง รอจนน้ำหมึกแห้งสนิทก็ม้วนมันอย่างดี แล้วนำไปผูกเข้ากับขาเหยี่ยว
ไม่นานเหยี่ยวก็บินออกจากห้อง บินออกจากหอตำหนักสูงใหญ่ บินขึ้นไปเหนือผืนน้ำและเมฆลอยสูง ก่อนบินไปจากลำน้ำสวินสุ่ย