ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 7 นาง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อคิดว่าสวีโหย่วหรงเพิ่งจะกลับมาที่จิงตูก็มาท้าประลองกับสำนักฝึกหลวงแล้ว แม้แต่วันเดียวก็ไม่ยอมให้ช้าไป ในใจของเฉินฉางเซิงก็อึมครึมขึ้นมา

ทั้งสามคนจากกระทรวงสิบสามชิงเหย้ากับสถานศึกษาหนานซี เมื่อมองเห็นเขารับจดหมายไปแล้ว ก็ขอตัวลากลับเลย

ในข่าวลือ เฉินฉางเซิงขอร้องให้ใต้เท้าสังฆราชบังคับยกเลิกสัญญาหมั้นฉบับนั้น ถึงแม้จนถึงตอนนี้จะยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่เขาก็ไม่เคยปฏิเสธมาก่อน

สำหรับสถานศึกษาหนานซีแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นการดูหมิ่นอย่างถึงที่สุด ดังนั้นศิษย์พี่หญิงผู้นั้นตั้งแต่ต้นจนจบจึงไม่ไว้หน้าเฉินฉางเซิงเลย ต่อให้ในตอนนี้เขาจะเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง กลับกัน ศิษย์น้องหญิงที่ดูอายุน้อยกว่าหน่อยผู้นั้นกลับไม่ได้แสดงท่าทีเป็นศัตรูใดๆ กับเฉินฉางเซิง ก่อนที่จะจากไปก็ยังมองเฉินฉางเซิงแล้วพยักหน้าให้ ดูเหมือนว่าจะมีอะไรจะพูด

“แม่นางน้อยผู้นั้นดูประหลาดอยู่บ้าง” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น

เฉินฉางเซิงเก็บจดหมายฉบับนั้นให้ดี แล้วถามขึ้น “ก็เป็นแม่นางน้อยที่ดูสะอาดสะอ้านดี มีอะไรที่น่าประหลาด”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด “ตั้งแต่ต้นจนจบ แม่นางน้อยผู้นั้นไม่ได้มองหน้าข้าแม้แต่ครั้งเดียว เพียงแต่มองจ้องไปทางเจ้า”

“นางชื่อเยี่ยเสี่ยวเหลียน น่าจะเป็นศิษย์ฝ่ายนอกที่เพิ่งเข้าสถานศึกษาหนานซีในปีนี้”

เฉินฉางเซิงถึงได้พูดเตือนขึ้นมา “เมื่อปีก่อนที่ถนนเสินของพระราชวังหลี เจ้าด่าทอนางต่อหน้าคนมากมายขนาดนั้น แน่นอนว่านางต้องไม่มีความรู้สึกดีใดๆ กับเจ้า”

ถังซานสือลิ่วถึงได้นึกออกว่าแม่นางน้อยที่ชื่อเยี่ยเสี่ยวเหลียนเป็นใคร จึงส่ายหน้าพูดขึ้น “เช่นนั้นแล้วอย่างไร ยิ่งเป็นเช่นนี้ นางก็ยิ่งต้องจดจำข้าได้แม่น อย่างที่เรียกกันว่าความรักซึ่งเกิดจากความแค้น…”

เฉินฉางเซิงทนฟังต่อไม่ได้ จึงหันกายเดินไปทางอาคารหลังเล็ก

ถังซานสือลิ่วตามหลังเขาไป แล้วพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยจะพอใจ “พูดไปแล้ว ทำไมตอนนั้นข้าถึงด่านาง ไม่ใช่เพราะอยากจะช่วยเจ้าหรือไร ผลกลับเป็นอย่างเมื่อครู่ได้อย่างไร นางไม่มองข้า แต่กลับมองเจ้า ทั้งยังมีท่าทีมีใจให้อีก เช่นนี้จะไม่ประหลาดได้อย่างไร”

เฉินฉางเซิงไม่ได้หันกลับไป แล้วพูดขึ้น “ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว เจ้าช่วยข้าออกความคิดหน่อย ต่อไปควรจะทำเช่นไร”

“เมื่อคืนวานไม่ใช่ว่าพูดกันเรียบร้อยแล้วหรือ สู้ก็สู้สิ”

ถังซานสือลิ่วเพิ่มความเร็วฝีเท้าขึ้น จนเดินมาถึงด้านข้างของเขา หันไปมอง แล้วพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยสงบ “เจ้าคงไม่ได้คิดจะยอมแพ้จริงๆ หรอกนะ”

เฉินฉางเซิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้า

ถังซานสือลิ่วพูดเตือนขึ้นมา “เจ็ดวันหลังจากนี้ที่ด้านบนของสะพานหน่ายเหอ เจ้าอย่าได้ลงมือไม่ลงเพราะเห็นว่านางงดงามเชียวนะ…ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยากอย่างมาก แต่เห็นท่าทีไม่รู้เรื่องรู้ราวของเจ้าเมื่อคืนนี้ ก็อาจจะยังพอเป็นไปได้”

เฉินฉางเซิงค่อนข้างไม่เข้าใจ ทำไมทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสวีซื่อจีหรือถังซานสือลิ่วล้วนมั่นใจว่าหากตนได้เห็นสวีโหย่วหรงแล้วจะต้องเปลี่ยนใจ

เมื่อก่อนเขาเคยถามถังซานสือลิ่ว คำตอบของถังซานสือลิ่วในตอนนั้นเรียบง่ายอย่างมาก วันนี้ก็ดูจริงจังขึ้นมาบ้าง

“ข้าไม่เคยเจอสวีโหย่วหรง แต่ข้าเคยเจอคนจำนวนมากที่เจอสวีโหย่วหรงแล้วผิดพลาดไปชั่วชีวิต”

เขามองเฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้น “ก็เหมือนกับกระบี่ไร้ราคีของเจ้า ขอเพียงแค่แหลมคมพอ แหลมคมจนถึงที่สุด ก็จะสามารถเข้าไปอยู่ในอันดับร้อยศาสตรา คนผู้หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ของเพียงแค่งดงามพอ งดงามจนถึงที่สุด ก็จะน่ากลัวเป็นอย่างมาก เหมือนโจวอวี้เหรินในตอนนั้น จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ในวัยสาว แล้วยังมีสวีโหย่วหรงในตอนนี้ ก็ล้วนเป็นบุคคลเช่นนี้”

เฉินฉางเซิงไร้หนทางเข้าใจในวิธีการพูดเช่นนี้

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ก็เหมือนกับภาพภาพหนึ่ง แจกันใบหนึ่ง ทะเลสาบแห่งหนึ่ง ภูเขาที่ไกลออกไปลูกหนึ่ง…เมื่อคิดจะทำลายสิ่งเหล่านี้ ตัวเจ้าก็จะรู้สึกว่านั่นเป็นความผิด”

เฉินฉางเซิงคิดดูตั้งแต่ตนจากซีหนิงมาถึงจิงตูไปจนถึงเมืองฮั่นชิว ได้เจอทิวทัศน์และผู้คน ที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลกับค่ำคืนสายฝนที่เมืองสวินหยาง เด็กสาวที่อยู่บนทุ่งหญ้ากับหวังผ้อที่อยู่กลางสายฝน ก็พอจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว

……

……

การประลองที่ทุกคนรอคอยกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกเจ็ดวันให้หลัง สายน้ำที่อยู่ใต้สะพานหน่ายเหอเมื่อได้ยินข่าวนี้ก็ราวกับว่าไหลเชี่ยวอย่างรวดเร็วขึ้นมา

ที่ตอบสนองอย่างรวดเร็วที่สุดก็ยังเป็นสี่โรงพนันใหญ่ การประลองครั้งนี้มีผลกระทบใหญ่มาก บุคคลสำคัญจำนวนมากล้วนมาชมกันถึงที่ ไม่แน่ว่าแม้แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับใต้เท้าสังฆราชก็อาจจะปรากฏตัว ถนนทางทิศตะวันออกและตะวันตกทั้งสองสายของสะพานหน่ายเหอเริ่มมีการทำความสะอาด เชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้น ถนนสองสายนี้จะได้รับการจัดวางจากราชสำนักกับพระราชวังหลี ไม่ให้สี่โรงพนันใหญ่ต้องมาตั้งศาลากัน แต่สี่โรงพนันใหญ่ไม่มีทางจะพลาดโอกาสที่จะเปิดเดิมพันกับการประลองครั้งนี้แน่

ยังมีเวลาอีกเจ็ดวัน การประลองครั้งนี้ถึงจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่ในตอนนี้ก็มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการขึ้นมาแล้ว…การต่อสู้ที่สะพานหน่ายเหอ

ดูเหมือนทุกคนจะมั่นใจว่าการประลองครั้งนี้จะต้องถูกบันทึกลงไปในประวัติศาสตร์

นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระดับความแข็งแกร่งของสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิง พรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของทั้งสองคนจะยากจินตนาการสักแค่ไหน สามารถพูดได้ว่าเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นทะลวงอเวจีขั้นสูงที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่อย่างไรเสียก็มีอายุเพียงสิบหกปี

ไม่ต้องพูดถึงว่าจะมาเทียบกับการต่อสู้ยามพระอาทิตย์ตกของโจวตู๋ฟูกับจักรพรรดิไท่จงในตอนนั้น แม้แต่การต่อสู้ในค่ำคืนกลางสายฝนที่เมืองสวินหยางเมื่อเร็วๆ นี้นั้น ก็ยังห่างไกลกันมาก

แต่แค่ทั้งสองฝ่ายที่สู้กันเป็นสวีโหย่วหรงกับเฉินฉางเซิง นี่ก็เพียงพอแล้ว

ไม่จำเป็นต้องไปพูดถึงสถานะเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้กับเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง และก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงสัญญาหมั้นฉบับนั้น และยิ่งไม่ต้องพูดถึงความขัดแย้งระหว่างตระกูลเทียนไห่กับพระราชวังหลี เพราะว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีใครลืมมาก่อน ขอเพียงแค่พูดถึงสองชื่อนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาเหล่านั้นก็ล้วนปรากฏขึ้นอีกครั้งในสมองของผู้คน ทั่วทั้งโลกจึงตื่นเต้นขึ้นมาจากเรื่องนี้

……

……

ทุกคนที่อยู่ในจิงตูล้วนรอคอยการมาถึงของการประลองครั้งนี้ ในราชสำนักกับพระราชวังหลีมีคนจำนวนมากกำลังเตรียมการสำหรับเรื่องนี้

ในฐานะผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ แน่นอนว่าเฉินฉางเซิงเองก็ต้องทำการเตรียมตัวอยู่บ้าง ถึงแม้เขาจะเคยประมือกับผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวมามาก กระทั่งในเมืองสวินหยางก็ยังเคยประมือกับผู้แข็งแกร่งอย่างเหลียงหวังซุนกับฮว่าเจี่ยเซียวจางที่อยู่ในระดับนี้ คู่ต่อสู้ของเขาอย่างสวีโหย่วหรงเพิ่งจะอยู่ในขั้นทะลวงอเวจีขั้นสูง แต่เขาไม่มีทางประมาทใดๆ กับเรื่องนี้เป็นอันขาด เขามั่นใจเป็นอย่างมาก สวีโหย่วหรงนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรในขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้นเหล่านั้นที่เคยพ่ายแพ้ให้กับเขามากนัก

คิดจะเอาชนะสวีโหย่วหรงผู้เป็นอัจฉริยะเช่นนี้ ต้องชนะก่อนที่อีกฝ่ายจะใช้พรสวรรค์ของสายเลือดหงส์สวรรค์ แน่นอนว่าเขาได้เตรียมกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเอาไว้แล้ว

ตั้งแต่ที่วันประลองได้ถูกกำหนดเป็นต้นมา เขาก็ใช้กระบี่ ซึ่งก็คือเพลงกระบี่รอบรู้…ภายใต้การช่วยเหลือของพระราชวังหลีกับตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย เขาได้รับเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสวีโหย่วหรงเป็นจำนวนมาก เขานั่งตรงหน้าต่างแล้วเริ่มอ่านและพิจารณาอย่างจริงจัง โดยหมายที่จะค้นหาข้อมูลที่ตนต้องการจากในนั้น ให้ได้ข้อมูลที่มากเพียงพอ อาศัยตรงนั้นช่วยเหลือตนในการอนุมานออกมาว่าเพลงกระบี่นี้ควรจะใช้ลงมือเช่นไร

อันดับแรกเขาต้องเข้าใจวิชาของสถานศึกษาหนานซี ประวัติศาสตร์ของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่นิกายหลวงแบ่งแยกเหนือใต้ไปแล้ว ทางด้านวิชาแบ่งกันอย่างไรไปจนถึงผลสำเร็จของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ทำความเข้าใจแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ในรุ่นต่างๆ เพื่อการนี้ทางพระราชวังหลีได้ส่งหนังสือมาให้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน กระทั่งยังส่งบันทึกที่เกี่ยวข้องกับสวีโหย่วหรงที่ทำการวิเคราะห์แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ในช่วงสองปีมานี้อีกเล่มหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็เริ่มทำความเข้าใจกับจวนขุนพลเทพตงอวี้ วิถีการนำทัพที่สวีซื่อจีเคยชิน นิสัยของฮูหยินสวี การใช้ชีวิตของสาวใช้ใหญ่ที่ชื่อซวงเอ๋อร์ผู้นั้นก่อนเข้าจวนสวี และถูกสวีโหย่วหรงพาเข้าจวนได้อย่างไร หลังจากที่สามารถเข้าใจข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างถ่องแท้แล้ว เขาถึงจะเริ่มต้นจุดที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือการทำความเข้าใจสวีโหย่วหรงผู้นี้

เอกสารที่เกี่ยวข้องกับสวีโหย่วหรงมีมหาศาลเป็นอย่างมาก นอกจากทางพระราชวังหลี ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยก็ส่งมาถึงสองลัง แต่ถ้าหากตัดเนื้อหาการต่อสู้ที่ทั่วทั้งโลกล้วนรู้กันนั้นออกไป เอกสารที่ใช้ประโยชน์ได้จริงก็มีน้อยมาก และส่วนใหญ่ก็เป็นข่าวลือสมัยที่นางอยู่ในจิงตูในตอนแรกพวกนั้น หลังจากที่นางไปยังเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ก็ไม่มีบันทึกสักเท่าไหร่

ยิ่งเฉินฉางเซิงได้อ่าน ก็ยิ่งไม่อาจจะเข้าใจสวีโหย่วหรง

นี่ไม่ได้พูดว่าสวีโหย่วหรงนั้นเป็นเด็กสาวที่ลึกลับเป็นอย่างมาก

อันที่จริงแล้ว สมัยก่อนตอนที่นางยังเล็ก ชาวเมืองจิงตูล้วนเคยเห็นนางมากับตา

ผู้คนเคยเห็นนางกระโดดจากบนสะพานหินลงไปในคลอง หลังจากที่ช่วยนางขึ้นมา ทุกคนถามนางว่าทำไมถึงกระโดดลงไป นางพูดว่าเพราะในน้ำมีพระจันทร์

ผู้คนเคยเห็นนางตอนที่ไปเที่ยวที่สะพานอุดรใหม่กำลังจะกระโดดลงไปในบ่อน้ำร้างนั่น ยังดีที่ถูกคนห้ามเอาไว้ทัน ทุกคนถามนางว่าทำไม นางพูดว่าในบ่อน้ำมีมังกรอยู่

มีคนเก่าคนแก่มากมายในจิงตู จนถึงตอนนี้ยังไม่ลืมภาพที่มักจะเกิดขึ้นด้านหน้าพระราชวังหลีเมื่อสิบกว่าปีก่อน

สวีโหย่วหรงที่ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อยมักจะปีนขึ้นไปบนเสาหินของพระราชวังหลีเพื่อไปดูพระอาทิตย์ แล้วยิ้มแย้มอย่างมีความสุข เหล่านักบวชของพระราชวังหลีอยู่ที่ด้านล่างทั้งโกรธทั้งร้อนรน แต่กลับไม่กล้าทำอะไร แม้แต่เสียงที่ใช้เรียกนางลงมาก็ยังอ่อนโยนถึงขนาดนั้น

ตั้งแต่ที่เกิดก็ถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับใต้เท้าสังฆราชตัดสินว่าในร่างมีสายเลือดของหงส์สวรรค์ จึงกลายมาเป็นสมบัติที่ทั้งจิงตูไปจนถึงทั่วทั้งต้าโจวต้องทะนุถนอม อย่าว่าแต่ปีนไปบนเสาหินอันศักดิ์สิทธิ์ของพระราชวังหลีเลย แม้แต่องค์หญิงผิงกั๋วที่อยู่ในพระราชวังซึ่งอายุมากกว่านางหลายปีมักจะถูกทุบตีจนหน้าตาบวมปูด จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่สนใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักบวชของพระราชวังหลีเหล่านี้เลย

สรุปแล้ว สวีโหย่วหรงในสมัยเด็ก ก็เป็นลูกลิงที่ซุกซนนิสัยเสีย เป็นเหมือนเด็กผู้ชายที่กำเริบเสิบสาน ไม่มีผู้ใดนึกภาพออก ว่านางจะเปลี่ยนมาเป็นดังเช่นในตอนนี้

ก็เป็นตอนที่นางอายุห้าขวบ สายเลือดหงส์สวรรค์ของนางได้ตื่นขึ้นมา

เรื่องนี้นั้นเกิดขึ้นก่อนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับใต้เท้าสังฆราชคาดการณ์เอาไว้ถึงสองปี

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา สวีโหย่วหรงก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน กระโปรงสีขาวก็ไม่มีฝุ่นเปื้อนอีกแล้ว เหลือเพียงความสงบและงดงาม

นิสัยของนางก็เปลี่ยนเป็นสงบและงดงามขึ้นมา ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องอะไร ก็ล้วนสงบสุขุมอยู่เช่นนั้น

นางเองก็ไม่ได้พูดคำพูดเหลวไหลอย่างในน้ำคลองมีพระจันทร์ ในบ่อร้างมีมังกรอีกแล้ว และก็ไม่เคยสร้างความวุ่นวายอีก

นางเริ่มที่จะอ่านหนังสือและบำเพ็ญเพียรอย่างสงบ และนางยังเด็กถึงเพียงนั้น

ในตอนนั้น ชาวเมืองจิงตูยังสามารถได้เห็นภาพตอนที่นางเข้าไปในพระราชวัง ราวกับว่าได้เห็นเทพธิดาตัวน้อยจริงๆ

ความเคารพรักของจิงตูที่มีต่อนางอย่างบ้าคลั่ง ก็น่าจะเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น

……

……

อ่านเอกสารดู นึกถึงภาพเหล่านั้น เฉินฉางเซิงก็เหม่อลอยไปบ้าง

ที่แท้ ตอนยังเด็กนางก็เป็นคนเช่นนั้น

เพียงแต่ทำไมในตอนนั้นที่ส่งจดหมายกัน ถึงไม่ได้รู้สึกถึงจุดนี้ และก็ไม่รู้สึกถึงความชื่นชมของชาวเมืองจิงตูในท่อนสุดท้ายนั่น

มองดูแมลงปอไม้ไผ่ที่อยู่บนชั้นหนังสือ เขาค่อนข้างจะไม่เข้าใจ

หลังจากที่ออกจากซีหนิงจนมาถึงจิงตูแล้วก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย เขาไม่อาจจะเหลือความรู้สึกดีใดๆ ต่อสวีโหย่วหรง ความคิดที่คลับคล้ายคลับคลาเหล่านั้นก็หายสาบสูญไปจนสิ้นตั้งนานแล้ว อีกทั้งในตอนนี้พวกเขายังเป็นศัตรูกัน แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่ยอมรับไม่ได้ว่าสวีโหย่วหรงนั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก พระจันทร์ที่อยู่ในคลองเรื่องนั้นเขาไม่เข้าใจ แต่เขาชัดเจนยิ่งกว่าใครทั้งนั้น ว่าที่ใต้บ่อร้างตรงสะพานอุดรใหม่…มีมังกรอยู่จริงๆ และในตอนนั้นนางเพิ่งจะอายุยังไม่ถึงห้าขวบ?