ตอนที่ 68 - 1 ราชินีโหดร้าย

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

จากตรอกหลิวหลีถึงตำหนักอวี้จ้าวคือเส้นทางหนึ่งซึ่งไกลที่สุดในตี้เกอ ด้วยเพราะตรอกหลิวหลีตั้งอยู่ใจกลางนคร เส้นทางรอบด้านเชื่อมต่อทั่วถึงกัน รถม้ามากมายที่มุ่งหน้าสู่ใจกลางนครอาจจะมาชุมนุมกันที่นั่น 

 

 

ยามนี้ รถม้าสามคันหนึ่งแถวกำลังโลดแล่นบนท้องถนน 

 

 

ผู้ชราหลายคนนั่งอยู่บนแอกรถ ต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม ท่าทางตึงเครียด 

 

 

ตามความต้องการของซังต้ง รถเหล่านี้จะไม่จุดเปลวเพลิงแหวกหญ้าให้งูตื่นก่อนกำหนด จะต้องจุดระเบิดขึ้นหลังจากเข้าสู่ใจกลางนคร ตรอกหลิวหลีมีตลาดกลางคืนเลื่องชื่อ มีเพียงไปถึงที่แห่งนั้น การปฏิบัติการครั้งหนึ่งนี้ถึงมีพลังทำลายล้างเป็นพิเศษ 

 

 

นี่คือเส้นทางที่สาม จะผ่านตรอกหลิวหลีมุ่งตรงสู่ตำหนักอวี้จ้าว 

 

 

“ตึ้ง!” 

 

 

บนหลังคารถม้าคันที่สามพลันแว่วเสียงดังหนักอึ้ง คนในรถยื่นศีรษะออกจากหน้าต่างรถมองขึ้นไปอย่างตื่นตะลึง ไม่ได้มองเห็นสิ่งใด พอหันหน้ามากลับพบอย่างหวาดผวาว่ามีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนแอกรถไม่รู้ตั้งแต่ยามใด 

 

 

สตรีหน้าตางดงามหันหน้ามายิ้มแย้มทักทายเขาว่า “ไฮ!” 

 

 

สารถีคนเดิมได้หายไปแล้ว พอหาอีกครั้ง เฮอะ นั่งงงงวยอยู่ในพงหญ้าริมทางนั่นอะไร บนใบหน้ามีรอยเท้าเรียวแหลมรอยหนึ่ง 

 

 

คนในรถยังไม่ทันได้รู้สึกตัวขึ้นมา นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวเชิดขึ้นครั้งหนึ่ง ถุงบรรจุหินเหล็กไฟลอยออกไปไกลโพ้น 

 

 

คนในรถตวาดเสียงหนึ่งแล้วพุ่งเข้ามา หลายคนลงมือด้วยโทสะ หวังผลักสตรีที่พลันปรากฏกายประหนึ่งมารร้ายนางนี้ลงจากรถ 

 

 

เบื้องหน้าคล้ายมีแสงเงากะพริบวูบ สตรีบนแอกรถพลันหายไปปานภูตพรายอีกครั้งแล้ว! 

 

 

หลายคนทรงตัวไม่อยู่ ร่วงหล่นจากรถดังพลึ่กพลั่ก คนที่โชคดีกลิ้งไปริมทางได้ทัน คนที่โชคร้ายถูกล้อรถหนักหน่วงกลิ้งทับเต็มแรง เปล่งเสียงร้องโหยหวนน่าเวทนา 

 

 

รถม้าที่ไร้คนบังคับคันนั้นพุ่งเอนเอียงไปเพียงครั้งแล้วพลิกคว่ำสู่ร่องน้ำริมทาง พอคนที่หมอบอยู่บนพื้นท่ามกลางเสียงครืนดังกึกก้องเงยหน้า พลันมองเห็นสตรีดุจมารร้ายเมื่อครู่นั้นอยู่บนหลังคารถคันที่สองแล้ว! 

 

 

คนบนรถม้าคันที่สองได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวข้างหลัง สารถีลงแส้ม้าด้วยความตื่นตกใจ เงาคนหลายสายกะพริบวูบออกไปเหลียวมองรอบด้านอย่างระแวดระวัง 

 

 

พงหญ้าริมทางพลันดัง “สวบสาบ” เสียงหนึ่ง ฟังแล้วคล้ายมีเสียงคนเฉียดผ่านใบหญ้า หลายคนขนลุกเกรียวกราว กระทั่งสารถีต่างกระโดดลงจากรถ พุ่งไปทางพงหญ้านั้น 

 

 

พงหญ้าริมทางเขียวชอุ่ม คนหลายคนค้นหาไปรอบหนึ่งแล้วไม่เจอผู้ใด ทว่าได้ยินเบื้องหน้ามีเสียง “สวบสาบสวบสาบ” ไม่หยุดหย่อน คล้ายว่ามีคนเดินเหินในพงหญ้าอย่างต่อเนื่อง พวกเขาได้แต่ค้นหาเข้าไปข้างในตามเสียงอย่างไม่หยุดยั้ง ค่อยๆ ออกห่างจากรถม้ามากยิ่งขึ้น 

 

 

จากนั้นพวกเขาพลันได้ยินเสียงคำรามยืดยาวของม้าพันธุ์ดี 

 

 

พอพวกเขาหันหน้ากลับมาด้วยความตื่นตะลึง มองเห็นรถม้าเริ่มเคลื่อนไหวไม่รู้ตั้งแต่ยามใด กำลังแล่นกุกกักห่างออกไปตามเส้นทาง! 

 

 

คนหลายคนยืนมองหน้ากันไปมาอยู่ในพงหญ้า ปากอ้าตาค้าง 

 

 

บนรถไม่มีผู้ใดแล้วแน่แท้ เมื่อครู่บนเส้นทางสายนี้ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังไม่มีผู้ใดเลย รถคันนี้แล่นขึ้นมาได้อย่างไร? 

 

 

บนรถม้าที่โลดแล่นพลันมีศีรษะของโฉมสะคราญนางหนึ่งชะเง้อออกมา 

 

 

“ไฮ!” นางยิ้มแย้มร้องตะโกนให้หลายคนริมทางนั้นว่า “ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ขอยืมรถของพวกเจ้าไปตายสักหน่อย บ๊ายบาย!” 

 

 

รถม้าแล่นรวดเร็ว สะบัดหลายคนที่ไล่ก้าวลึกก้าวตื้นตามมาอย่างบ้าคลั่งทิ้งไปไกลโพ้น… 

 

 

จิ่งเหิงปัวชักมือกลับมา บนใบหน้าไม่มีสีหน้าสบายใจเมื่อครู่อีกแล้ว นางกุมหน้าอกไว้กระแอมไอหลายครั้ง นิ้วมือปาดมุมปากแล้วแบะปาก 

 

 

ก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บในโกดังข้าวร้าง จากนั้นจำต้องใช้ความสามารถพิเศษติดต่อกันด้วยไม่มีวิธีอื่น เมื่อครู่ยังควบคุมก้อนหินเขวี้ยงไปทำเสียงเคลื่อนไหวต่อเนื่องในพงหญ้าริมทาง ล่อให้คนกลุ่มนั้นเข้าสู่พงหญ้าลึกไม่ทันได้กลับมาไล่ตาม ขณะนี้กำลังวังชาสูญสิ้น แทบจะเรียกได้ว่าปลายวิถีศรกล้าแล้ว 

 

 

เงยหน้ามองดูเบื้องหน้า ผู้คนค่อยๆ หนาแน่น จากชานเมืองเข้าสู่ในนครแล้ว! 

 

 

รถคันที่หนึ่งข้างหน้าสุดเหลือเพียงจุดเล็กจุดหนึ่ง แทบจะถูกกระแสคนเบื้องหน้ากลบกลืน ต้องรีบตามไปขัดขวางในทันที! 

 

 

จิ่งเหิงปัวอยากจากไป ก่อนจะจากไปต้องทำให้รถม้านี้หยุดลง แต่นางพบในทันทีว่านางขับรถม้าไม่เป็น! 

 

 

นางไม่รู้ว่าบังคับม้าอย่างไร ม้าเพียงพุ่งไปข้างหน้าตามคำสั่งก่อนหน้านี้ ความเร็วยิ่งรวดเร็วขึ้น! 

 

 

อีกเดี๋ยวจะเป็นถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมา รถม้าจะชนคนตายได้นะ! 

 

 

“กรี๊ดๆๆ ช่วยด้วย! กรี๊ดๆๆ หลีกไป!” 

 

 

เหล่าราษฎรบนถนนซื่อสุ่ยกำลังเดินจับกลุ่มสองสามคนตระเตรียมกลับบ้านด้วยเพราะคืนนี้ประกาศภาวะฉุกเฉิน จากนั้นมองเห็นรถม้าคันหนึ่งตะบึงเข้ามาแล้ว นำพาสายลมเหม็นคาวระลอกหนึ่งมาด้วย มีคนถูกสายลมพัดผ่านจนโซเซ ด่าทอแผ่วเบาประโยคหนึ่งว่า “ไปตายหรือ!” 

 

 

ยังไม่ทันได้ยืนให้มั่นคง รถอีกคันหนึ่งตะบึงแล่นมา บนรถมีคนกรีดร้องเสียงดังกังวานยิ่งกว่าเสียงโคลงเคลงของรถม้าว่า “หลีกไป! รีบหลีกไป! กรี๊ดๆๆ ผู้ใดก็ได้มาช่วยหน่อย! รีบช่วยข้าหยุดรถหน่อย!” 

 

 

ทุกคนมองดูความเร็วของรถม้านั้นแล้วต่างตกตะลึงรีบเร่งหลีกลี้ ทว่าเบื้องหน้าพลันมีรถม้าปะทะเข้ามา! 

 

 

ความเร็วของรถม้านั้นรวดเร็วมากเช่นกัน ดูแล้วอีกชั่วประเดี๋ยวเดียวรถสองคันคงจะพุ่งชนกัน 

 

 

จิ่งเหิงปัวเบิกตาจนกลมโต 

 

 

ม่านรถฝั่งตรงข้ามพลันสะบัดเพียงครั้ง มือเรียวยาวขาวราวหิมะข้างหนึ่งยื่นออกมาคล้ายคิดจะกระทำท่วงท่าหนึ่ง 

 

 

เสียดายว่าจิ่งเหิงปัวไม่ทันได้มองกิริยาท่าทางของเจ้านายของรถม้าฝั่งตรงข้ามแล้ว 

 

 

นางจำเป็นต้องหยุดรถม้าของตนเองในทันที! 

 

 

ชักมีด ฟัน! 

 

 

เชือกบังเ**ยนขาดผึงเสียงหนึ่ง ม้าหลุดพ้นจากบังเ**ยน 

 

 

รถม้าที่สูญเสียม้าย่อมสูญเสียสมดุลในทันที พุ่งไปทางกำแพงนอกของคฤหาสน์ริมทางแห่งหนึ่ง 

 

 

จิ่งเหิงปัวแอบด่าว่ากรรมตามสนองเร็วเหลือเกิน เมื่อครู่เพิ่งใช้วิธีแบบนี้จัดการรถม้าของคนอื่นตอนนี้มาถึงตาของตนเองแล้ว พลางหลับตาลง เรือนร่างกะพริบวูบ 

 

 

“สวบ” เสียงหนึ่ง 

 

 

“เพียะๆ” ดังขึ้นสองเสียง 

 

 

รองเท้าส้นสูงสองข้างร่วงหล่นกลางอากาศ 

 

 

ซ้ำยังมีเสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งว่า “รองเท้าของชั้น!” 

 

 

… 

 

 

จิ่งเหิงปัวทะลุเข้าสู่สถานที่แห่งหนึ่งดังพลั่ก 

 

 

ไม่ได้หายตัวไปยังถนนใหญ่ดุจดั่งในจินตนาการ แต่คล้ายพุ่งเข้าไปในสถานที่มืดมน ชนเข้ากับวัตถุคล้ายแข็งแต่นุ่มสิ่งหนึ่งดังพลั่ก ชนจนวัตถุนั้นร้อง “โอ๊ย” เสียงหนึ่งแล้วถอยไปข้างหลัง สองคนล้มลงสู่พื้นดังพลั่กเสียงหนึ่ง 

 

 

“ไอ้เวรเอ้ยดวงดาวมากมายเปล่งประกายวิบวับ…” จิ่งเหิงปัวลูบศีรษะ โซซัดโซเซลุกขึ้นมา ไม่ทันได้ห่วงคนนั้นที่ถูกทับไว้ข้างใต้ก่อนหน้า รีบเร่งชะโงกหน้าออกไปหารองเท้าของตนเอง 

 

 

แวบหนึ่งมองเห็นรองเท้าส้นสูงสวยหรูคู่นั้นกำลังถูกผู้อ่อนวัยคนหนึ่งหิ้วไว้อย่างงงงวย นางดีใจยกใหญ่ กล่าวเสียงดังว่า “เก็บไว้ให้ข้าให้ดีล่ะรอประเดี๋ยวข้ามาเอานะ…” พลางกล่าวแบบไม่ได้หันหน้ามาด้วยซ้ำว่า “สวัสดีสหายลาก่อนสหายขอโทษด้วยนะที่ชนเจ้ามีโอกาสจะมาตอบแทนจุ๊บๆ” 

 

 

นางกล่าวมั่วซั่วเหลวไหลเสร็จสิ้นแล้วตระเตรียมลงรถ พยายามไล่ตามรถหนึ่งคันสุดท้าย ข้างหลังมีเสียงคุ้นเคยเสียงหนึ่งพลันเอ่ยว่า “เจ้าคิดจะลงรถด้วยเท้าเปล่าเช่นนี้หรือ?” 

 

 

จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมาทันที ร้องว่า “ไอ้เวรเอ้ย! เหยียลี่ว์ฉีเหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้!” 

 

 

“ข้าควรจะถามเจ้ามากกว่า” เหยียลี่ว์ฉีมองดูนางด้วยท่าทางคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้ม แววตาเฉียดผ่านสีหน้าของนางแล้วพลันขมวดหัวคิ้ว เอ่ยว่า “จวนของข้าอยู่ข้างในตรอก ข้าเพิ่งออกมาเจอศีรษะเจ้าพุ่งเข้าใส่ ถูกเจ้าชนจนเจ็บหน้าอก เจ้าต้องช่วยข้านวด…” 

 

 

“ได้” จิ่งเหิงปัวยื่นมือคว้าสาบเสื้อช่วงหน้าอกของเขาไว้ในครั้งเดียว กล่าวว่า “เป็นเจ้าก็จัดการได้ง่ายแล้ว เร็ว ให้สารถีของเจ้ารีบเร่งไล่ตามรถม้าสีดำเบื้องหน้าคันนั้น!” นางจ้องมองเหยียลี่ว์ฉีแน่วแน่ ดวงเนตรหยาดเยิ้มดุจมีด กล่าวว่า “อย่าถามข้าว่าเพราะเหตุใด! อย่าเอ่ยจุกจิก! เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้า! หากเจ้ากล้ากระทำความคิดชั่วร้ายอีกข้า…” 

 

 

“ข้าเพียงอยากถามวาจาเดียว” ทว่าความสนใจของเหยียลี่ว์ฉีคล้ายไม่อยู่ในวาจาของนาง เอ่ยว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?” 

 

 

จิ่งเหิงปัวชะงักงัน 

 

 

ครู่หนึ่งนี้นางถึงมองเห็นชัดเจนว่าเหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไร้ซึ่งสีหน้าท่าทางยิ้มแย้มเยาะเย้ยตามปกติ สายตากลับเป็นความอ่อนโยนห่วงใย 

 

 

เขาเป็นห่วงตนเองจริง… 

 

 

ความคิดเลอะเทอะเลือนรางเฉียดผ่าน นางมีความรู้สึกเหลือเชื่อไปชั่วขณะ…เหยียลี่ว์ฉีเกิดใหม่แล้วเหมือนกันเหรอ? ความหมายในการดำรงอยู่ของเขาไม่ใช่เป็นศัตรูกับกงอิ้นและนางอย่างไม่หยุดยั้ง ดุจดั่งแมลงสาบฆ่าไม่ตายตัวหนึ่งซึ่งทำให้นางขยะแขยงไม่หยุดหย่อนเหรอ? ทำไมเขาต้องใช้สายตาน่าสะอิดสะเอียนแบบนี้มองดูนาง? เขาถูกอะไรกระตุ้นเข้าแล้วเหรอ? เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเหรอ? ถูกผู้หญิงทิ้งเหรอ? ถูกผู้ชายทิ้งเหรอ? 

 

 

แม้นางไม่ได้เอ่ยสักคำเดียวด้วยซ้ำ ทว่าสีหน้าหลากหลายบนใบหน้าเพียงพอให้เหยียลี่ว์ฉีอ่านความนัยระหว่างนั้นเข้าใจได้ เขาพลันถอนใจเล็กน้อย ปล่อยมือของนาง ชะโงกหน้าสั่งการข้างนอกว่า “เปลี่ยนทิศทาง ไล่ตามรถม้าสีดำเทาเบื้องหน้าสุดกำลัง ตัวรถกว้างสามฉื่อ มีรอยลายพร้อย สารถีอายุประมาณห้าสิบกว่า สวมชุดคลุมแพรยาวสีเทาทั้งร่าง” 

 

 

แส้สะบัดดังเพียะเสียงหนึ่ง รถม้าพลันเปลี่ยนทิศทาง จิ่งเหิงปัวถามอย่างเหลือเชื่อว่า “ข้ายังไม่ได้บอกเจ้าว่าเป็นรถคันใดเลยนะ!” 

 

 

“เมื่อครู่ได้แล่นเฉียดผ่านรถนั้น” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “รู้สึกว่ากลิ่นอายที่รถนั้นกำจายออกมาประหลาดเล็กน้อย มองเพิ่มสักปราดหนึ่ง” 

 

 

มองเพิ่มแวบเดียว! 

 

 

แค่แวบเดียวยังจำได้ ซ้ำยังดูออกมากมายขนาดนี้! 

 

 

จิ่งเหิงปัวอิจฉาสติปัญญาของมหาเทพเหล่านี้ขึ้นมาอย่างยิ่ง อยากผ่าสมองเขาแย่งสักครึ่งหนึ่งมาบรรจุในศีรษะของตนเองอย่างมาก  

 

 

ข้อมือที่ถูกเหยียลี่ว์ฉีคว้าไว้พลันร้อนผ่าว จากนั้นความร้อนหอบหนึ่งไหลรินจากชีพจรข้อมือเข้าสู่เรือนร่างแล้วแผ่ขยายลงไป ความรู้สึกพะอืดพะอมกลางอกนางรู้สึกดีขึ้นมามากในทันที