บทที่ 585 หวังจงผู้มีพรสวรรค

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

เจาโจวหยานและบุตรชายไม่สามารถตอบคำถามของหลินเป่ยเฉินได้จริงๆ

เพราะมันเป็นสิ่งที่พวกเขาทำอะไรไม่ได้

ในความคิดเห็นของสองพ่อลูกแล้ว แม้แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน

เพราะมันเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้กำลัง

ผู้คนจำนวนเกือบหมื่นคนต้องเดินทางท่ามกลางอากาศหนาว เรื่องอาหารการกินและเรี่ยวแรงคือปัญหาใหญ่

โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ถูกทำลายราบคาบของเมืองหยุนเมิ่ง ที่นี่มีอากาศชื้นมากกว่าเคย ลมทะเลโชยพัดตลอดเวลา อุณหภูมิหนาวเย็นมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันนี้ของเมื่อปีก่อนหลายเท่า เจาโจวหยานกับเจาอู๋หยางไม่อยากจะนึกถึงเลยว่า หากเมืองหยุนเมิ่งต้องเผชิญกับฤดูหนาว สภาพอากาศจะโหดร้ายมากขนาดไหน?

ความหนาวยังสามารถฆ่าพืชพรรณไม้

ความหนาวเย็นสามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตได้ทุกสายพันธุ์

ปัญหาเรื่องปากท้องและการดำเนินชีวิตของประชาชน ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยความสามารถของคนเพียงคนเดียว

ต่อให้เป็นเทพเจ้า ก็ไม่มีทางแก้ไขปัญหานี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ

ทางออกเดียวคือพวกเขาต้องไม่สนใจเท่านั้น

เพราะถ้าเกิดเจาโจวหยานคิดนำชาวเมืองจำนวนมากอพยพไปด้วย ชาวเมืองเหล่านั้นก็จะกลายเป็นตัวถ่วงที่ทำให้พวกเขาต้องตกลงสู่ห้วงแห่งความตาย

เจาโจวหยานคิดว่าตนเองจะคัดเลือกแต่บุคคลที่มีฝีมือกลุ่มหนึ่งอพยพไปด้วยกันเท่านั้น ในอนาคตเมื่อตั้งหลักได้แล้ว จะกลับมาแก้แค้นชาวทะเลก็ยังไม่สาย

แต่แผนการทั้งหมดนี้ ต่อให้เป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้ชำนาญการเจรจาอย่างเจาโจวหยาน ก็ยังไม่กล้าพูดออกมาต่อหน้าหลินเป่ยเฉิน

สองพ่อลูกทำได้เพียงนิ่งเงียบ

หลินเป่ยเฉินจ้องมองเจาโจวหยานและเจาอู๋หยางพร้อมกับถามว่า “ตกลงแล้วพวกท่านเป็นตัวแทนของเศรษฐีในเมืองนี้มาเจรจากับข้าใช่หรือไม่?”

เจาโจวหยานพยักหน้าและเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้ฟัง

ปรากฏว่า นอกจากหอการค้าสามพันโยชน์แล้ว บรรดาตระกูลผู้ร่ำรวยในเมืองหยุนเมิ่ง อย่างเช่น ตระกูลเซียว ตระกูลอู๋ และอีกหลายๆ ตระกูล ได้แอบประชุมลับกันล่วงหน้าและตัดสินใจว่าพวกเขาสมควรหลบหนีออกไปในขณะที่ชาวทะเลยังไม่สามารถตั้งรกรากบนแผ่นดินใหญ่ได้อย่างมั่นคง

“พวกท่านวางแผนการหลบหนีไว้อย่างไรบ้าง?”

หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง

เมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้ เจาโจวหยานก็เริ่มมีความหวังขึ้นมาแล้ว “กราบเรียนคุณชายหลิน แผนการของพวกเราเพิ่งอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น พวกเรายังไม่ทราบเช่นกันว่าจะใช้เส้นทางใดหลบหนี หากคุณชายหลินเข้าร่วมด้วย โอกาสที่พวกเราจะหลบหนีได้สำเร็จก็คงเพิ่มมากขึ้นอีกมหาศาล และถ้าคุณชายหลินยอมออกหน้า เหล่ายอดฝีมือทั้ง 12 คนนั้นก็จะต้องติดตามคุณชายอพยพไปพร้อมกับพวกเราเช่นกัน และถ้าเป็นเช่นนั้น ข้ามั่นใจว่าพวกเราต้องหลบหนีออกไปจากเมืองนี้ได้สำเร็จแน่นอน”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว “แล้วทำไมท่านไม่ติดต่อยอดฝีมือทั้ง 12 คนนั้นเองล่ะ?”

เจาโจวหยานตอบว่า “กราบเรียนตามตรง ข้าได้ลองติดต่อไปแล้ว แต่พวกเขาบอกว่าตนเองยินดีรับคำสั่งจากคุณชายหลินเท่านั้น หากคุณชายหลินยังไม่ไปจากเมืองนี้ พวกเขาก็ไม่มีทางไปเช่นกัน…”

“เหอเหอเหอ นี่ข้าได้รับเกียรติสูงส่งขนาดนั้นเลยหรือ?”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความเหยียดหยาม

เจาอู๋หยางอดพูดแทรกขึ้นมาไม่ได้ว่า “คุณชายหลิน บัดนี้ท่านมีสถานะไม่ต่างจากเทพเจ้าแห่งเมืองหยุนเมิ่ง ชาวเมืองจุดธูปบูชาท่านทุกวันทุกคืน บางคนถึงกับนำภาพเขียนรูปเหมือนของคุณชายไปติดไว้หน้าประตูบ้าน และเมื่อหน่วยลาดตระเวนของพวกชาวทะเลเดินผ่านมา พวกมันก็รีบหลบหนีไปทันทีเมื่อเห็นรูปวาดเหล่านั้น”

หลินเป่ยเฉินถึงกับเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ

เรื่องราวเช่นนี้ เขาไม่เคยรับรู้เลยจริงๆ

แม่เจ้า

ตอนนี้เขายังไม่ตายสักหน่อย ก็มีชาวเมืองจุดธูปบูชาแล้วหรือ?

อีกอย่าง มีคนนำภาพเขียนของเขาไปติดไว้ที่หน้าประตู…

ใครเป็นคนขายภาพเขียนพวกนั้นนะ?

ทำไมไม่เอาส่วนแบ่งมาให้กันบ้าง

ค่าลิขสิทธิ์ไง

แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือตัวแทนชาวเมืองที่เป็นอาสาสมัครทั้ง 12 คนนั้น มีความเคารพเชื่อฟังในคำพูดของเขามากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

เซียวปิง ฉู่เหิน หลิวฉีไห่ พานเว่ยหมิน รวมไปถึงไต้จือฉุนซึ่งกลายมาเป็นพี่ชายร่วมสาบานคนล่าสุด ต่างก็เป็นผู้ที่มีความสนิทสนมกับหลินเป่ยเฉิน การปฏิเสธคำเชิญอพยพจึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ

แต่กับคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่นั้นเล่า?

ยอดฝีมือเหล่านั้นต่างก็ตัดสินใจที่จะมอบชีวิตให้เขาแล้วใช่ไหม?

นี่มันอะไรกันเนี่ย

ในที่สุด วันนี้ก็มาถึงแล้วสินะ

หลังจากทะลุมิติมาได้หลายเดือน สุดท้าย เด็กหนุ่มก็กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนที่ตนเองต้องมาอาศัยอยู่โดยไม่เต็มใจ

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

แต่ถึงอย่างนั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกดีใจอยู่ดี

เด็กหนุ่มยกมือโบกสะบัดและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกท่านไปวางแผนการมาให้เรียบร้อยก่อน เมื่อข้าได้รับฟังแผนการทั้งหมดแล้ว เดี๋ยวจะให้คำตอบอีกที”

เจาโจวหยานยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้น

ชายชรารีบลุกขึ้นยืน พูดด้วยความกระตือรือร้น “รับทราบขอรับ ภายในสิบวันนี้ คุณชายหลินสามารถติดต่อพวกข้าได้ตลอดเวลา และไม่ว่าคุณชายต้องการสิ่งใด ข้าล้วนจัดหาให้ได้โดยทันที และพวกเราตัวแทนตระกูลผู้ร่ำรวย 20 ตระกูลได้ตัดสินใจแล้วว่า ก่อนออกเดินทาง ทุกตระกูลจะจ่ายเงินให้คุณชายหลินตระกูลละ 10,000 เหรียญทองคำ เป็นค่าตอบแทนสำหรับการคุ้มครองความปลอดภัยขบวนผู้อพยพ”

มีลาภลอยเข้ามาหาอีกแล้ว!

หลินเป่ยเฉินตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น

เจาโจวหยานนี่ไม่รู้จักการเจรจาเลยจริงๆ

ถ้าพูดมาตั้งแต่แรกว่ามีค่าจ้างให้เขา 200,000 เหรียญทองคำ ทุกอย่างก็เรียบร้อยไปนานแล้ว

แต่ใจเย็นหน่อยก็ดี

หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึกและพยายามกำชับกับตนเองไม่ให้แสดงอาการตื่นเต้นมากเกินไป

“ท่านคิดว่าข้าเป็นบุคคลหน้าเงินขนาดนั้นเลยหรือไร?”

หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งทำเป็นยกมือโบกสะบัดด้วยความเย็นชา “พวกท่านกลับไปก่อน เดี๋ยวข้าจะพิจารณาดูอีกที”

เจาโจวหยานและบุตรชายหันมองหน้ากัน ก่อนจะหันหลังกลับและเดินออกไป

ถ้าไม่มีหลินเป่ยเฉินร่วมขบวนผู้อพยพไปด้วย โอกาสที่พวกเขาจะหลบหนีออกไปนอกเมืองได้สำเร็จ เรียกได้ว่ามีเพียงครึ่งเดียว

แต่ถ้ามีหลินเป่ยเฉินร่วมขบวนผู้อพยพไปด้วย พร้อมกับยอดฝีมือทั้ง 12 คนเหล่านั้น โอกาสหลบหนีได้สำเร็จ ก็แทบจะการันตีความแน่นอนแล้ว

นี่คือการเดินทางที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน

หลังจากนั้น หวังจงก็เรียกลูกค้าให้เข้ามาพบปะกับหลินเป่ยเฉินเป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน

ส่วนใหญ่แล้ว ลูกค้าเหล่านั้นกลับเป็นคนของชาวทะเลที่พยายามมาขอความร่วมมือกับหลินเป่ยเฉิน บางคนอยากจะจ่ายค่าคุ้มครองร้านค้าของตนเองให้แก่หลินเป่ยเฉิน บางคนอยากจะให้หลินเป่ยเฉินเป็นตัวแทนติดต่อการค้ากับจักรวรรดิเป่ยไห่ และมีอีกหลายคนที่พยายามตีสนิทเพราะต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเขา…

นี่ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกมั่นใจขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า ในโลกธุรกิจนั้น ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร

แต่ใครกล้าทำธุรกิจร่วมกับชาวทะเลก็คงเสียสติไปแล้ว

หลินเป่ยเฉินยังไม่ใช่คนเสียสติ

เด็กหนุ่มจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเมื่อร่วมธุรกิจกันแล้ว วันดีคืนดีพวกชาวทะเลจะไม่มาแก้แค้นเขาที่เคยสังหารแม่ทัพฉลามอู๋หยาอย่างน่าอนาถเช่นนั้น?

ทว่า เหตุผลสำคัญที่สุดก็คือ หลินเป่ยเฉินคิดว่าตนเองใจดีมากเกินไป

เขาจึงถอนหายใจออกมายาวแรง ไถเงินชาวทะเลพวกนั้นเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ก่อนจะไล่พวกมันกลับไปอย่างไม่ไยดี

ในระหว่างการพูดคุยเหล่านี้ หลินเป่ยเฉินก็ฆ่าเวลาและความเบื่อหน่าย ด้วยการนำโทรศัพท์มือถือออกมาส่งข้อความวีแชท

แน่นอนว่าเขาส่งข้อความไปหาเทพีกระบี่หิมะไร้นาม

และบอกเล่าเรื่องราวความลําบากของชาวเมืองหยุนเมิ่งให้นางได้รับทราบ

“ทางท่านเป็นอย่างไรบ้าง ทางนี้สถานการณ์แย่มาก…”

“ถ้าไม่มีปาฏิหาริย์ ชาวเมืองจำนวนมากคงไม่สามารถอยู่รอดผ่านฤดูหนาวปีนี้ไปได้”

“ข้ารู้สึกสงสารชาวเมืองเหลือเกิน พวกเขาล้วนเป็นสาวกที่ซื่อสัตย์ของเทพีกระบี่ แล้วเทพีกระบี่จะปล่อยให้สาวกของตนเองต้องตกระกำลำบากอยู่อย่างนี้หรือ?”

แต่เทพีกระบี่หิมะไร้นามก็ไม่ตอบข้อความกลับมาเลยสักครั้งเดียว

นางไม่ได้อ่านข้อความด้วยซ้ำ

อยู่ดีๆ ก็หายไปเสียอย่างนั้น

หลินเป่ยเฉินรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาเล็กน้อย

ตอนที่เขาเก็บโทรศัพท์ เด็กหนุ่มก็อดคิดไม่ได้ว่า หรือเขาควรจะใช้เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่ธิดาอู๋ไห่จือตี้เป็นคนมอบให้มาดีนะ?

แต่เทพธิดาองค์นั้นสมองดูไม่ค่อยปกติเท่าไหร่

เครื่องรางชิ้นนี้อาจจะมีสิ่งไม่ดีแอบแฝงอยู่ก็ได้

ถึงปลาตากแห้งพวกนั้นจะไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเครื่องรางดาวนำโชคจะไม่มีปัญหา

หากลองใช้งานแล้วเกิดปัญหาขึ้นมา…

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สัญชาตญาณของหลินเป่ยเฉินกลับกระตุ้นเร้าให้เขาถอนเครื่องรางเทพเจ้าแห่งท้องทะเลออกมาจากแอปเจิ้นอ้ายหว่าง เพราะสิ่งที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ให้โทษกับเขาแต่อย่างใด

หลินเป่ยเฉินครุ่นคิดเรื่องนี้ไปด้วยพร้อมกับต้อนรับลูกค้าไปด้วย

จนกระทั่งถึงยามเย็น

หลินเป่ยเฉินก็ได้พบเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย

ที่ปรึกษาเต่าทะเลกุยเหนียน

“เจ้าชักจะดูถูกพวกเรามากเกินไปแล้ว ข้าไม่เคยต้องรอเข้าพบใครนานขนาดนี้มาก่อน…”

มนุษย์เต่าทะเลกุยเหนียนระเบิดโทสะด้วยสีหน้าบึ้งตึงทันทีที่พบหน้าหลินเป่ยเฉิน

“ข้าเป็นถึงผู้ส่งสาส์นแห่งชาวทะเลเชียวนะ!”

“ผู้ส่งสาส์นน่ะ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

“ข้ามีสถานะเป็นถึงตัวแทนขององค์หญิงแห่งท้องทะเลและเป็นตัวแทนของนักบวชหรงผู้ยิ่งใหญ่ แต่กว่าที่จะได้เข้าพบเจ้า ข้าต้องยืนตากแดดรออยู่ข้างนอกถึงสองชั่วยามเต็มๆ และยังต้องเสียอัญมณีถึง 200 ชิ้นเป็นค่าเข้าพบเจ้าอีก!”

“หลินเป่ยเฉิน เจ้าคิดที่จะประกาศสงครามครั้งใหม่กับชาวทะเลแล้วหรือไร?”

“ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอมเด็ดขาด…”

“ต่อให้เจ้าเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิเป่ยไห่ เจ้าก็มาทำแบบนี้กับข้าไม่ได้”

ในอาณาเขตของตำหนักไม้ไผ่ดังกังวานไปด้วยเสียงคำรามด้วยความไม่พอใจของเต่าทะเลกุยเหนียน

ดูเหมือนว่ามนุษย์เต่าทะเลจะไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกแล้ว

หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความมึนงง

อะไรอีกละเนี่ย?

ผู้ส่งสาส์นอย่างนั้นหรือ?

เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าหวังจงที่ยืนอยู่ข้างประตู

ตาเฒ่านี่ก็มีพรสวรรค์เหมือนกันนะเนี่ย

เป็นผู้ส่งสาส์นของชาวทะเลแล้วจะทำไม?

คิดจะลัดขั้นตอนเข้าพบเขาก่อนคนอื่นๆ อย่างนั้นหรือ?

เห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว

ไม่ว่ายิ่งใหญ่มาจากไหน

เมื่อเข้ามาอยู่ในอาณาเขตของตำหนักไม้ไผ่ ทุกคนก็จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันทั้งหมด!

ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย