จะหนีตามกันไป? ต้องพกอีกคนไปด้วยนะ! (4)

ภายในเรือนของฉู่หลิงอวิ้นตอนนี้ถือว่าว่างเปล่าโดยแท้ เหลือเพียงยายเฒ่าสองคนในห้องเล็กๆ ที่กำลังกรอกเหล้าเหลืองกันอย่างครึ้มอกครึ้มใจ

ฉู่สวินหยางเมียงมองอยู่ข้างกำแพงเป็นนาน ตอนนี้เพิ่งจะโผล่ศีรษะขึ้นมาอย่างไร้กังวล กระโดดขึ้นไปนั่งบนกำแพงอย่างเปิดเผย ก่อนจะเริ่มบิดขี้เกียจ บ่นพึมพำว่า “เรื่องถ้ำมองพรรค์นี้ไม่ใช่งานที่สบายเอาเสียเลย”

เหยียนหลิงจวินจนปัญญา โอบเอวนางพาลงมาจากบนกำแพง องค์เอวของดรุณีน้อยทั้งบางและนิ่ม พอได้สัมผัสเข้าพลันให้ไม่อยากจะปล่อยมือ สองคนลอยตัวลงพื้น หัวใจของเหยียนหลิงจวินสั่นไหว ภายในต่อสู้กันอย่างหนัก สุดท้ายก็ไม่อาจตัดใจถอนมือออกมา

ฉู่สวินหยางมีแต่เรื่องของฉู่หลิงอวิ้นอัดแน่นเต็มสมอง ทันทีที่เท้าแตะพื้นก็ผละกายจะตามอิ้งจื่อไป แต่พอก้าวขาได้หนึ่งเท้าจึงค้นพบว่าตัวเองยังไม่เป็นอิสระ

นางชะงักกึก เงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ

มือของเหยียนหลิงจวินทาบอยู่บนหลังเอวของนาง ก่อนจะผลักนางส่งไปด้านหลังเบาๆ ให้ซ่อนกายใต้เงามืดของกำแพงด้านหลัง สายตาของเขามองมา กดหน้าลงเล็กน้อย หน้าผากติดอยู่ที่ศีรษะของนาง น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยคล้ายจะปรึกษาว่า “หรือว่า…พวกเราจะไม่ตามไปดี!”

ฉู่สวินหยางถูกเขากักตัวเอาไว้แล้ว

น้ำเสียงนุ่มเบาแฝงขบขันฟังแล้วยากจะเข้าใจ ลมหายใจร้อนผ่าวเหมือนจะขับไล่ความหนาวเหน็บที่ปกคลุมลงมาพร้อมกับฟ้ายามราตรี มันนุ่มละมุนเสียจนทำให้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหล

หัวใจของฉู่สวินหยางพลันสั่นเคว้ง สัญชาตญาณสั่งให้ผลักเขาออก แต่ความรู้สึกกลับบอกว่าการขัดขืนจะไม่ส่งผลใดๆ สมองหมุนแล่นเร็วจี๋ก่อนจะหลุดปากออกมาว่า

“อ่อ!” หนึ่งคำที่ตอบได้อย่างเลอะเลือนและเบาหวิว เหยียนหลิงจวินยังแอบนึกยินดีอยู่ในใจ ทว่ากลับได้ยินนางเปลี่ยนไปพูดอีกเรื่องอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงไม่สะทกสะท้านว่า “งั้นข้ากลับไปที่งานเลี้ยงแล้วกัน!”

นางจะแกล้งมึนงงไม่เข้าใจ เหยียนหลิงจวินก็ได้แต่ตามใจนาง

“หึ…” เสียงหัวเราะจำใจ เหยียนหลิงจวินค่อยยืดตัวตรง สายตาตกอยู่ที่ใบหน้าสับสนของนางครู่หนึ่งจากนั้นก็ค่อยถอนมือออกจากเอวนาง

สีหน้าของฉู่สวินหยางยังเป็นดั่งเก่า ในใจพลันถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ตอนที่เขาดึงแขนออกไปเป็นเวลาเดียวกับที่นิ้วก้อยถูกเกี่ยวเบาๆ จากนั้นนิ้วน้อยของมือซ้ายที่ทิ้งตัวอยู่ข้างกายก็ถูกยึดไว้มั่น

เขาหมุนตัวด้วยความลื่นไหลสง่างาม ฉู่สวินหยางยังไม่ทันตั้งตัว ฝีเท้าจึงซวนเซไปหมด

เหยียนหลิงจวินไม่ได้หันมามอง ก้าวขาออกไปค่อนข้างจะรีบร้อน

ฉู่สวินหยางที่ถูกเขาเกี่ยวนิ้วเอาไว้ก็ต้องสับเท้าเร็วตามไปด้วย ปลายจมูกค่อยๆ ผุดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ให้เห็น ดวงหน้าบอกบุญไม่รับแต่ก็ไม่ปริปากบ่นกระไร

นางไม่ใช่คนที่จะยอมจำนนกับสถานการณ์เลวร้ายและหาใช่คนที่ปฏิเสธไม่เป็น แต่น่าแปลกใจเหลือเกิน ทุกๆ ครั้งที่ใกล้ชิดกับเขา หัวใจของนางกลับไม่เคยคิดผลักไส ทั้งนางยังเป็นคนสบายๆ จึงคิดว่าการยื้อยุดด้วยเหนียมอายออกจะเสแสร้งไม่จริงใจเท่าไรนัก

และอะไรๆ แบบนั้นนางก็ทำไม่เป็น

สองคนพลิกตัวข้ามกำแพงมาหยุดที่ตรอกด้านหลัง เหยียนหลิงจวินงอนิ้วเป่าปากเป็นเสียงจึงได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับ อาชาดำตัวใหญ่ที่กลืนหายไปกับสีฟ้ายามดึกพุ่งตัวออกมาราวกับสายฟ้า

ฉู่สวินหยางสะดุ้งตกใจ คิดว่าคนผู้นี้บ้าไปแล้วกระมัง แค่ตามคนยังต้องอลังการถึงเพียงนี้?

ตอนที่ม้าตัวนั้นวิ่งมาอยู่เบื้องหน้านางก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดความเร็วลง แขนข้างหนึ่งของเหยียนหลิงจวินคว้าตัวฉู่สวินหยาง อีกข้างหนึ่งเกี่ยวกับบังเหียนแล้วพลิกตัวขึ้นหลังมันทันที

กำลังเท้าของอาชาน่าอัศจรรย์ใจสมกับม้าหนุ่มสูงค่าหายาก ฉู่สวินหยางได้ยินเพียงเสียงลมที่หวีดหวิวอยู่ข้างหู แค่พริบตาก็วิ่งออกมาไกลได้สิบกว่าจั้งแล้ว

ยายเฒ่าที่เฝ้าประตูอยู่ด้านในได้ยินเสียงจึงผลักประตูออกมาดู เห็นว่าถนนด้านนอกว่างเปล่าโล่งแจ้ง แม้แต่ครึ่งเงาคนก็ไม่มี ครั้นแล้วก็งับประตูปัง งีบหลับต่อไป

เหยียนหลิงจวินขึ้นมาได้ก็ดึงผ้าคลุมผืนใหญ่ซึ่งวางเตรียมเอาไว้บนหลังม้ามาห่มร่างคนทั้งสอง  ฉู่สวินหยางตกอยู่ในอ้อมแขนเขา มีเพียงใบหน้าน้อยเท่าฝ่ามือที่โผล่ออกมา ทั้งคู่มุ่งหน้าไปทางจวนสกุลซู

ขณะนี้เจ้าสาวผ่านเข้าจวนไปแล้ว เมื่อเสร็จสิ้นพิธีก็จะถูกส่งเข้าเรือนหอ ซูหลินนั้นถูกกระชากลากถูออกไปสังสรรค์ที่งานด้านหน้า

ภายในเรือนหอ ญาติพี่น้องสตรีเขามาหยอกล้อนางไปรอบหนึ่ง ต่างรู้กันอยู่ว่าฉู่หลิงอวิ้นเป็นคนเย่อหยิ่ง ไม่รอให้นางตอบรับก็เล่นสนุกพอเป็นพิธีแล้วขอตัวกลับอย่างรู้ความ

เหล่าสี่เหนียงยังต้องรอให้เจ้าบ่าวมาถอดผ้าคลุมหน้าพร้อมกับคล้องแขนดื่มสุราให้เรียบร้อยแล้วถึงจะจากไปได้ คนสิบหกคนแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ยืนรอโดยไม่ปริปาก พลันได้ยินเสียงเย็นชาดังมาจากเจ้าสาวที่นั่งหลังตรงอยู่บนเตียง ว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน!”

เหล่าสี่เหนียงตะลึง ยังคิดว่าตัวเองหูแว่วไปหรือเปล่า

จื่อเหวยทำสีหน้าลำบากใจ “ท่านหญิง เช่นนี้ผิดจารีตเจ้าค่ะ!”

“พวกเจ้าก็ออกไปด้วย!” น้ำเสียงใต้ผ้าปิดหน้าฟังไม่สบอารมณ์ ความหงุดหงิดพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ “ออกไปให้หมด!”

จื่อเหวยตะลึงงัน ลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของนาง ส่งสายตาบอกเหล่าสี่เหนี่ยงให้ออกไป ที่ระเบียงประตูทางเข้าทุกคนเอาแต่มองหน้ากันไปมา

จื่อเหวยปรึกษากับจื่อซวี่เบาๆ แล้วเสนอว่า “พวกเจ้าไปพักที่เรือนข้างๆ ก่อนดีไหม กว่างานเลี้ยงด้านหน้าจะเลิกอย่างน้อยก็ต้องมีถึงสองชั่วยาม ที่นี่มีข้ากับจื่อซวี่คอยเฝ้าไว้ มีเรื่องอะไรค่อยเรียกพวกเจ้า”

พวกสี่เหนียงยืนมาตั้งแต่เช้ายันเย็น หลังแข็งเมื่อยขบไปหมด หลังหันหน้าคุยกันก็ตอบตกลง อย่างไรเสียก็อยู่ในจวน คงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้

เดินไปส่งเหล่าสี่เหนียงแล้ว จื่อเหวยก็ส่งสายตาให้จื่อซวี่ จากนั้นก็หมุนกายกลับเข้าเรือนไป

ฉู่หลิงอวิ้นดึงผ้าคลุมหน้าออกไปแล้ว ตอนนี้กำลังพยายามปลดมาลาหงส์ออก

จื่อเวยไม่พูดมาก รีบเข้าไปช่วยแกะมาลาหงส์และถอดชุดแต่งงานแสนซับซ้อนซึ่งอยู่บนตัวของนางออก จากนั้นก็ไปรื้อหีบสินเดิมของเจ้าสาว หยิบเอาเสื้อผ้าสะอาดสีเรียบออกมาเปลี่ยนให้นาง

สองคนจัดการได้ว่องไว พอเสร็จเรื่องเหล่านี้ ฟ้าด้านนอกก็เปลี่ยนเป็นสีดำไปหมด

ฉู่หลิงอวิ้นเดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง เอ่ยอย่างร้อนใจว่า “ไปดูหน่อยสิ ทำไมคนยังส่งมาไม่ถึงอีก อย่ามาสร้างปัญหาอะไรให้ข้านะ!”

“เจ้าค่ะ ท่านหญิง!” จื่อเหวยรับคำ ทันทีที่หมุนตัวพลันเห็นว่าหน้าต่างกระดาษด้านหลังสะท้อนเงาดำของคนหลายคน พร้อมกับเสียงเคาะซี่ลูกกรงเบาๆ สามครั้ง

จื่อเหวยดีใจ รีบพุ่งเข้าไปเปิดหน้าต่าง คนชุดดำสามคนปีนเข้ามา วางม้วนพรมที่หนีบมาลงบนพื้น

ฉู่หลิงอวิ้นมองทีหนึ่ง แสงเทียนแดงสดสาดกระทบดวงหน้าที่ตกแต่งอย่างประณีต เห็นเป็นรอยยิ้มเย็นน่าแปลกประหลาด

พอจื่อซวี่ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวก็เปิดประตูพุ่งเข้ามา เอ่ยเสียงเครียด “ท่านหญิง!”

ฉู่หลิงอวิ้นจ้องคนชุดดำ สั่งว่า “เปิดออก!”

“ขอรับ!” คนชุดดำก้าวออกมา สะบัดพรมให้เปิดออกด้วยความกักขฬะ ฉู่หลิงซิ่วที่นอนไม่ได้สติอยู่ภายในกลิ้งหลุนๆ ออกมา

สายตาของฉู่หลิงอวิ้นกวาดไปทางใบหน้าของสาวใช้ทั้งสองคน เอ่ยเสียงน่ากลัวว่า “รู้ใช่ไหมว่าต้องทำอย่างไร?”

“เจ้าค่ะ!” สองคนพากันพยักหน้างึกงัก “ท่านหญิงวางใจได้!”

ฉู่หลิงอวิ้นกระตุกริมฝีปาก เหลือบตาลงมองฉู่หลิงซิ่วที่นอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น กระซิบว่า “อย่าหาว่าข้าผู้เป็นพี่ไม่ดูแลเจ้า ตอนนี้เป็นชายาของซื่อจื่อฉางซุ่น วันข้างหน้ายังได้เป็นชายาของท่านอ๋อง อนาคตรุ่งโรจน์วางอยู่เบื้องหน้า อยู่ที่เจ้าแล้วล่ะว่าจะมีความสามารถคว้ามันมาได้หรือไม่”

จื่อเหวยได้ฟัง อดจะหนาวเหน็บในใจไม่ได้แต่ทำได้เพียงแค่ยิ้มขื่น…

ฉู่หลิงอวิ้นทำเช่นนี้ หากต่อไปอุบายตัวตายตัวแทนของนางถูกเปิดโปง ฉู่หลิงซิ่วยังจะได้ดีอยู่หรือ? จวนอ๋องทั้งสองฝ่ายจะยอมละเว้นนางหรือ? เกรงว่าจะมีเพียงโทษตายสถานเดียวเหลือให้เท่านั้น!

เป้าหมายของนางลุล่วง แต่กลัวว่าหากชักช้าคงไม่เข้าทีจึงโยนทิ้งซึ่งความลังเล พยักหน้าส่งให้คนชุดดำ “พวกเราไป ในจวนทางนั้นยังมีละครฉากใหญ่ให้เล่นอีก!”

ร่างชุดดำหนึ่งร่างปีนหน้าต่างออกไปก่อนเพื่อรับตัวนาง อีกสองคนตามติดมาด้านหลัง ทั้งสี่เคลื่อนตัวไปทางจุดซึ่งเปลี่ยวร้างที่สุดทางตะวันออกของจวนสกุลซู

ภายในห้อง สาวใช้ทั้งสองต่างไม่อิดออด เปลี่ยนชุดให้กับฉู่หลิงซิ่วอย่างไวว่อง จัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยหมดจด

พวกฉู่หลิงอวิ้นวิ่งไปถึงใต้กำแพงด้านที่ร้างผู้คน คนชุดดำเอ่ยกับนางว่า “ล่วงเกินแล้ว” จากนั้นก็อุ้มนางพลิกตัวข้ามกำแพงไป ฉู่หลิงอวิ้นหันศีรษะกลับมาตอนที่ร่างของตนลอยอยู่กลางอากาศ มองลานเรือนห่างไกลที่จุดไฟสว่างไสวพลางแสยะยิ้ม…

ใครบอกว่านางจะยอมแต่งให้ซูหลิน? ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางไม่เต็มใจทำ ใครก็ไม่อาจบังคับนางได้!

คนชุดดำกระโดดลงบนพื้น ยกมือชี้นิ้วไปทางตรอกที่อยู่ขวามือ เอ่ยว่า “รถม้าจอดอยู่ตรงนั้น เชิญท่านหญิงตามข้ามา!”

“อืม!” ฉู่หลิงอวิ้นพยักหน้า ยกเท้าจะออกเดิน พลันเห็นเงาวูบไหวปรากฏอยู่เบื้องหน้า เหมือนมนุษย์ไร้เลือดในชุดกระโปรงโผล่ขึ้นกลางอากาศก่อนจะลอยลงมาบนพื้น

ยามสนธยาไร้คน หรือว่าจะเป็นผี?

ฉู่หลิงอวิ้นตกใจจนหน้าซีด เท้าร่นถอยทันควัน

สามคนชุดดำรีบปรี่ไปขวางหน้า ยังไม่ทันจะจัดท่าวางมาด ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากด้านบนศีรษะ

“พี่หญิงอันเล่อ!” ฉู่สวินหยางกระโดดลงมาจากบนกำแพงอย่างมั่นคง สาวเท้ามาหยุดเบื้องหน้าพร้อมรอยยิ้มบริสุทธิ์ “วันมหามงคลเช่นนี้ ต่อให้อยากจะหนี อย่างน้อยก็ต้องมีเพื่อนไปด้วยสักคนสิ! หรือว่าเจ้าตระเตรียมไม่ทัน ให้ข้าช่วยหาคนมาแก้ขัดก่อนดีไหม?”

————————————————————————