ตอนที่ 349 ซิงซิงตั้งครรภ์

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“พรวด!” น้ำค้างสาลี่หิมะที่ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะกลืนลงไปคำหนึ่งพุ่งเข้าใส่ใบหน้าชราอย่างเต็มที่

 

 

ท้องกับผีหรือยังไง!

 

 

นางยังไม่เคยหลับนอนกับบุรุษ จะท้องได้อย่างไร?

 

 

จะให้ท้องกับตัวเองหรือ?

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างก็อ้าปากกว้างขึ้นมา ราวกับจะยัดไข่ไก่ลงไปได้ทั้งใบ!

 

 

พระทัยของฮ่องเต้เหมือนถูกเข็มทิ่มแทง ผ่านไปแล้วพักใหญ่ก็ยังไม่ได้พระสติกลับมา!

 

 

ซิงซิงท้อง? ใครทำกัน?

 

 

จีเฉวียนสาดพระเนตรเย็นชาไปที่ซูเม่ย เนื่องเพราะช่วงนี้ซูเม่ยขยันมาตำหนักเฟิ่งหมิงอยู่เสมอ แทบจะอยากจะทำตัวติดกับซิงซิงอยู่ตลอดเวลา เขาน่าสงสัยที่สุดแล้ว

 

 

อีกทั้งคนผู้นี้ยังเป็นตัวปีศาจยั่วยวน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะใช่เล่ห์กลอะไร ไปล่อลวงซิงซิง

 

 

เกรงว่าซิงซิงเองคงจะไม่ทันได้รู้เรื่องอะไร ก็ถูกเขา….

 

 

ฝ่าบาทกำพระหัตถ์แน่น พยายามระงับความต้องการที่จะฆ่าคนในตอนนี้เอาไว้ก่อน

 

 

ซูเม่ยเองก็กำหมัดแน่นเช่นกัน ในใจของเขาพุ่งเป้าไปว่านี่จะต้องเป็นการกระทำของฮ่องเต้ เขาลอบกัดฟันขบเขี้ยว คิดจะฆ่าคนอยู่เช่นกัน

 

 

ตู๋กูจุนกระชับดาบเล่มใหญ่ของเขาขึ้นมาแล้ว หากมิใช่เพราะว่าตู๋กูเจวี๋ยพยายามห้ามเอาไว้อย่างสุดชีวิต เกรงว่าดาบเล่มใหญ่นี้คงจะบั่นพระเศียรของฮ่องเต้สุนัขลงมาแล้ว

 

 

องค์หญิงใหญ่และหยวนเฟยต่างก็คิดจะหลบออกไปจากที่นี่

 

 

พวกนางไม่ทันระวังตัวจึงบังเอิญได้มารับรู้ความลับอันยิ่งใหญ่ …..หากว่ายังไม่ระมัดระวังอีกเกรงว่าอาจทำให้สมองต้องย้ายบ้านไปด้วย

 

 

แต่ว่าซุนเอ๋อร์กลับติดตามเหตุการณ์อย่างไม่ลดละ ทั้งยังเข้ามาจับมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ด้วยความสนอกสนใจ “ท่านย่าน้อย เห็นไหมว่าซุนเอ๋อร์พูดไว้ไม่ผิดเลย ท่านกำลังจะมีทารกแล้วจริงๆ! เช่นนี้ก็หมายความว่าซุนเอ๋อร์ก็จะได้มีน้องชายหรือว่าน้องสาวแล้วใช่ไหมเพคะ?”

 

 

สมองของตู๋กูซิงหลันว่าตามอย่างมึนงง “จะเป็นเสด็จอาชายหรือว่าเสด็จอาหญิงกันนะ”

 

 

พูดแล้วนางก็อยากจะตบหน้าตนเองสักครั้ง ท้องบ้าท้องบออะไรกัน นางเป็นอะไรไปแล้วถึงไปต่อคำกับเด็กสาวตัวน้อย?

 

 

พอนางพูดประโยคนั้นออกไป ผู้คนทั้งหลายได้ฟังแล้วต่างก็คิดว่ายังไม่ทันบีบคั้นก็สารภาพออกมาด้วยตนเองเสียแล้ว

 

 

เหล่าย่วนยิ่งยิ้มกว้างเกลื่อนใบหน้าเ**่ยวๆ “ฝ่าบาททรงมีเรื่องมงคลต่อเนื่องจริงๆ หวงกุ้ยเฟยใกล้จะทรงมีพระประสูติกาล พระสนมก็ทรงพระครรภ์ขึ้นมา กระหม่อมขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอถวายพระพรฝ่าบาท”

 

 

เขาอายุมากถึงปานนี้แล้ว มือไม่นิ่งแล้ว วิชาแพทย์ก็แทบจะคืนไปหมดแล้ว

 

 

เหล่าตัวแสบในสำนักแพทย์หลวงต่างก็บอกกับเขาว่า วันนี้ต้องมาจับชีพจรถวายพระสนมที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานมากที่สุด พวกตนเกรงว่าจะศึกษาวิชาแพทย์มาไม่แตกฉานพอ เกิดมองไม่ออกว่าเป็นอะไรอาจทำให้ไปกระตุ้นพระพิโรธของฝ่าบาทเข้า

 

 

จึงได้แต่ต้องให้ผู้เฒ่ากระดูกผุเช่นเขาขึ้นเวทีด้วยด้วยตนเอง

 

 

โอ้ย… ตลอดทางมานี้เขาตื่นเต้นแทบตายแล้ว ตาก็ลายจนมึนงงไปหมด ขนาดว่าคนที่ข้างหน้าก็ยังเห็นหน้าไม่ชัด

 

 

ตอนที่จับชีพจรให้พระสนมผู้นั้น ก็รู้สึกว่าชีพจรลื่นไหลเป็นพิเศษ จะต้องเป็นเพราะว่าตั้งครรภ์เป็นแน่

 

 

พระสนมตั้งครรภ์ แล้วเขาก็เป็นผู้ตรวจเจอ หมอชรารู้สึกว่าวันนี้ตนช่างมีโชคดีไม่ธรรมดาจริงๆ

 

 

โดยมากหมอหลวงที่ตรวจพบว่าพระสนมตั้งครรภ์ ล้วนได้รับรางวัลจากฝ่าบาทอย่างงาม

 

 

เขาที่อายุปูนนี้ก็ไม่คิดขอสิ่งอื่นใดอีกแล้ว ขอเพียงได้อยู่อย่างสุขสบายในวังก็พอ

 

 

เหล่าย่วนกล่าวเพียงประโยคเดียว กลับทำให้ฝ่าบาททรงพระพักตร์ดำมืดกว่าเดิม

 

 

“เจ้าแน่ใจหรือว่าตั้งครรภ์จริงๆ?” จีเฉวียนนั่งอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน ดวงเนตรมีแต่เส้นเลือดสีแดง

 

 

“กระหม่อมศึกษาวิชาแพทย์มาหลายสิบปี ไม่เคยจับชีพจรผิดมาก่อนพะยะค่ะ” เหล่าย่วนกราบทูลออกไปอย่างมั่นใจ

 

 

ตู๋กูซิงหลันถูกคำพูดของเขาทำร้ายจนปางตายแล้ว นางพิงลงไปบนเบาะอ่อน นางกำลังคิดว่าเหล่าย่วนอาจจะถูกลูกสะใภ้น้อยๆ คนใดซื้อตัวไว้หรือไม่ ถึงได้จงใจหาเรื่องให้นางเช่นนี้

 

 

แล้วดูเจ้าลูกชายสุนัขของนางสิ….เกรงว่าป่านนี้ในใจคงคิดจะสับนางให้กลายเป็นเนื้อบดแล้วเอาไปเลี้ยงสุนัขแล้วกระมัง

 

 

“น้องเล็ก เป็นไอ้ชาติสุนัขตัวใดกัน?” ตู๋กูจุนเดินมาที่ข้างกายนาง ดาบใหญ่ในมือขยับครั้งหนึ่งก็ปักลงไปที่ข้างพระวรกายจีเฉวียน

 

 

น้องเล็กตั้งครรภ์เสียแล้ว คงจะต้องเป็นเพราะถูกจีเฉวียนบังคับเป็นแน่ ไอ้บุรุษที่ชอบปล้นชิงตามไฟ [1] ผู้นี้ หากไม่เอาชีวิตมันอย่างน้อยๆ ก็ต้องถลกหนังออกมา!

 

 

“อย่าไปกลัว พวกพี่อยู่นี่ จะต้องจัดการระบายโทสะให้เจ้าอย่างแน่นอน”

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยเองก็พยักหน้า “เชือดเนื้อ ตัดหัว เจ้าบอกมาเลยว่าจะให้จัดการเจ้าบุรุษสุนัขนั่นเช่นไร?”

 

 

ในเมื่อมีพี่ใหญ่คอยหนุนหลังอยู่ข้างๆ เขาก็มีความกล้าขึ้นมาในทันที

 

 

จีเฉวียนกล้าบังคับหักหาญน้องเล็ก นี่ไม่เท่ากับว่าบีบให้พวกเขาก่อกบฏหรอกหรือ?

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “….” พูดเสียอย่างกับว่านางกำลังท้องขึ้นมาจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น

 

 

นางอ้าปากขึ้นมา กำลังจะอธิบายออกไป ก็เห็นฮ่องเต้ทรงกำพระหัตถ์ของพระองค์เอาไว้อย่างแนบแน่น ตรัสท่ามกลางผู้คนว่า “เป็นเราเอง”

 

 

ผู้คน “……”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “???!!!”

 

 

วิญญาณทมิฬ “ชิบหายแล้ว! พวกเจ้าได้เสียกันตั้งแต่เมื่อไหร่? นี่ข้าถึงกับความจำเสื่อมไปหรือเปล่า? หรือว่าพวกเจ้าตบข้าจนสลบไปแล้วค่อยเล่นจ้ำจี้กัน?”

 

 

มันกล้าสาบานเลยนะว่า ตนเองไม่รู้สึกระแคะระคายอะไรเลย

 

 

หลันหลันเปิดกว้างเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

บอกนอนก็นอนกันเลย? นอนกันแล้ว? แถมยังนอนจนได้ลูกมาคนหนึ่ง?

 

 

แล้ว….ผู้เฒ่าซื่อมั่วนั่นจะทำอย่างไร?

 

 

“ฝ่าบาท…..พระองค์ทรงทำไปแล้ว แถมยังสำเร็จในครั้งเดียว?” หยวนเฟยมีหรือจะไม่กลัวตาย นางค่อยๆ ยื่นศีรษะออกมาจากในหมู่คนด้านข้าง ถามเบาๆ ด้วยความระมัดระวัง

 

 

องค์หญิงใหญ่รีบกระตุกเสื้อของนาง ดึงนางถอยออกมาด้านหลัง กลัวตายแล้วยังจะพูดมาก ก็คือคนอย่างหยวนเฟยนั่นเอง

 

 

ซูเม่ยหน้าเขียวคล้ำ น้ำตาหยดแหมะๆ “ฝ่าบาท พระองค์ช่างเป็นบุรุษไร้น้ำใจ หม่อมฉันอุ้มครรภ์ท้องโตเพียงนี้ พระองค์ก็ยัง….กระทั่งพระมารดาของตนเองก็ยังไม่ยอมวางมือ พระองค์ทรงทำให้หม่อมฉันต้องอับอาย และยังทำให้ไทเฮาต้องอับอายอีกด้วย?”

 

 

“หม่อมฉันทำกรรมอันใดเอาไวกัน ถึงได้ต้องมาเจอกับ….บุรุษ….เสเพล มิสู้ให้หม่อฉันกับบุตรในครรภ์โขกศีรษะกับกำแพงให้จบสิ้นไป!” ซูเม่ยพูดพลาง ก็หันไปพุ่งศีรษะเข้าไปที่หน้าต่างที่อยู่ใกล้ๆ ตู๋กูซิงหลัน

 

 

เขาเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า จงใจจะให้ตู๋กูซิงหลันรั้งเขาเอาไว้

 

 

“ซูเม่ย เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน” ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าตอนนี้ศีรษะของนางพองโตขึ้นมาอีกหลายเท่า

 

 

หากนางรู้ว่าเป็นฝีมือของลูกสะใภ้ตัวน้อยคนไหนละก็ นางจะต้องจับมาตีเสียให้เข็ด

 

 

“ฮือ ฮือ ฮือ ข้าไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง” ซูเม่ยส่ายศีรษะอย่างไม่คิดชีวิต ร้องไห้น้ำตานองอย่างเจ็บช้ำ ราวกับสะใภ้ที่ถูกทอดทิ้งอย่างชอกช้ำ เขากอดตู๋กูซิงหลันเอาไว้ สูดจมูกเช็ดน้ำตาไปกับร่างของนาง

 

 

จะไม่ให้ชอกช้ำจนใจสลายได้อย่างไร ผักกาดขาวที่สวยงามที่สุดที่เขาคอยเฝ้าดูมาตั้งแต่เล็ก กับถูกไอ้หมูอย่างจีเฉวียนมารวบกินไปแล้ว!

 

 

แถมยังจะมีไอ้ลูกหมูออกมาอีก! นี่ไม่เท่ากับว่าขยี้หัวใจของเขาหรอกหรือ?

 

 

“ซูเม่ย เราคือโอรสสวรรค์ ย่อมต้องเผื่อแผ่สายพิรุณโดยทั่วถึง การแผ่ขยายกิ่งก้านของราชวงศ์คือหน้าที่ของเราในฐานะโอรสสวรรค์” จีเฉวียนลากตัวของเขาออกมาจากตู๋กูซิงหลัน “เจ้าเป็นพระสนมของเรา เอะอะโวยวายทำจะเป็นจะตายไปได้”

 

 

วิญญาณทมิฬ “สุดยอด ช่างเป็นบุรุษที่ไร้น้ำใจโดยแท้”

 

 

ซูเม่ยหลั่งน้ำตาเป็นสาย สองมือโอบกอดตู๋กูซิงหลันเอาไว้ แต่ก็ไม่กล้าใช้แรงมากเกินไป

 

 

ด้วยเกรงว่าตอนนี้นางท้องแล้ว หากว่าไม่ระมัดระวังอาจทำให้นางเกิดอันตรายได้ นั่นคงต้องย่ำแย่แน่ๆ

 

 

เช่นนี้เรี่ยวแรงของเขาจะไปสู้กับจีเฉวียนได้อย่างไร เพียงครู่เดียวก็ถูกจีเฉวียนลากออกไปด้านข้าง

 

 

จีเฉวียนประทับลงข้างกายตู๋กูซิงหลัน ดวงเนตรหงส์จดจ้องมองนาง ราวกับจะมองเข้าไปข้างในให้ทะลุปรุโปร่ง

 

 

พระองค์ไม่ทราบว่าเป็นใครที่กล้าแตะต้องนาง

 

 

แต่พระองค์ทรงรู้ว่า …..นางจะต้องไม่เต็มใจอย่างแน่นอน จะต้องทุกข์ทรมานอย่างมาก

 

 

นับตั้งแต่ตอนที่หายตัวไปจากแคว้นเซอปี่ซือ นางคงต้องรับความทุกข์ทรมานมาโดยตลอด ….พระองค์กลับมิได้อยู่เคียงข้างนางในยามที่นางตกระกำลำบาก นี่ถือเป็นความผิดของพระองค์

 

 

จีเฉวียนนอกจากจะทรงพิโรธอย่างรุนแรงแล้ว ก็ทรงปวดพระทัยอย่างที่สุด

 

 

หากว่าเป็นที่ผ่านมา สตรีคนใดในวังหลังกล้าสวมเขาให้พระองค์ คงต้องจบชีวิตลงอย่างอนาถยิ่งกว่าความตายเสียอีก

 

 

 

 

…………………

 

 

ไรท์ : ตอนต่อไป “……….” (อย่าพึ่งบอกดีไหม)

 

 

——

 

 

[1] 趁火打劫: คนที่ถือโอกาสซ้ำเติมผู้อื่นในยามเดือดร้อน