ซวนอีขวางนางเอาไว้และกล่าวว่า “เข้าไปไม่ได้ นายน้อยของพวกข้ายังไม่ฟื้น หากไม่ใช่เป็นเพราะช่วยเจ้า ไหนจะระหว่างทางยังเจอพวกมดปลวกคอยขวางทางอยู่ พวกข้าก็คงจะไม่เสียเวลามากถึงเพียงนั้น”
ที่แท้ก็เป็นพวกเขานี่เองที่จัดการกับคนของกองกำลังผู้นำเจ็ดอสูร! มู่เฉียนกล่าวชมเชยว่า “ทำได้ไม่เลวเลย!”
สีหน้าของซวนอีดำคล้ำ ผู้แข็งแกร่งอย่างเขาสังหารคนไปมากมายเช่นนั้นจำเป็นต้องให้สาวน้อยผู้นี้กล่าวคำชื่นชมอย่างนั้นเหรอ ?
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “เขาน่าจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตหรอกกระมัง ?”
นางรักษาคนได้ อีกทั้งยังเชื่อมั่นในฝีมือการรักษาของตนเองมากอีกด้วย
ทว่า ผู้มีพระคุณได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ นางก็ไม่สามารถเอ่ยปากจะช่วยรักษาเขาได้
ซวนอีก็คงไม่เชื่อนางเด็ดขาด และไม่มีสิทธิ์ให้นางไปช่วยด้วย
ซวนอีกล่าว “นายน้อยของพวกข้าไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น แต่ต้องใช้สักพักกว่าจะฟื้นขึ้นมา”
มู่เฉียนซีโบกมือพลางกล่าว “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับไปรักษาตัวก่อน รอให้นายน้อยของพวกเจ้าฟื้นขึ้นมาข้าค่อยบอกลาเขา”
ออกไปไม่ได้ มู่เฉียนซีก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าตอนนี้นางอยู่ที่ใด
ทว่า นางคิดว่าน่าจะเป็นเมืองที่อยู่ไม่ห่างไกลกันกับป่าเชียนโยวมากนัก แต่ถึงอย่างไรสองคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้นก็ไม่อาจไปไกลได้
มู่เฉียนซีไม่รู้ว่าสถานที่ที่อยู่ไม่ไกลจากนางมากนักนั้น กองกำลังผู้นำเจ็ดอสูรเหล่านั้นได้นำคนไปหาคนของหุบเขาหมอเทวดาด้วยท่าทีที่โกรธเกรี้ยวแล้ว
ผู้นำจื่อกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “พวกเจ้าหุบเขาหมอเทวดานี่ดีเยี่ยมจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าจะขุดหลุมพรางใหญ่เช่นนี้ให้พวกข้าตกลงไปได้ คนเช่นนั้นพวกเจ้าก็กล้าที่จะล่วงเกิน ข้านับถือพวกเจ้าจริง ๆ”
หัวใจของซางเวิงเต้นแรงขึ้น หรือว่าสองคนนั้นจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งแล้ว
ซางเวิงกล่าว “มีอะไรก็ค่อยว่ากัน นุ่มนวลกันสักหน่อยสิ”
“นุ่มนวลอย่างนั้นเหรอ! เหอะเหอะเหอะ หากพวกมันตามมาฆ่าเจ้าถึงที่ พวกเจ้าจะรับมือเช่นไร เป็นหุบเขาหมอเทวดาของพวกเจ้าที่เป็นคนสั่ง เจ้าบงการข้า พวกเจ้าหุบเขาหมอเทวดาก็อย่าคิดเอาตัวเองออกจากเรื่องนี้เลย!”
ตอนนี้คนของกองกำลังผู้นำเจ็ดอสูรก็สูญเสียไปมาก แน่นอนว่าไม่มีความคิดที่จะทำเรื่องใหญ่โต ดังนั้นหลังจากที่พ่นวาจาดุร้ายออกมาพวกเขาก็จากไปทันที
ในขณะเดียวกันนั้นก็ได้ทำให้ผู้อาวุโสซางตกตะลึงพรึงเพริดไป “รีบปล่อยตัวคนของสำนักศึกษาอันดับหนึ่งแห่งเหลยโจวพวกนั้นเร็วเข้า”
การลงมือกับมู่เฉียนซีครั้งนี้ล้มเหลวลงแล้ว หากจะลงมืออีกครั้งเกรงว่าจะต้องปรึกษากับท่านผู้เฒ่าก่อน หรือไม่ก็เปลี่ยนจากสงครามให้เป็นสันติภาพ เปลี่ยนความแตกแยกให้เป็นความสามัคคี
มู่เฉียนซีรักษาตัวอย่างสงบ กินสิ่งที่ดีที่สุดและใช้สิ่งที่ดีที่สุด ก็ไม่รู้ว่าชิงอิ่งกับผู้อาวุโสโม่และพวกเป็นเช่นไรบ้าง
นางอยากจะออกไปให้เร็วที่สุด ทว่า นายน้อยที่นี่ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย
นางอยากจะดูสักหน่อยว่าอาการบาดเจ็บของคนผู้นั้นอยู่ในระดับใด ท้องฟ้าเริ่มมืดลง มู่เฉียนซีกลับไม่สามารถวางแผนแอบเข้าไปได้
ถึงแม้ว่าฝ่ายตรงจะมีเพียงแค่สามคน แต่แต่ละคนนั้นล้วนเป็นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกโดยประมาณทั้งสิ้น นางไม่กล้าไปเสี่ยงอันตราย ทำได้เพียงแค่รอ
ฝ่ายตรงข้ามก็ไมได้ปล่อยให้นางรอนานนัก เพียงเวลาแค่หนึ่งวัน ในที่สุดเขาก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว
สาวใช้เดินเข้ามารายงานว่า “นายท่าน นายท่านซวนอีให้ข้าน้อยมาเชิญไปเจ้าค่ะ”
แสงเย็นวาบแวบผ่านดวงตาของมู่เฉียนซี ในที่สุดนายน้อยก็ฟื้นแล้ว
ในขณะที่นางไปหาอีกครั้ง ซวนอีก็ยังคงเหมือนเทพคอยเฝ้าพิทักษ์ประตู มองนางด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์
มู่เฉียนซีจนปัญญาเป็นอย่างมาก นางไปทำให้เจ้าหมอนี่ไม่พอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ซวนอีกล่าว “นายน้อยต้องการพบเจ้า ตามข้ามา!”
แน่นอนว่าซวนอีก็กลัดกลุ้มใจเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากที่นายน้อยได้ฟื้นขึ้นมา อาการคงที่ก็ถามแต่สาวน้อยผู้นี้ว่าเป็นเช่นไรบ้าง หลังจากนั้นก็ให้เขาเชิญตัวนางมา
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “อืม!”
ซวนอีพามู่เฉียนซีไปที่หน้าห้องของนายน้อย ค่อย ๆ เปิดประตูให้มู่เฉียนซี ทันทีที่มู่เฉียนซีเดินเข้าไปก็ได้เห็นกับชายหนุ่มสีหน้าซีดเผือดผู้หนึ่งนอนเอนกายอยู่บนเตียง
สีหน้าของเขาซีดเผือด ทว่ากลับไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความงดงามของเขาเลย
ชายหนุ่มผู้นี้ เป็นชายรูปงามล่มบ้านล่มเมือง ใบหน้าดุจดั่งประติมากรรมผลึกใสที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
คิ้วพราวพริ้มละไม ดวงตาสีอำพันคู่นั้นสดใสเป็นประกาย สีสันงามตาเป็นอย่างมาก
เขาเอนตัวอยู่บนเตียงราวกับผ้าทอดิ้นเงินดิ้นทอง เส้นผมดำขลับสยายลงมาทาบหมอนราวกับภาพน้ำมันที่ดูละลานตาก็มิปาน
เขาเอนกายอยู่ตรงนั้นด้วยความนิ่งสงบ สูงศักดิ์งดงาม เย่อหยิ่งดุจดั่งดอกเหมยที่เย็นยะเยือก
เฟิงอวิ๋นซิวมองดูหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า เขามองนางอย่างพิจารณาอย่างไปไม่อาจปิดบังได้
เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา มองไปที่ดวงตาอันสดใสดำขลับคู่นั้น
ทั้งคู่สบตากัน และเขาก็ตกใจขึ้น
ดวงตาคู่นี้เปรียบเสมือนดวงดาราที่สุกสกาวอยู่ในยามรัตติกาล ทำให้ผู้คนที่ไม่ว่าจะสิ้นหวังในยามรัตติกาลเพียงใด ก็สามารถเห็นกับแสงสว่างที่สุกสกาวนี้ได้
ช่างงดงามยิ่งนัก ช่างเป็นดวงตาที่ชวนให้ผู้คนหลงใหลยิ่งนัก ทว่า แววตาของเฟิงอวิ๋นซิวกลับประกายความผิดหวังออกมา
ผิดหวัง!
ถึงแม้ว่าบุรุษตรงหน้าผู้นี้จะปกปิดอารมณ์และความรู้สึกเอาไว้ดีมาก แต่มู่เฉียนซีก็ดูออกถึงสายตาความผิดหวังของเขา
หรือว่าเขาจำคนผิดก็เลยได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้
เฟิงอวิ๋นซิวเอ่ยปากกล่าวว่า “ที่ได้ช่วยแม่นางเอาไว้ครั้งนี้ ก็ช่วยเพื่อความบังเอิญเท่านั้น แม่นางไม่จำเป็นต้องกล่าวคำขอบคุณหรอก หากเจ้าอยากจากไป ก็ไปเถอะ!”
ยังไม่ทันได้บอกชื่อบอกแซ่แต่อย่างใด ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากจะมีความสัมพันธ์ใดเกี่ยวข้องกับนาง มู่เฉียนซีมองไปที่ใบหน้าอันซีดเผือดนั้น และกล่าวขึ้นว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าที่ท่านลงมือช่วยชีวิตข้าเอาไว้นั้นเป็นเพราะข้าหน้าตาเหมือนกับคนที่ท่านรู้จัก หรือจะเป็นเพราะเหตุผลอื่น แต่ข้าเป็นคนที่ไม่ชอบติดค้างผู้ใด และตอนนี้ก็เป็นโอกาสที่ข้าจะตอบแทนท่านได้พอดี และข้าก็จะไม่พลาดโอกาสนี้”
มู่เฉียนซีย่างเท้าก้าวเดินเข้าไป ในเมื่อนางไม่อยากจะติดค้างเขา ก็ตอบแทนไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย!
พอดีสามารถรักษาร่างกายของเขาที่อ่อนแอในตอนนี้ได้ ถึงแม้ว่าองครักษ์ข้างกายเขาล้วนแต่แข็งแกร่งมาก แต่สำหรับเรื่องการใช้ยาแล้วกลับทำไม่ได้เลย
ซวนอีกล่าว “บังอาจ! เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
นายน้อยไม่เคยให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้ถึงสามนิ้ว โดยเฉพาะสตรี สตรีผู้นี้รนหาที่ตายอย่างนั้นเหรอ
มู่เฉียนซีเข้าไปใกล้ ถึงแม้ว่าเฟิงอวิ๋นซิวจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็ยกมือขึ้นอย่างรุนแรง มู่เฉียนซีรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันตรายนั้น
แต่สุดท้าย เฟิงอวิ๋นซิวก็ไม่ได้ลงมือแต่อย่างใด
เขาตกใจผงะไปครู่หนึ่ง ช่างเหมือนยิ่งนัก เมื่อได้เห็นใบหน้าที่เหมือนกับนางเช่นนี้ เขาก็ลงมือไม่ลง
และเขาก็ง้างมือค้างไว้เช่นนั้น
ส่วนมู่เฉียนซีคว้าข้อมือของเขาเอาไว้อย่างไม่กลัวความตาย ตอนนี้ซวนอี ซวนเอ้อร์และซวนซานถลึงตาด้วยความตกใจจนดวงตาแทบจะถลนออกมา
นายน้อยมีนิสัยรักความสะอาด เว้นเสียจากคนที่คอยปรนนิบัติเขามาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่คนอื่นแม้ชายเสื้อของเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะแตะต้องได้
ทว่า ตอนนี้นึกไม่ถึงเลยว่าสตรีผู้นี้จะจับข้อมือของนายน้อย และสิ่งนี้เขาไม่ได้ดูผิดไป
และสิ่งที่ดูไร้เหตุผลไปมากกว่านั้นก็คือ นายน้อยไม่ได้สะบัดนางออกแต่อย่างใด
หรือว่านายน้อยจะหลงรักสตรีผู้นี้ตั้งแต่แรกพบ
แต่เรื่องเช่นนี้มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับนายน้อยเลย แต่ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้จะอธิบายเช่นไรเล่า
ในขณะที่พวกเขากำลังตกตะลึงพรึงเพริดอยู่นี้เอง มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้นว่า “นึกไม่ถึงว่าอาการบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ พวกเจ้าใช้ยาที่ดีที่สุดให้กับนายน้อยของพวกเจ้า แต่กลับรักษาไม่ตรงตามอาการ และนี่จะเป็นการทำให้นายน้อยของพวกเจ้านอนติดเตียงเป็นเวลาครึ่งเดือนกว่าจะฟื้นฟูดีขึ้น!”
ในขณะที่มู่เฉียนซีกำลังกล่าวอยู่นั้น เฟิงอวิ๋นซิวก็ดึงมือตนเองกลับมา
ไม่เพียงแต่จะดึงมือกลับมาเบา ๆ แต่เขาไม่ได้ลงมือกับมู่เฉียนซีอีกด้วย
มู่เฉียนซีมองชายหนุ่มที่รูปร่างหน้าตางดงามล่มบ้านล่มเมืองที่อยู่ตรงหน้า นางกล่าว “ข้าใช้เวลาเพียงแค่เจ็ดวันเพื่อที่จะทำให้เจ้าหายกลับมาเป็นปกติโดยสมบูรณ์ พลังก็กลับมาอยู่ในขั้นสูงสุด นี่นับว่าเป็นการตอบแทนของข้า เป็นเช่นไร ?”
ซวนอีและพวกกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “เป็นไปไม่ได้!”