ตอนที่ 269-1 กลับบ้านเมื่อยามหิมะตกหนัก

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

หวังหลานเอ๋อร์เดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าเดินมานานเพียงใดแล้ว ตอนที่นางได้สติกลับมาก็ยืนนิ่ง พลันเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยเงาหนึ่งตรงหน้า ดีใจอย่างอดไม่ได้ ยกขาวิ่งเข้าไป “คุณชายเสิ่น” นางขานเรียกเสียงหวาน

 

 

เดิมวันนี้เสิ่นเซ่าจวิ้นมาหาสหายผู้หนึ่ง พบหวังหลานเอ๋อร์โดยบังเอิญ ประหลาดใจเล็กน้อย “แม่นางหวังมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ไม่ใช่ว่านางควรอยู่ในจวนน้องเวยหรอกหรือ

 

 

“ขอบคุณคุณชายเสิ่นที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ พวกข้าแม่ลูกออกจากจวนจวิ้นอ๋องแล้ว ตอนนี้หาบ้านอยู่ข้างนอก ปกติก็ทำงานเย็บปักถักร้อย ชีวิตกลับพอจะฝืนทนผ่านไปได้” หวังหลานเอ๋อร์เขินอายทั้งใบหน้า ดวงตาทั้งคู่มองเสิ่นเซ่าจวิ้นด้วยความรัก

 

 

ทว่าเสิ่นเซ่าจวิ้นกลับไม่ได้คิดมาก พยักหน้ากล่าว “เช่นนั้นก็ดี เดิมข้าก็เคยบอกแล้ว เป็นสุจริตชนได้ไยจะต้องไปเป็นบ่าวด้วยเล่า ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว แม่นางหวังเป็นสตรีอายุน้อยตัวคนเดียวรีบกลับไปเสียจะดีกว่า อย่าทำให้มารดาตระกูลหวังเป็นห่วง” เขาเอ่ยเตือนด้วยความหวังดีหนึ่งประโยค จากนั้นจึงพาเด็กรับใช้จากไป

 

 

ฟู่กุ้ยที่ตามอยู่ข้างหลังถอนหายใจหนึ่งคราอย่างโล่งอก ต่อให้เขาโง่ก็เห็นท่าทางยักคิ้วหลิ่วตาได้อย่างชัดเจน จวิ้นจู่เหนียงเหนียงแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบให้คุณชายสนิทสนมกับแม่ลูกตระกูลหวังมากนัก เมื่อครู่เขากังวลจริงๆ ว่าคุณชายจะใจอ่อนพาแม่นางผู้นี้กลับไปอีก!

 

 

หวังหลานเอ๋อร์มองแผ่นหลังที่จากไปไกลของเสิ่นเซ่าจวิ้นอย่างทึ่มทื่อ สีหน้าและจิตใจล้วนแต่ผิดหวัง

 

 

ในตอนนี้เองเสียงที่ลึกลับเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “แม่นางตามีแววยิ่งนัก!”

 

 

หวังหลานเอ๋อร์สะดุ้งตกใจ หันหน้าฉับพลัน เห็นชายท่าทางคล้ายพ่อบ้านวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังยิ้มอย่างมีเลศนัยให้นางอยู่ “เจ้า เจ้าเป็นใคร” หวังหลานเอ๋อร์ถูกเขามองจนขนลุกในใจ รวบรวมความกล้าถาม

 

 

“ย่อมต้องเป็นคนที่ช่วยให้แม่นางสมปรารถนาอย่างไรเล่า” คนผู้นั้นจ้องหวังหลานเอ๋อร์มองประเมิณอย่างไม่เกรงกลัว คล้ายตีค่าสิ่งของชิ้นหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าก็กว้างขึ้นแล้ว

 

 

สวีโย่วสืบค้นมาได้สิบกว่าวันแล้ว ข้อมูลที่มีประโยชน์กลับไม่มีแม้แต่นิดเดียว จางอิงที่ตายไปแล้วผู้นั้นปกติก็เป็นคนดี ความสัมพันธ์ต่อขันทีน้อยจำนวนมากก็ไม่เลว แต่คนที่สนิทกลับไม่มีเลยสักคนเดียว กองตรวจสอบดำเนินการลงโทษโบยขันทีที่สนิทกับจางอิงหลายคน ยังคงไร้เบาะแสใดๆ รวมถึงคนในครอบครัวจางอิง หายไปประหนึ่งหมอกควัน ไม่มีแม้แต่ข่าวคราว สวีโย่วเดาว่าพวกเขาน่าจะถูกฆ่าปิดปากแล้ว มิเช่นนั้นเพียงแค่ปรากฏตัวก็จะทิ้งร่องรอยได้

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนได้รับผลลัพธ์นี้กลับทรงไม่พิโรธ เดิมเรื่องนี้สืบง่ายอย่างถึงที่สุด เขาตายแล้วใครได้รับผลประโยชน์มากผู้นั้นก็คือตัวการที่อยู่เบื้องหลัง เขามีอันเป็นไป คนที่ขึ้นครองบัลลังก์ก็คือไท่จื่อ แต่ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกตระกูลฝั่งไท่จื่อ พวกเขายังไม่มีความกล้าหาญมากเพียงนี้ อีกทั้งยังไม่มีกำลังเช่นนี้อีกด้วย

 

 

ในพระตำหนักจินหลวน ฮ่องเต้ยงเซวียนนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงส่ง มองขุนนางชั้นผู้ใหญ่บุ๋นบู๊ทั่วราชสำนักอย่างเย็นชา แท้จริงแล้วใครกันที่คิดอยากให้เขาตาย

 

 

ชั่วพริบตาก็เข้าสู่เดือนล่าแล้ว เมืองหลวงในเดือนล่าหนาวอย่างถึงที่สุด หนาวยิ่งกว่าปีที่ผ่านมา สามารถใช้คำว่าหยดน้ำกลายเป็นน้ำแข็งมาอธิบายได้เลย

 

 

เสิ่นเวยมองเกล็ดหิมะเกล็ดใหญ่ที่ปลิวลอยยู่ข้างนอก สั่งหลีฮวา “อากาศหนาวเกินไปแล้ว ไปบอกครัวว่า เตรียมแกงแกะกับน้ำขิงเอาไว้ให้มากหน่อย ถ่านก่อไฟแต่ละที่ก็เตรียมให้เพียงพอ หากป่วยแล้วก็เชิญหมอมาให้ยา ไม่ต้องคิดเยอะ” บ่าวก็เป็นคน นางทำดีต่อพวกเขาเล็กน้อย พวกเขาก็จะยิ่งจงรักภัคดีมิใช่หรือ

 

 

หลีฮวากระชับเสื้อหนาวบุฝ้ายบนร่างออกไปสั่งสาวใช้ที่วิ่งทำงาน ไม่นานนักก็เข้ามาแล้ว กระทืบเท้า ถูมือ “ปีนี้ก็แปลก นี่เพิ่งจะเข้าเดือนล่าก็หนาวเพียงนี้แล้ว ซ้ำยังหิมะตกหนักเพียงนี้อีก หนาวยิ่งกว่าปีที่แล้วมาก”

 

 

เถาจือกล่าวตามใจปาก “ใช่แล้ว ฟังว่าข้างนอกมีคนหนาวตายทุกวัน น่าสงสารยิ่งนัก”

 

 

เย่ว์กุ้ยได้ยินดังนั้นดวงตาก็กะพริบวาบ บนใบหน้ามีความกังวลปรากฏขึ้น “จวิ้นจู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าชาวนาเช่าที่ในหมู่บ้านของพวกเราจะผ่านคืนวันไปได้ด้วยดีหรือไม่ บ่าวฟังว่าหิมะตกหนักเช่นนี้ทำให้บ้านถล่มได้” บ้านนางก็ถูกพายุหิมะในฤดูหนาวถล่มเช่นกัน ทำให้พ่อนางได้รับบาดเจ็บ ไม่มีเงินไปรักษาทำได้เพียงมองพ่อนางตายไปเฉยๆ นางจึงถูกขายไปยังคณะกายกรรม

 

 

เสิ่นเวยคิดๆ ดูแล้วก็ใช่ “เรียกเจี่ยวปั๋วเข้ามาถามหน่อย”

 

 

เจี่ยวปั๋วผู้อวบอ้วนสวมเสื้อนวมบุฝ้ายหนาๆ ยิ่งเหมือนลูกบอลอย่างยิ่ง ฟังคำถามของเสิ่นเวยแล้ว จึงกล่าว “นี่เองก็เป็นเรื่องที่หมดหนทาง ฤดูหนาวปีใดบ้างที่ไม่มีคนหนาวตาย พายุหิมะปีไหนบ้างที่ไม่ถล่มบ้านหลายหลัง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรฤดูหนาวก็ทรมาน”

 

 

นี่ทำให้ความรู้สึกของเสิ่นเวยหนักอึ้ง ในยุคปัจจุบัน แม้ว่าสังคมจะเต็มไปด้วยความโสมมต่างๆ นานา แต่เรื่องฤดูหนาวคนหนาวตายเช่นนี้ก็ยังมีไม่เยอะจริงๆ

 

 

“เอาเช่นนี้แล้วกันเจี่ยวปั๋ว ลำบากเจ้าหน่อย พาคนไปที่หมู่บ้านเที่ยวหนึ่ง ดูว่าชีวิตของเหล่าชาวนาเช่าที่ยังดำเนินต่อไปได้หรือไม่ ส่งของไปให้พวกเขาสักเล็กน้อย แต่ละครอบครัวให้ธัญพืชสามสิบจิน ถ่านยี่สิบจิน เสื้อนวมบุฝ้าย อืม ไม่เอาดีกว่า ไม่ต้องให้เสื้อนวมบุฝ้าย แต่ละครอบครัวให้ผ้าหยาบหนึ่งผืน แล้วก็ให้ฝ้ายจำนวนหนึ่ง ให้พวกนางไปทำเอง ยังมียารักษาอาการถูกลมเย็น แจกให้แต่ละครอบครัวจำนวนหนึ่ง ในจวนของพวกเราไม่ขาดเงินเพียงเท่านี้ ทั้งหมดคิดเสียว่าทำบุญ แล้วก็ดูว่ามีบ้านไหนถูกพายุหิมะถล่ม ช่วยซ่อมสักนิดสักหน่อย ต้องทำให้พวกเขาผ่านฤดูหนาวไปได้อย่างปลอดภัย” เสิ่นเวยออกคำสั่ง

 

 

เจี่ยงปั๋วแสดงสีหน้าซาบซึ้ง “จวิ้นจู่เมตตา บ่าวขอบคุณบุญคุณและความกรุณาของจวิ้นจู่แทนเหล่าชาวนา” ข้างนอกต่างก็พูดกันว่าจวิ้นจู่ของเขาเป็นคนใช้อำนาจบาตรใหญ่ไม่เห็นแก่ชีวิตคน แต่เจี่ยงปั๋วกลับมั่นใจว่าจวิ้นจู่เป็นผู้มีเมตตาอันดับหนึ่งในใต้หล้า ท่านจวิ้นอ๋องสุขภาพไม่ดี จวิ้นจู่ก็ทำบุญแทนท่านจวิ้นอ๋อง ภรรยาผู้นี้ของท่านจวิ้นอ๋องนับได้ว่าแต่งถูกคน!

 

 

เจี่ยงป๋วเดินไปข้างนอกด้วยความรู้สึกร้อยแปดพันเก้า หิมะตกหนักปลิวว่อน ลมหนาวเข้ากระดูก แต่หัวใจทั้งดวงของเจี่ยงปั๋วกลับร้อนรุ่ม

 

 

“จวิ้นจู่ ในเมืองหลวงหลายครอบครัวต่างก็สร้างเพิงข้าวต้มเริ่มแจกจ่ายข้าวต้มแล้ว ในจวนพวกเราจะทำด้วยหรือไม่” แม่นมมั่วกล่าวเตือน

 

 

“หากแม่นมไม่พูดข้าก็เกือบลืมไปแล้ว” เสิ่นเวยกล่าว “ทำเถอะ พวกเรามีเสบียงร้านค้าอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ข้าวดี ข้าวเก่าก็พอ เช้าค่ำแจกข้าวต้ม ตอนเที่ยงเพิ่มแป้งทอดแป้งหนาหนึ่งชิ้น ช่วยได้กี่คนก็ช่วย เรื่องนี้ก็มอบให้แม่นมไปจัดการแล้วกัน อ้อจริงสิ นอกจากแจกข้าวต้มแล้ว พวกเรายังต้องแจกยา ยาน้ำรักษาอาการถูกลมเย็นนั่นต้มหนึ่งหม้อใหญ่ เพียงแค่มีคนที่ต้องการก็สามารถดื่มได้ เรื่องนี้ให้หมอหลิวไปจัดการ”

 

 

“เจ้าค่ะ จวิ้นจู่ บ่าวจะดูแลเรื่องนี้ให้ดี” แม่นมมั่วกล่าวด้วยความเคารพ ผ่านการอยู่ร่วมกันในช่วงวันเวลาเหล่านี้ แม่นมมั่วก็ดีใจในสิ่งที่ตนเลือกตอนแรก จยาฮุ่ยจวิ้นจู่เป็นนายที่รับใช้ง่ายอย่างยิ่งจริงๆ แยกแยะการชื่นชมและลงโทษชัดเจน ให้ความสำคัญแก่คนที่มีความสามารถ ต่อให้จะพบข้อผิดพลาด ก็ไม่ตบตีดุด่าบ่อยๆ อย่างมากก็แค่หักเงินเดือน แน่นอนว่าการทรยศนายก่อกบฏเป็นข้อยกเว้น จวิ้นจู่เกลียดบ่าวเช่นนี้ที่สุด หากสืบเจอจะไม่มีทางให้อภัยเป็นอันขาด

 

 

เซี่ยหมิงผู่กับเสิ่นเชียน มาถึงเมืองหลวงตามลำดับ เซี่ยหมิงผู่มาถึงก่อน วันที่เขามาถึง อาทิตย์ส่องแสงจ้าอย่างหาได้ยาก ส่องจนร่างกายอบอุ่น

 

 

เสิ่นเวยรู้ว่าเขามาแล้ว ไม่ได้ส่งคนไปรับ และไม่ได้ไปพบเขา แม้แต่แอบดูก็ยังไม่มี ราวกับว่านั่นคือคนไม่รู้จักคนหนึ่ง

 

 

เซี่ยหมิงผู่เองก็ไม่ได้มาเยี่ยมที่บ้าน หาโรงเตี๊ยมพักเรียบร้อยด้วยตัวเอง ทุกวันอ่านหนังสืออยู่แต่ในห้อง แม้แต่โรงเตี๊ยมยังออกไปน้อยอย่างยิ่ง

 

 

ก่อนหน้านี้ฉาฮวายังพร่ำบ่นทั้งวันว่าพี่ชายนางจะมาเมืองหลวงแล้ว แต่เมื่อพี่ชายนางมาถึงเมืองหลวงแล้วจริงๆ นางกลับไม่เอ่ยถึงแม้แต่ประโยคเดียว เสิ่นเวยถามนางว่าอยากไปเจอพี่ชายนางหรือไม่ นางกลับส่ายหน้าปฏิเสธทันที

 

 

ฉาฮวาไม่โง่ แต่นางกลับฉลาดอย่างถึงที่สุด แม้นางจะไม่รู้ว่าจวิ้นจู่กับพี่ชายส่งสัญญาณอะไรกันไว้ แต่นางกลับตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าตนไม่อาจไปพบพี่ชายได้ ไม่อาจให้คนอื่นรู้ว่าพี่ชายนางรู้จักกับจวิ้นจู่

 

 

เสิ่นเวยกลับไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน เพียงแค่ลูบศีรษะเล็กๆ ของฉาฮวาอย่างสงสาร เป็นเด็กที่ฉลาดและมีไหวพริบจริงๆ!

 

 

ทว่าวันที่เสิ่นเชียนกลับมามีลมพัดแรง แต่นี่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อหัวใจที่รอคอยลูกชายกลับมาของสวี่ซื่อ เช้าตรู่ก็เร่งรัดสาวใช้ไปเฝ้าดูหน้าประตูใหญ่นับครั้งไม่ถ้วน ท้ายที่สุดก็ทนไม่ไหวจริงๆ ตนไปรออยู่ที่หน้าประตูด้วยตัวเอง

 

 

เสิ่นเชียนสวมผ้าคลุมตัวใหญ่สีดำ ขี่ม้าตัวสูงใหญ่ สวี่ซื่อเห็นเงาร่างของลูกชายมาแต่ไกลๆ ดวงตาก็ชุ่มฉ่ำ “ลูก!” นางตะโกนด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งหนึ่งประโยคสะบัดมือของสาวใช้ออกแล้ววิ่งเข้าไปหา

 

 

เสิ่นเชียนถีบเท้าลงจากม้า โยนเชือกบังเ**ยนแล้วจึงเร่งเท้าเดินเข้ามา “ท่านแม่ ลูกอกตัญญูกลับมาแล้ว!”

 

 

“ดีๆๆ กลับมาก็ดี” สวี่ซื่อเห็นลูกชายที่ดำขึ้นผอมลงแต่มีกำลังวังชามากขึ้น ไม่ว่าจะมองเท่าไรก็ไม่พอ “ เจ้ากลับมาแม่ก็วางใจแล้ว” นางอยากยิ้ม แต่กลับยิ้มทั้งที่น้ำตานองหน้า

 

 

เบ้าตาเสิ่นเชียนเองก็แดงก่ำ เพียงแค่ไม่เจอกันหนึ่งปีสั้นๆ ศีรษะของมารดาก็คล้ายมีผมหงอกเพิ่มขึ้นไม่น้อยแล้ว

 

 

“ฮูหยิน ซื่อกลับมาเป็นเรื่องมงคลใหญ่ ควรดีใจจึงจะถูก” ลั่วสยาสาวใช้ข้างกายก้าวขึ้นมาโน้มน้าว

 

 

“ใช่ๆๆ ควรจะดีใจ แม่ดีใจยิ่งนัก” สวี่ซื่อรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้า “แม่น่ะดีใจจนน้ำตาไหล ไปเถอะ พวกเรารีบเข้าจวน พ่อ ย่าและปู่เจ้ายังรออยู่”

 

 

สวี่ซื่อจับมือลูกชายไว้แนบแน่น ราวกับว่าเมื่อปล่อยแล้วลูกชายจะหนีไปได้ เสิ่นเชียวเองก็ปล่อยให้นางจับ มุมปากอมยิ้มพูดคุยกับนางไปตลอดทาง

 

 

เข้าไปในเรือนซงเฮ่อแล้ว เสิ่นเชียนก็คุกเข่าลงเสียงดังโขกศีรษะคำนับย่าเขา นายหญิงผู้เฒ่ากอดหลานชายคนโตของนางร่ำไห้อยู่พักหนึ่ง ภายใต้การปลอบโยนของคนทั้งหมดจึงหยุดร้องไห้ช้าๆ

 

 

เสิ่นเชียนหมุนตัวโขกศีรษะคำนับพ่อแม่เขาจากใจจริง เสิ่นหงเหวินเห็นลูกชายที่ดูกำยำขึ้น ในใจก็ชื่นชมอย่างถึงที่สุด “ดีๆๆ แข็งแรงกว่าพ่อเจ้าแล้ว” ชั่วชีวิตนี้แม้แต่สนามรบเขายังไม่เคยแตะ กลับเป็นลูกชายที่รับหน้าที่ที่เดิมควรจะเป็นเขา ทำให้ในขณะที่เขาภูมิใจก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย

 

 

สนทนากันพักหนึ่ง เสิ่นหงเหวินก็กล่าว “ไปหาปู่เจ้าเถิด เขายังรอเจ้าอยู่ที่เรือนนอก”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าเสิ่นกับสวี่ซื่อเองก็เร่งรัด “ไปเถิด ไปเถิด ปู่เจ้าพร่ำบ่นถึงเจ้ายิ่งนัก อย่าปล่อยให้เขารอนาน”

 

 

เสิ่นเชียนจึงลุกขึ้นกล่าว “เช่นนั้นหลานขอตัวไปก่อน ตกเย็นแล้วจะมาทานข้าวกับท่านย่าใหม่”

 

 

ไปถึงข้างนอกเสิ่นหงเหวินจึงเล่าเรื่องที่ปู่เขาได้รับบาดเจ็บให้เขาฟัง เสิ่นเชียนตกใจในชั่วขณะ “ท่านปู่ได้รับบาดเจ็บที่ใด บาดเจ็บสาหัสหรือไม่ ท่านพ่อ เหตุใดท่านเพิ่งมาบอกข้าตอนนี้” แม้ตั้งแต่เล็กเขาจะพบท่านปู่เพียงไม่กี่ครั้ง แต่ที่ซีเจียงปีที่แล้ว ท่านปู่แทบจะพาเขาไปไหนมาไหนข้างกาย สอนเขาตัวต่อตัวตลอด นี่ทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับท่านปู่แน่นแฟ้นอย่างถึงที่สุด

 

 

เสิ่นหงเหวินรีบปลอบลูกชาย “มีหมอหลวงดูแลอยู่ ดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว เจ้าอยู่ไกลถึงซีเจียง ต่อให้บอกเจ้า เจ้าเองก็ทำได้เพียงเป็นกังวล ยิ่งไปกว่านั้นปู่เจ้าก็เป็นคนพูดเอง ไม่ให้บอกเจ้า กลัวว่าเจ้าจะไม่มีสมาธิทำงานล่าช้า” แต่กลับไม่เอ่ยว่าอาการบาดเจ็บเป็นเช่นไร

 

 

หนึ่งปีกว่านี้ เสิ่นเชียนฝึกฝนจนพัฒนาขึ้นกว่าแต่ก่อนมากแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของพ่อเขาก็รู้แล้วว่าท่านปู่บาดเจ็บสาหัสอย่างถึงที่สุด มิเช่นนั้นเหตุใดหนึ่งเดือนกว่าแล้วยังต้องมีหมอหลวงดูแลอยู่เล่า ฝีเท้าใต้เท้าก็เร่งขึ้นสามส่วนอย่างอดไม่ได้