หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า ก้าวเท้ายาวข้ามออกไปด้านนอก
องครักษ์ลับนับพันนายยืนนิ่งอยู่ด้านนอกจวน เงียบสงัดไร้เสียง
หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกไป ยืนอยู่หน้าประตูจวน องครักษ์ลับทั้งหมดตะโกนพร้อมเพรียงกัน “นายท่าน!”
เสียงตะโกนร้องกึกก้องสะท้านฟ้า ทำเอาคนที่อยู่ภายในจวนแตกตื่น และทำให้คนที่อยู่รอบจวนอ๋องแตกตื่นด้วยเช่นกัน ไม่นานก็มีคนจำนวนไม่น้อยชะโงกศีรษะออกมามองด้านนี้อย่างสงสัยใคร่รู้
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า พูดเสียงดัง “สิบกว่าปีแล้ว พวกเจ้าต้องหลบซ่อนอยู่ในที่ลับ ไม่เห็นแสงตะวัน ตั้งแต่วันนี้ต่อไป พวกเจ้าก็จะได้ยืนอยู่ใต้แสงตะวันอย่างชอบธรรม และคอยรับฟังคำสั่งของข้า”
ท่าทางของพวกองครักษ์ลับตื่นเต้น ตั้งแต่ที่หวงฝู่อี้เซวียนสูญหายไป พวกเขาก็แฝงนามและปลอมเป็นสถานะต่างๆ หลบซ่อนอยู่แต่ละแห่ง หลายปีนี้ ไม่เคยมีใครเรียกพวกเขา พวกเขาเกือบจะลืมหน้าที่ของตัวเองเสียแล้ว บัดนี้ คำพูดไม่กี่คำของหวงฝู่อี้เซวียน ก็เป็นการบอกแก่พวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อไปพวกเขาก็ไม่ต้องเร่ร่อนตามแห่งต่างๆ อีกแล้ว ไม่มีใครที่เป็นคนธรรมดาสามัญแล้ว แต่จะเป็นองครักษ์ลับแกร่งกล้าที่ทำให้คนได้ยินชื่อก็กลัวจนตัวสั่น
หวงฝู่อี้เซวียนเปล่งเสียงดังพูดอีกครั้ง “วันนี้ มีเรื่องที่สำคัญสองเรื่องที่จะมอบหมายให้พวกเจ้าไปทำ หวังว่าพวกเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
พวกองครักษ์ลับมองเขาอย่างรอคอย
หวงฝู่อี้เซวียนกวาดสายตามองพวกเขา แล้วเปล่งเสียงถาม “ผู้บัญชาการองครักษ์ลับอยู่ที่ใดกัน”
ผู้ชายที่รูปร่างสูงใหญ่กำยำเดินออกมา ประสานมือคารวะ “ข้าน้อยนามว่าโจวอัน รับหน้าที่ผู้บัญชาการองครักษ์ลับแห่งเมืองหลวง ขอนายท่านโปรดรับสั่งขอรับ”
“กัวเฟยได้รับบาดเจ็บ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นหัวหน้าที่ดูแลองครักษ์ลับสามพันนาย และฟังคำสั่งจากข้าโดยตรง”
“ข้าน้อยรับบัญชาขอรับ!” โจวอันเปล่งเสียงดังรับคำ
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า กวักมือเรียกโจวอัน
โจวอันเดินมาข้างหน้า ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา เอนกายลง และฟังคำสั่งของเขา
หวงฝู่อี้เซวียนกระซิบสั่งไม่กี่คำ
โจวอันผงกศีรษะ ยืดตัวตรง หันหลังกลับไปหน้ากองทัพ แล้วเลือกองครักษ์ลับแยกออกมาสิบนาย
“ไปเถิด ภายในจวนมีม้าเร็ว ข้าให้เวลาเจ้าครึ่งเดือน”
โจวอันรับคำ นำองครักษ์ลับสิบนายไปหลังจวน แต่ละคนจูงม้าออกมา แล้วกระโดดลอยตัวขึ้นบนม้า ตะบึงออกไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นสั่งคนให้ไปจูงม้าออกมาตัวหนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนก็กระโดดขึ้นหลังม้า นำพวกองครักษ์ลับออกจากประตูตะวันออก มุ่งตรงไปยังหมู่บ้านตระกูลหมิงที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงห้าสิบลี้
การเคลื่อนไหวนี้ย่อมได้ยินไปถึงหูของฮ่องเต้อีก อ๋องฉีได้บอกเรื่องทั้งหมดแล้ว ฮ่องเต้เข้าพระทัย ครั้งนี้หวงฝู่อี้เซวียนต้องการไปล้างแค้นถึงบ้านบรรพบุรุษของเหวินเอ้อร์ จึงทรงถอนหายใจยาว นวดพระกรรเจียกทั้งสองข้างที่ปวด แล้วตรัสสั่งเบาๆ “สั่งให้คนในหน่วยลาดตระเวนตามหลังเขาไปติดๆ รอให้ซื่อจื่อจัดการเสร็จแล้ว ค่อยพาเขากลับมาหาข้า”
เจตนาที่พระองค์ตรัสนั้นก็คืออย่าได้ห้ามปราม รอให้หวงฝู่อี้เซวียนฆ่าตายให้หมดหลังจากนั้นค่อยปรากฏตัว ชัดเจนว่าฮ่องเต้มีพระทัยเข้าข้างปกป้องซื่อจื่อ ขันทีรับใช้ประจำตัวก็เข้าใจความหมายของพระองค์ ผู้บัญชาการหน่วยลาดตระเวนก็เข้าใจเจตนาของพระบัญชาของฝ่าบาทเช่นกัน จึงเรียกทหารและม้าอย่างไม่รีบเร่ง เมื่อครบแล้วก็มุ่งไปยังหมู่บ้านตระกูลหมิงที่อยู่ไกลๆ
หมู่บ้านตระกูลหมิงไม่ใช่เป็นหมู่บ้านธรรมดาๆ หมู่บ้านหนึ่ง หัวหน้าของหมู่บ้านนี้มีเพียงครอบครัวเดียว ก็คือ หมิงเซิ่งจู่ผู้เป็นบรรพบุรุษตระกูลของเหวินเอ้อร์ ตระกูลหมิงนี้ไม่ใช่คนท้องถิ่น แต่เป็นบรรพชนรุ่นก่อนที่อพยพมาจากแดนไกล ว่ากันว่าเป็นครอบครัวเศรษฐี มีกิจการการค้าในมือไม่น้อย ในปีนั้น เนื่องจากหมิงเซิ่งจู่ที่ไม่รู้ว่าได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุใด ชีวิตจึงเข้าสู่ขีดอันตราย โชคดีที่ได้เถ้าแก่เหวินช่วยชีวิตเขาไว้ ถึงรอดมาได้ เพื่อที่จะตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิต จึงส่งบุตรสาวคนเล็กไปแต่งงานกับพ่อของเหวินซื่อ และแต่งตั้งให้เป็นภรรยาเอกคนถัดไป”
ครั้งก่อนเมิ่งเชี่ยนโยวประสบกับการลอบโจมตี หวงฝู่อี้เซวียนจึงสั่งคนให้ไปสืบความตื้นลึกหนาบางทั้งหมดของตระกูลหมิงจนชัดเจนแล้ว ในอดีตเป็นโจรที่ลักลอบทำการค้าอยู่ทางใต้ หลังจากนั้นในราชวงศ์ได้ล้อมปราบหลายครั้ง จึงไม่อาจเลี่ยง ถึงเปลี่ยนสถานะเพื่อหนีออกจากกฎหมายของใต้ฝ่าบาท พร้อมทั้งเปลี่ยนรูปโฉมของตัวเองกลายเป็นพ่อค้า
ขุนนางทางใต้ แม้ฝันก็ไม่อาจคาดคิดได้ว่าพวกเขาจะบังอาจเช่นนี้ แล้วยังมาที่เมืองหลวงอีก ดังนั้นหลายปีก่อนจึงหาไม่เจอว่าเขาลงหลักปักฐานอยู่แห่งใด จึงได้แต่ทิ้งเรื่องนี้เอาไว้อย่างค้างคา
แต่หลังจากนี้เป็นต้นไป ตระกูลหมิงก็นับว่าได้ล้างสะอาดแล้ว และทำการค้าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อีกทั้งหลายปีก่อนก็ทำจนมีชื่อเสียงโด่งดัง เพียงชั่วขณะเดียว ก็กลายเป็นคนที่พอจะมีชื่อเสียงในบรรดารอบๆ เมืองหลวงอยู่บ้าง
ทว่า ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด กิจการเริ่มตกต่ำลง
คนในหมู่บ้านล้วนเป็นคนที่พามาจากทางใต้ คนหลายร้อยคนล้วนต้องการการดูแล ดังนั้นจึงคิดจะสร้างร้านยาเต๋อเหริน และเหวินเอ้อร์ก็ได้กุมร้านยาเต๋อเหรินไว้ในมือแล้ว ไม่เพียงแต่เส้นทางทรัพย์สินจะไร้ซึ่งความพะว้าพะวงอีกต่อไป คนว่างงานในหมู่บ้านพวกนี้ก็พอจะมีงานมีการเลี้ยงชีพได้บ้าง
น่าเสียดายนัก วางแผนคำนวณได้ดีสมปรารถนา กลับนึกไม่ถึงว่าจะถูกเมิ่งเชี่ยนโยวพังทลายลงอีกครั้ง หมิงเซิ่งจู่ก็โกรธแค้นอย่างมาก ถึงกล้าจะเดินทางเสี่ยง ลอบทำร้ายเมิ่งเชี่ยนโยวครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะครั้งสุดท้ายที่ใช้กำลังขององครักษ์ลับที่เลี้ยงดูมาหลายปีนี้ของหมู่บ้านเกือบทั้งหมด
แสงของฟ้าเริ่มมืดลง เหวินเอ้อร์ยังไม่กลับมา เวลานี้หมิงเซิ่งจู่ก็นั่งไม่ติดแล้ว เดินวนไปมาอยู่ภายในห้องไม่หยุด
ครั้นหวงฝู่อี้เซวียนนำเหล่าองครักษ์ลับมาถึงหมู่บ้านตระกูลหมิงแล้ว คนที่เฝ้าประตูก็พบพวกเขาโดยทันที และรีบวิ่งเข้าไปรายงานโดยเร็ว
หมิงเซิ่งจู่ฟังจบ ก็นั่งตัวชาลงบนเก้าอี้ หวงฝู่อี้เซวียนมาแล้ว เช่นนั้นแสดงว่าเฮ่อเหลี่ยนกับเหวินเอ้อร์ทั้งคู่ลงมือไม่สำเร็จ ไม่แน่ว่ายัง…ไม่กล้าคิดต่อไป รวบรวมพลังฮึดขึ้นมา หมิงเซิ่งจู่กัดฟันสั่ง “เร็ว ไปรวมคนในหมู่บ้าน อย่าให้พวกเขาเข้ามาในหมู่บ้านได้โดยเด็ดขาด”
คนในหมู่บ้านมีกลองใหญ่ที่ส่งสัญญาณเรียกรวมตัว เมื่อเจอเหตุเร่งด่วน กลองนี้ก็จะดังขึ้น จากนั้นไม่ว่าเด็กอคนแก่ ชายหรือหญิงในหมู่บ้านจะมารวมตัวกันในที่แห่งนี้ทั้งหมด
ในความมืดยามค่ำคืน เสียงกลองลั่นไปไกล หวงฝู่อี้เซวียนย่อมได้ยินเป็นธรรมดา จึงเบ้ปากอย่างดูแคลน นำองครักษ์ลับมาถึงประตูของหมู่บ้านโดยตรง
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งอายุราวสี่สิบกว่าปีที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับเหวินเอ้อร์ ถือดาบเล่มใหญ่ที่สะท้อนแสงขึ้นมา นำคนชุดดำไปยืนที่หน้าประตูด้วยสีหน้าอำมหิตดั่งซาตาน จ้องหวงฝู่อี้เซวียนขมึงด้วยความโกรธความชัง
หวงฝู่อี้เซวียนลงจากม้าอย่างนิ่งสงบ เดินมาตรงหน้าอย่างไม่รีบไม่ร้อน และหยุดอยู่ที่ห่างจากเขาสามจ้าง แล้วเอ่ยปากขึ้น ภายในเสียงไร้ซึ่งความหวั่นไหวใดๆ “จะให้ข้าให้คนลงมือ หรือเจ้าจะจบชีวิตด้วยตัวเอง”
ชายฉกรรจ์ เฮอะ ใส่เขา และพูดอย่างหยามเหยียด “ช่างพูดจาอวดดียิ่งนัก ตั้งแต่เกิดมาจนข้าอายุเท่าปู่ของเจ้า ยังไม่มีคนไหนกล้าพูดเช่นนี้กับข้า ชีวิตเจ้า…”
ยังพูดไม่ทันจบ เงาของคนตรงหน้าก็เบลอไป หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้มาถึงตรงหน้าเขาแล้ว คนเสื้อดำที่อยู่ด้านหลังชายฉกรรจ์ร้องตกใจ ชายฉกรรจ์ยกดาบขึ้นอย่างลนลานเพื่อคิดจะป้องกัน เสียดายที่ช้าไปก้าวหนึ่ง มือหวงฝู่อี้เซวียนได้แทงลงบนต้นคอของเขา เมื่อออกแรง ก็ได้ยินแต่เพียงเสียง ฉับ แล้วคอของชายฉกรรจ์เบี้ยวออก และสิ้นลมหายใจทันที
หวงฝู่อี้เซวียนดึงมือออก พลุบ ชายฉกรรจ์ล้มลงบนพื้น ทำให้ฝุ่นดินและทรายปลิวว่อนขึ้นมา
คนชุดดำทั้งหมดตื่นตระหนกจนถอยออกไปหลายก้าวอย่างควบคุมไม่ได้
หวงฝู่อี้เซวียนเดินมุ่งเข้าไปในหมู่บ้านทีละก้าว เสียงเท้าที่เหยียบพื้น สั่นสะท้านจนทำให้ใจของคนชุดดำไหวสั่น
องครักษ์ลับตามติดอยู่ด้านหลัง
หลังจากเดินเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนยืนนิ่ง กวาดตามองคนชุดดำปราดหนึ่ง ถามด้วยเสียงเย็นชา “หมิงเซิ่งจู่ล่ะ ให้เขาโผล่หัวออกมา!”
สายตาของคนชุดดำมองกันเองอย่างเลิ่กลั่ก ไม่มีใครพูดอะไร
คนชุดดำคนหนึ่งในนั้นทนบรรยากาศเช่นนี้ไม่ไหว จึงร้องคำรามเสียงดัง ถลาออกมาจากฝูงคน แล้วยกดาบบนมือมุ่งจะมาแทงหวงฝู่อี้เซวียนอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่อี้เซวียนยืนอยู่ไม่ขยับ องครักษ์ลับคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเขารุดหน้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว และผ่านหัวไหล่ของคนชุดดำไป
ร่างของคนชุดดำชะงัก ผ่านไปครู่ใหญ่ร่างกายถึงจะล้มลงไปข้างหน้า
เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นในเวลาเดียวกัน “สังหาร!”
องครักษ์ลับบุกเข้ามาข้างหน้า ไม่มีเสียงตะโกนร้องฆ่า ไม่มีเสียงปะทะต่อสู้ คนชุดดำหลายสิบคนตายลงในชั่วขณะนั้น
หวงฝู่อี้เซวียนไม่สนใจมองศพที่เต็มพื้นนี้ เดินมุ่งเข้าไปภายในหมู่บ้านต่อ
ทันใดนั้นคบเพลิงนับไม่ถ้วนก็ส่องสว่างขึ้น ส่องภายในหมู่บ้านจนสว่างราวกับแสงในยามกลางวัน คนชราคนหนึ่งที่สวมชุดสีดำ สีหน้าถมึงทึง ถูกพยุงออกมาพร้อมกับชายฉกรรจ์ที่หน้าตาคล้ายกันสองคน ด้านหลังเขาคือชายหญิงคนแก่และเด็กที่ถืออาวุธหลากหลายอยู่
หวงฝู่อี้เซวียนหยุดฝีเท้าของตัวเอง มองพวกเขา และถามขึ้น “หมิงเซิ่งจู่?”
หมิงเซิ่งจู่ไม่ได้ตอบ แต่กลับพูดด้วยเสียงโกรธแค้น “หวงฝู่อี้เซวียน เจ้าฆ่าลูกชายและหลานของข้า ข้าไม่จบกับเจ้าแน่!”
มุมปากของหวงฝู่อี้เซวียนบุ้ยเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน ราวกับจะถามว่าลมฟ้าอากาศของวันนี้เป็นเช่นไร พร้อมพูดว่า “เหวินเอ้อร์ได้ไปทางของเขาแล้ว ในเมื่อเจ้ารักเขาขนาดนี้ ก็ลงไปเป็นเพื่อนเขาเถิด”
เมื่อสิ่งที่คิดและสิ่งที่ได้ยินจากหูของตัวเองเป็นสิ่งเดียวกัน ในใจของหมิงเซิ่งจู่บีบแน่น ร่างกายก็โซเซไปเล็กน้อย
ชายฉกรรจ์ข้างกายสองคนร้องขึ้นพร้อมกัน “ท่านพ่อ” แล้วพยุงเขาไว้
หมิงเซิ่งจู่หายใจเข้าลึกๆ และพูดอย่างดุร้าย “หวงฝู่อี้เซวียน ข้าจะเฉือนเจ้าออกเป็นชิ้นๆ”
“รอให้เจ้ามีชีวิตรอดให้ได้แล้วค่อยว่ากันเถิด” เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนไม่เร่งไม่รีบ กลับได้ยินเสียงสั่นระรัวของฝูงคนภายในหมู่บ้านอย่างน่าประหลาด
ในปีนั้น หมิงเซิ่งจู่ก็เป็นขุนโจรที่มีอำนาจอยู่ในพื้นที่หนึ่ง แม้จะแก่แล้ว ก็ยังมีเลือดแห่งโจรที่กระฉับกระเฉงอยู่ จะกลืนคำพูดเช่นนี้อย่างไรได้ไหว จึงสั่งทุกคน “บุกเข้าไปให้หมด วันนี้ต่อให้ต้องเป็นเหมือนปลาตายที่หลุดเข้าแห ก็ต้องฆ่าไอ้เดรัจฉานนี้ให้ได้ เพื่อล้างแค้นให้กับนายน้อยทั้งสอง”
ทุกคนร้องตะโกนบุกเข้าไป
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ขยับ องครักษ์ลับสิบกว่าคนล้อมเขาอยู่ตรงกลาง ส่วนคนที่เหลือก็แยกกันไปเผชิญกับคนในหมู่บ้าน
ผู้มีความสามารถสูงของหมู่บ้านล้วนตายหมดหลังจากที่ไปลอบสังหารเมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียน พวกที่เหลือจึงยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหล่าองครักษ์ลับ ผ่านไปหนึ่งก้านธูปทุกคนก็นอนลงบนพื้น คบเพลิงเรียงรายทั่วทุกหนแห่ง
หมิงเซิ่งจู่สีหน้าขาวซีดแล้ว เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าคนที่หวงฝู่อี้เซวียนพามาจะเก่งฉกาจขนาดนี้ เกือบจะไม่ได้ออกแรงอะไรมาก ก็ฆ่าทุกคนจนสิ้น เหลือแต่เพียงพวกเขาสามคน ไม่ ยังมีอยู่ ขอแต่เพียงพวกเขาสามารถหนีออกไปได้ไกลเสียหน่อย
ยังคิดไม่ทันเสร็จ เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น “หมิงเซิ่งจู่ ปีนี้อายุหกสิบสาม มีบุตรชายสาม บุตรสาวสอง ไม่รวมบุตรสาวคนเล็กที่แต่งเป็นภรรยาเอกคนถัดไปของนายน้อยร้านยาเต๋อเหริน ที่เหลือล้วนอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลหมิง ในนั้นมีบุตรชายสามคนรวมเป็นชายห้า หญิงสาม ลูกสาวคนโตมีบุตรชายสองบุตรหญิงหนึ่ง บุตรสาวคนเล็กคลอดบุตรชายอีกคนหนึ่ง รวมลูกหลานทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน ไม่รวมลูกสาวคนเล็กของเจ้ากับเหวินเอ้อร์ ไม่รวมคนที่เพิ่งจะฆ่าตายนั่น ก็ยังเหลืออีกสิบสี่คน และวันนี้มีเพียงลูกชายสองคนที่อยู่ข้างกายเจ้า ไม่รู้ว่าคนอื่นไปที่ไหนเสียแล้ว”
ในใจของหมิงเซิ่งจู่สั่นไหว นึกไม่ถึงว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะรู้สถานการณ์ครอบครัวเขาได้แม่นยำขนาดนี้ จึงฮึดพูดขึ้น “ข้าได้เตรียมการไว้สองวิธีตั้งนานแล้ว ข้าได้ส่งพวกเขาก่อนที่จิ่วเอ้อร์จะออกไปแล้ว หากเจ้าอยากจะตามหาพวกเขา ก็ฝันไปเถิด”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มเล็กน้อย แล้วถามย้อน “จริงหรือ”
ในใจของหมิงเซิ่งจู่สั่นระรัว แต่วางมาดอย่างสง่าผ่าเผย และกัดฟันพูด “ข้าก็มีชีวิตที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ทีเดียว วันนี้จะไม่ยอมให้โดนจับกุมแต่โดยดีเป็นแน่ อยากจะเอาชีวิตข้า มีปัญญาก็มาเอาสิ”
ลูกชายทั้งสองคนก็วางมาดอย่างองอาจเช่นกัน
หวงฝู่อี้เซวียนยืนนิ่งไม่ขยับ พูดด้วยเสียงนุ่มนวล “เหตุไฉนหัวหน้าหมู่บ้านตระกูลหมิงจำต้องรีบร้อนด้วยเล่า รอให้ครอบครัวของเจ้าพร้อมหน้าพร้อมตา แล้วค่อยส่งพวกเจ้าเดินไปด้วยกันก็ไม่สาย”
พูดจบ ก็โบกมือ และสั่ง “หนึ่งก้านธูป!”
พวกองครักษ์ลับรับคำ แล้วแยกย้ายกันออกไปรอบทิศ
ในใจของหมิงเซิ่งจู่กระวนกระวาย ลูกชายทั้งสองคนมองหน้ากัน แล้วควงดาบเล่มใหญ่บนมือบุกเข้าหาหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ขยับ พวกองครักษ์ลับรุดเข้าไปด้านหน้า ปะทะกับพวกเขา
อย่าเห็นว่าเขาแก่แล้ว มือและกายของหมิงเซิ่งจู่ยังดีอยู่ ผ่านไปนาน พวกองครักษ์ลับก็ไม่สามารถล้มเขาได้
หวงฝู่อี้เซวียนไม่รีบร้อน ยืนมองอยู่ด้านหนึ่งอย่างเงียบๆ
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป พ่อลูกทั้งสามคนก็ถูกล้มพร้อมกัน
และผ่านไปหนึ่งก้านธูปพวกองครักษ์ลับก็นำหนุ่มสาววัยรุ่นสิบกว่าคนและผู้หญิงที่อายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งเดินออกมาจากป่าลึกของหมู่บ้าน
เห็นมากันไม่น้อย หมิงเซิ่งจู่ก็ถลึงตาด้วยความโกรธ กระเสือกกระสนถาม “หวงฝู่อี้เซวียน เจ้าจะทำอะไร”
หวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เดินมาตรงหน้าเขา หยิบดาบเล่มใหญ่ของเขาที่ตกลงบนพื้น ยืดตัวตรง เดินมาที่ตรงหน้าของเด็กชายคนหนึ่ง พอยกมือขึ้น ดาบก็ฟันลงไป หัวของเด็กผู้ชายตกลงบนพื้น กลิ้งมาถึงหน้าเขา
นั่นเป็นหลานชายคนโตที่เขารักและเอ็นดูมาตลอด หมิงเซิ่งจู่ปวดใจจนแทบหมดสติ ใช้แรงดิ้นรนอย่างสุดชีวิต พร้อมคำรามเสียงแหบ “เจ้าอยากจะฆ่าก็ฆ่าข้า เรื่องที่ลอบฆ่าองค์หญิงชิงเหอไม่เกี่ยวกับพวกเขา”
“เรื่องที่ข้าทำผิดอย่างมหันต์ที่สุดก็คือ ตอนที่อยู่ซีเฉิงได้ปล่อยเหวินเอ้อร์ไป โดยไม่ได้ฆ่าล้างพวกเจ้าตั้งแต่แรก ทำให้โยวเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันนี้ข้าก็จะไม่เมตตาและใจอ่อนปล่อยคนของพวกเจ้าไปอีกแม้แต่คนเดียว” พูดถึงตรงนี้ ก็เผยร้อยยิ้มที่มืดครึ้มน่าสะพรึงกลัว ทำให้ในใจของหมิงเซิ่งจู่หวั่นไหวไปครู่หนึ่ง แล้วหวงฝู่อี้เซวียนถึงจะพูดต่อ “วางใจเถิด ข้าจะให้พวกเขาตายต่อหน้าเจ้าทีละคนๆ ให้เจ้าได้ลิ้มรสความเจ็บปวดไปถึงกระดูกเชียวล่ะ