บทที่ 929 รอบสุดท้าย

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 929 รอบสุดท้าย

จากลานประลอง

ร่างเพรียวบางของจิ่วโยวพลิ้วลงมาพร้อมกับคลื่นหลิงทรงพลังแผ่กระจายอยู่รอบตัว หลังจากดูดซับแก่นคลื่นหลิงที่ถูกทิ้งไว้จากปีศาจราชสีห์ทองคำ เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของนางเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย

พอเห็นจิ่วโยว โดยไม่รู้ตัวเหล่าผู้บัญชาการก็มีท่าทางเคร่งขรึมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสี่ยยิงที่จ้องมองจิ่วโยวก็มีความรู้สึกเคารพในสายตา

นั่นเป็นเพราะหลังจากศึกรอบนี้จบลง พวกเขาก็ตระหนักว่าพลังในปัจจุบันของจิ่วโยวเกินกว่าพวกเขาคิดมากแล้ว ท่ามกลางเหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ คงมีเพียงซิวหลัวและเลี่ยซันที่สามารถปราบจิ่วโยวได้

ยิ่งถ้าให้เวลาจิ่วโยวเพิ่มอีกนิด นางอาจจะแซงหน้าเลี่ยซันไปด้วยก็ได้

แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้คนอื่นๆ ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ย้อนกลับไปตอนที่จิ่วโยวเพิ่งขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการจนทำให้อยู่ในสถานะเดียวกันกับพวกเขา ทั้งหมดเป็นเพราะการสนับสนุนของจอมพลเทียนจิ้วและภูมิหลังเผ่าวิหคโลกันตร์ของนาง ผู้บัญชาการที่ผงาดขึ้นมาในตำแหน่งนี้ได้ด้วยภูมิหลังทำให้พวกเขาดูถูกนางมากจนก่อให้เกิดผลความขุ่นเคืองในปีหลังๆ

แต่หลังจากการต่อสู้ในวันนี้ พวกเขาต้องยอมรับว่าจิ่วโยวที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยดูถูกได้ไปไกลกว่าพวกเขาโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะมีความรู้สึกซับซ้อนพลุ่งพล่านในหัวใจ

“ฮ่าๆ ทำได้ดีมาก” เทียนจิ้วปลื้มใจเมื่อมองไปที่จิ่วโยว ความโดดเด่นของนางประหนึ่งมีไฟส่องมาที่ใบหน้าของเขาทีเดียว

มั่นถัวหลัวพยักหน้าเช่นกัน การประลองของจิ่วโยวน่ายินดีอย่างแท้จริง เทียนจิ้วพูดถูก จิ่วโยวเป็นอัจฉริยะมากความสามารถที่น่าตกใจ ความสำเร็จในอนาคตไม่สามารถจำกัดไว้ได้เท่านี้

จิ่วโยวยิ้มบางก่อนที่จะกวาดมองไปที่เหล่าผู้บัญชาการทั้งสี่ที่ยังไม่ได้ต่อสู้ ซึ่งมีมู่เฉินอยู่ในนั้นด้วย…

การประลองดำเนินมาจนถึงรอบที่หก ขณะที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์เพิ่งจะได้รับชัยชนะสองครั้งเท่านั้น อีกสองรอบก็จะสามารถทำลายขบวนแถวของค่ายกลได้

แต่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่งานง่ายๆ เลย

เพราะในบรรดาผู้บัญชาการสี่คนที่เหลือ มู่เฉินถือว่าอ่อนแอที่สุด ถ้ามีกองทัพอยู่ที่นี่ เขาก็จะสามารถใช้พลังรัศมีจั้นยี่ร่วมได้ เรียกว่าเหนือกว่าเลี่ยซัน อยู่รองจากซิวหลัวเท่านั้น

แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถนำกองทัพมาที่นี่ได้ สิ่งเดียวที่มู่เฉินพึ่งได้ก็คือขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเท่านั้น ผู้บัญชาการที่นี่ล้วนบรรลุระดับจื้อจุนขั้นหกเป็นอย่างน้อย ดังนั้นเมื่อมองจากภายนอกมู่เฉินอยู่ในตำแหน่งรั้งท้ายเลยทีเดียว…

คงไม่มีใครโลกสวยเกี่ยวกับการประลองอีกสี่รอบที่เหลือเลย

มั่นถัวหลัวมุ่นคิ้ว เนื่องจากนางรู้ว่ายากแค่ไหนสำหรับการประลองสี่รอบที่เหลือ แต่ ณ จุดนี้การยอมแพ้ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ถึงจะรู้ว่าโอกาสล้มเหลวมีมาก แต่ก็ต้องลองเสี่ยงกันบ้าง

ดังนั้นนางจึงหันไปมองผู้บัญชาการทั้งสี่คน

เถี่ยหม่าง จิงกัง หงหยาและมู่เฉิน

ในบรรดาสี่คนมีสามคนเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นหกเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นพลังของพวกเขาอ่อนแอกว่าเสี่ยยิงเสียอีก ส่วนมู่เฉินอยู่ระดับจื้อจุนขั้นห้า

แม้จะรู้ว่าโอกาสในการชนะมีไม่มาก แต่มั่นถัวหลัวก็ยังโบกมือเพื่อให้ขึ้นประลองรอบต่อไป ไม่ว่ายังไงก็ต้องลองทำดู

แต่การมีความคิดเชิงบวกไม่ส่งผลกับชัยชนะ หลังจากจิ่วโยว เถี่ยหม่างและจิงกังก็ก้าวขึ้นลานประลอง แต่ผลลัพธ์ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกเคร่งเครียดในหัวใจขึ้นอีกหลายส่วน

เถี่ยหม่างแพ้!

จิงกังแพ้!

แม้ว่าความพ่ายแพ้จะไม่ได้เรื่องเหนือความคาดคิด แต่ใบหน้าของทุกคนก็ยังมืดมนลงเมื่อความจริงกระแทกใส่

ผู้บัญชาการทั้งคู่ล่าถอยไปอย่างละอาย ฝ่ายตรงข้ามที่พวกเขาปะทะแข็งแกร่งกว่ามาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะได้เปรียบในการประลอง

ขุมทรัพย์ตี้จื้ออันตรายอย่างยิ่งจริงๆ เพียงแค่ด่านแรกก็ขัดขวางการก้าวเดินของพวกเขาเอาไว้แล้ว

“รอบเก้า ให้ข้าขึ้นประลองเถอะ”

พร้อมกับความพ่ายแพ้ของเถี่ยหม่างและจิงกัง หงหยาก็สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ก่อนที่เขาจะกระแทกฝ่าเท้าทะยานไปยังลานประลอง ร่างเขาแข็งแกร่งประหนึ่งภูผาหนั่นแน่น

ทุกคนจ้องมองร่างเงานั้นก็ถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งความหวังมากกับอีกฝ่าย เพราะในแง่ของความแข็งแกร่งหงหยาอยู่ในระดับเดียวกับเถี่ยหม่างและจิงกัง

ครืน!

เมื่อหงหยาทะยานขึ้นบนลานประลอง เสาอีกต้นหนึ่งก็สั่นสะเทือน ขณะที่เปลือกทองแดงหลุดลงมา เงาสีดำก็กระโจนลงมาอย่างหนักหน่วง รัศมีน่ากลัวกระจายออกไป

สายตาทุกคนจ้องมองไปทันที ก็เห็นร่างเล็กสีดำราวกับว่าถูกหล่อด้วยเหล็กดำ ขณะที่มันมีหัวของลิง

“ปีศาจวานรเหล็กดำ” มั่นถัวหลัวจ้องมองร่างนั้นก็ถอนหายใจแผ่วเบาในหัวใจ แม้ปีศาจวานรเหล็กดำจะไม่ได้อยู่ในอันดับต้นๆ ของมารอสูร แต่ก็ค่อนข้างลำบากที่จะจัดการ นั่นเป็นเพราะมันมีความเร็วที่สามารถเล่นงานจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกได้

ดูเหมือนว่าโอกาสชนะของหงหยาจะไม่สูงเหมือนกัน

เจี๊ยก!

เมื่อปีศาจวานรปรากฏขึ้น ก็แยกเขี้ยวยิงฟันที่ราวกับใบมีดโกนเบื้องหน้าหงหยา ก่อนที่จะส่งเสียงหัวเราะแปลกๆ ออกมา เมื่อเสียงหัวเราะดังขึ้นร่างของมันก็หายไปทันที

“ความเร็วสุดยอดมาก!” ทุกคนรู้สึกตกใจไปขณะที่ร้องอุทาน

ปัง!

ทันทีที่สิ้นเสียงร้องอุทาน ร่างของหงหยาก็กระเด็นออกไปแบบหนักหน่วง รอยเล็บลึกปรากฏขึ้นบนแขนของเขา แผลลึกจนมองเห็นกระดูกได้ เลือดสดไหลออกมาไม่หยุด

เจี๊ยก!

ร่างปีศาจวานรเผยตัวออกมา ตรงจุดที่หงหยายืนอยู่ในตอนแรก มันระเบิดเสียงหัวเราะ อึดใจก็กลายเป็นลำแสงสีดำหายไปอีกครั้ง

ปัง! ปัง! ปัง!

ไม่กี่นาทีต่อมาหงหยาก็อยู่ในสภาวะสิ้นหวัง เขาอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ เผชิญหน้ากับความเร็วราวกับภูตผีของปีศาจวานร ก็เกิดบาดแผลปกคลุมทั่วร่าง เลือดสดไหลเจิ่งนอง

ทุกคนแทบสูญเสียความมั่นใจเมื่อเห็นฉากเบื้องหน้านี้

แต่ขณะที่ทุกคนรู้สึกผิดหวังพร้อมกับรอยยิ้มขมขื่นฉายออกมา มั่นถัวหลัวที่จ้องมองการต่อสู้นิ่งก็เกิดประกายแสงแวววาวบนม่านตาสีทองคำ ด้วยความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน นางรู้สึกได้ว่าแม้หงหยาจะอยู่ในสภาพน่าสมเพช มีบาดแผลเต็มไปหมด แต่สำหรับหงหยาที่เชี่ยวชาญด้านการป้องกัน บาดเจ็บเหล่านี้ไม่ได้สาหัสอะไร

นอกจากนี้มั่นถัวหลัวยังรู้สึกได้คลุมเครือว่ามีการรวมคลื่นหลิงรุนแรงอยู่ในร่างหงหยาที่กำลังถูกโจมตี

ท่าทางหงหยาดูเหมือนจะไม่สามารถตอบโต้ได้ แต่ในความเป็นจริงเขากำลังซุ่มการโจมตีไว้ ความอดทนของเขาไม่ธรรมดาจริงๆ

ตู้ม!

การโจมตีหนักหน่วงเกิดขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้หงหยากระเด็นออกไปหลายสิบจั้ง แต่ก่อนที่เขาจะตั้งตัว รัศมีร้ายกาจก็กำจายอยู่ตรงหน้า ใบหน้าปีศาจวานรที่ดุร้ายปรากฏขึ้น

ริ้วแสงเย็นยะเยือกวูบไหวบนกรงเล็บของปีศาจวานรเหล็กดำราวกับใบมีด เสือกแทงบนหน้าอกของหงหยาอย่างหนักหน่วง

หงหยายกแขนขึ้นต้านทานการโจมตี

ชี่!

เลือดสดสาดกระเซ็น ขณะที่กรงเล็บแหลมคมของปีศาจวานรเจาะเข้าไปในแขนของเขา

ทว่าในเวลาเดียวกันกับที่กรงเล็บทะลุเข้าไปในเนื้อ รอยยิ้มเย็นชาก็ปรากฏบนใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยเลือดของหงหยา

คลื่นหลิงน่าสะพรึงรวมกันในมืออีกข้างหนึ่ง พริบตาก็ก่อร่างภูเขาขนาดเล็กบนฝ่ามือ

ภูเขามีขนาดเล็ก แต่มันถูกสร้างขึ้นโดยการอัดแน่นของคลื่นหลิงในตัวหงหยา ความน่าสยดสยองกระจายออกมา ทำให้มีมิติเกิดการกระเพื่อมไหว

“ไอ้เดรัจฉาน ตาข้าบ้าง!”

หงหยายิ้มเย็น เหวี่ยงกำปั้นออกไปราวกับสายฟ้าฟาด พุ่งเข้าใส่หัวของปีศาจวานร

พั่บ!

รับรู้ถึงการโจมตีที่น่ากลัวของหงหยา ปีศาจวานรก็คิดจะใช้ความเร็วที่น่าสะพรึงหลบหนีกระบวนท่ารุนแรงนี้ไป แต่มันกลับตระหนักได้ว่าไม่สามารถดึงกรงเล็บออกมาได้ กล้ามเนื้อบิดตัวบนแขนของหงหยา บีบจับกรงเล็บเอาไว้แน่น

ความเร็วที่น่ากลัวถูกจำกัดลงทันใด

ตู้ม!

พริบตาฝ่ามือราวกับภูผาของหงหยาก็ส่งเสียงกระหึ่ม อึดใจต่อมาก็ทุบเข้าที่หัวของปีศาจวานรโดยไม่ลังเล เสียงลั่นดังกึกก้อง ศีรษะของปีศาจวานรก็ระเบิดออกเหมือนลูกแตงโมโดนทุบ

ร่างปีศาจวานรโงนเงนก่อนที่ร่วงลงกับพื้นกลายเป็นประกายแสงพุ่งเข้าหาร่างหงหยา

เบื้องล่างลานประลองทุกคนต่างตะลึงกับเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ แม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกตะลึงใจ เนื่องจากไม่มีใครคิดว่าหงหยาที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมจะอดทนจนถึงวินาทีสุดท้าย แล้วใช้กระบวนท่าเหี้ยมหาญเผด็จศึกปีศาจวานรเหล็กดำได้…

บนลานประลองเมื่อหงหยาซึมซับแก่นคลื่นหลิงได้ เขาก็เซตัวลงมา มั่นถัวหลัวยื่นมือออกไป คลื่นหลิงก่อตัวขึ้นช่วยพยุงหงหยาเอาไว้

เห็นได้ชัดว่าเขาก็มาถึงขีดสุดแล้ว หลังจากต้องรับการโจมตีดุเดือดของปีศาจวานรเหล็กดำด้วยความสามารถในการป้องกันเหนือชั้น

“ข้าไม่ได้ทำให้ท่านผิดหวัง”

หงหยายิ้มอย่างยากลำบาก

“เจ้าทำได้ดีมาก” มั่นถัวหลัวพูดเบาๆ ชัยชนะครั้งนี้เกินความคาดหมายของพวกนางทั้งหมด ต้องขอบคุณหงหยาที่โชคดี แม้ปีศาจวานรเหล็กดำจะมีความเร็วดีเยี่ยม แต่การโจมตีค่อนข้างอ่อนแอ หากเป็นสัตว์อสูรอื่นๆ ละก็ หงหยาคงไม่มีแรงที่จะพูดได้ในตอนนี้

“จากนี้การประลองจบลงแล้ว ข้าจะทำลายค่ายกลเอง” แสงสีทองพลุ่งพล่านในดวงตาเย็นเยือกของมั่นถัวหลัว การต้องเฝ้าดูผู้ใต้บังคับบัญชาเสี่ยงชีวิต ขณะที่นางต้องยืนนิ่งทำให้นางเริ่มรู้สึกโกรธตัวเอง

แม้ว่านางจะต้องสูญเสียพลังมาก แต่นางก็ต้องทำลายประตูทองคำเขียวให้จงได้!

มั่นถัวหลัวก้าวออกไปครึ่งก้าว คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวเริ่มรวมอยู่ในฝ่ามือ

ทว่าขณะที่นางกำลังจะเคลื่อนไหว ร่างหนึ่งก็วูบไหวเข้ามาจับแขนของนางหยุดการรวบรวมคลื่นหลิงเอาไว้

มั่นถัวหลัวเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ของมู่เฉิน

“ท่านประมุข… ในฐานะผู้บัญชาการแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เจ้าจะตัดสิทธ์การประลองของข้าไม่ได้นะ” มู่เฉินยิ้มบาง เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวไม่อยากให้เขาพยายามอย่างไร้ประโยชน์ ทว่าเวลานี้ในฐานะผู้บัญชาการแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขาจะถอยหนีไม่ได้

“เจ้า…” มั่นถัวหลัวอึ้งไป นางมองเข้าไปในดวงตาของมู่เฉิน สายตาของชายหนุ่มยังคงสดใสเป็นประกายพร้อมกับความเด็ดเดี่ยวไหลเวียนอยู่ภายใน ซึ่งทำให้นางเข้าใจว่าเขาไม่ได้พึ่งพาการหลบหนีแบบนี้ในการมาไกลขนาดนี้

มั่นถัวหลัวคลายมือลงเบาๆ ก่อนจะพยักหน้า “ระวังตัว หากเจ้าสู้ไม่ไหวก็ให้ถอยกลับทันที”

มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกระโจนตัวขึ้นสู่ลานประลอง สายตาแหลมคมพุ่งไปที่เสาหิน ร่างเขาเหยียดตรงราวกับหอกศักดิ์สิทธิ์

รอบสุดท้ายนี้ ข้าขอมาดูหน่อยว่าสิบมารอสูรว่าจะท้าทายแค่ไหน!