ตอนที่ 204 พวกเจ้า ยั่วโทสะจิ่วหุนแล้ว

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

สิ้นเสียงเยี่ยเม่ย เงาร่างพลิ้ววูบ คนก็หายออกจากเรือนแล้ว

 

 

ชิงเกอมองเป่ยเฉินอิ้ด้วยความสงสัย เอ่ย “ท่านอ๋อง ข้าน้อยคิดว่า ท่านทำเช่นนี้มีแต่จะทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยเคียดแค้นท่าน”

 

 

 “อ้อ” เป่ยเฉินอี้หันกลับมามองชิงเกอ น้ำเสียงน่าฟังของเขาในยามนี้เย็นชาอย่างถึงขีดสุด “อย่างนั้นเจ้าคิดว่า ข้าสมควรใช้วิธีใดถึงเรียกว่าถูกต้องกัน”

 

 

ชิงเกอชะงักไป เอ่ยว่า “หากท่านคิดจะแต่งกับนางจริง อย่างน้อยก็ควรทำให้นางรู้สึกดีด้วย”

 

 

ไม่อย่างนั้นจะมีแม่นางคนไหนที่กินอิ่มว่างงาน เอาเรื่องความสุขทั้งชีวิตมาล้อเล่น แต่งงานกับคนที่จ้องเป็นศัตรู วางแผนให้ร้าย รวมถึงข่มขู่ตัวเองกัน หรือรังเกียจที่ชีวิตสุขสงบเกินไป วันเวลาผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่ายจึงแสวงหาความตื่นเต้นเร้าใจ

 

 

ใบหน้าสูงศักดิ์ไร้ที่ติของเป่ยเฉินอี้ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เอ่ยเสียงสุขุมว่า “จากสายตาที่นางมองข้าในครั้งแรก ข้าก็รู้ดีว่ามีคนเล่าเรื่องผลการศึกทั้งหลายของข้าให้นางฟังก่อนที่ข้าจะมาถึงแล้ว”

 

 

เป่ยเฉินอี้เน้นคำว่าผลการศึกเป็นพิเศษ

 

 

ชิงเกอเข้าใจในบัดดล ผลการศึก…ในสายตาของบุรุษ ท่านอ๋องกวาดล้างไปทั่วหล้า กำจัดสามราชวงศ์ ถือเป็นผลการศึกที่โดดเด่น ทว่าในสายตาของสตรี…โดยเฉพาะสงครามกับราชวงศ์จงเจิ้งครั้งนั้น ย่อมไม่มีความรู้สึกดีๆ กับท่านอ๋องแน่

 

 

ชิงเกอมุมปากกระตุก อดใจไม่ไหว ถามออกไปว่า “ท่านอ๋อง ท่านว่าใครคือคนที่แอบแทงข้างหลังท่าน”

 

 

นี่ก็มากพอแล้ว

 

 

ยังมีเรื่องให้นินทาอะไรอีก เรื่องของท่านอ๋องกับราชวงศ์จงเจิ้ง เกี่ยวข้องอะไรกับคนพวกนี้ พวกเขาถึงกินอิ่มนอนหลับว่างงานไปเล่าให้แม่นางเยี่ยเม่ยฟังด้วยเล่า

 

 

พวกเขาว่างกันนักหรือไง ไม่มีงานมีการทำแล้วใช่หรือไม่

 

 

 “นอกจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ข้ายังนึกถึงใครคนที่สองไม่ออก” เป่ยเฉินอี้ตอบคำถามออกมาทันควัน

 

 

ระหว่างเอ่ย เขาก็หยิบหมากสีขาวออกมาตัวหนึ่งวางลงบนกระดาน หมากเม็ดเล็กๆ ที่ดูเรียบง่าย กลับเกี่ยวพันกับสถานการณ์ทั่วทั้งกระดาน “ศึกนี้ก็อยู่ที่ว่านางจะยื้อแย่งเวลาไปได้หรือไม่ รวมถึงความสามารถที่แท้จริงของจิ่วหุนด้วย”

 

 

สภาพร่างกายของจิ่วหุนดำเนินมาถึงขั้นไหน ยังใช้กระบวนท่าร้ายกาจออกมาได้หรือเปล่าอยู่ที่ตัวเขาเองแล้ว

 

 

ชิงเกอถอนใจ มองท่านอ๋องของตนทีหนึ่ง กลิ่นอายราชันย์ทั่วร่าง ความสุขุมที่มีเฉพาะผู้ทรงสติปัญญาเหนือหล้า เพียบพร้อมทั้งความฉลาดและความกล้าหาญ ซ้ำยังมีรูปโฉมน่ามอง สิ่งเหล่านี้คือท่านอ๋องของเขาไม่ผิดแน่

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแทงข้างหลัง เพื่อกำจัดศัตรูหัวใจ

 

 

แต่ว่า

 

 

 “ท่านอ๋อง ถึงการแทงข้างหลังร้ายแรงมาก แต่ว่าพวกเราจำเป็นต้อง…ทำให้เรื่องยิ่งเลวร้ายลงไปอีกหรือ” ชิงเกอถามต่ออย่างรวดเร็ว

 

 

เป่ยเฉินอี้กวาดสายตามองชิงเกอ เอ่ยเสียงขรึมว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ใจนางไปแล้ว ทั้งยังวางหลุมพรางดักข้ากับนางไปแล้วด้วย ต่อให้ข้าอยากได้ใจนางเท่าไรก็ไม่สำเร็จ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ถือสาเรื่องไร้สาระพวกนี้อีก ต่อให้ได้รับความรู้สึกดีๆ จากนางก็ไม่อาจได้ตัวนาง ทั้งยังจะทำให้แผนการทั้งหมดของข้ารวนไปหมด อย่างนั้นไม่สู้ให้อุบายจะดีกว่า”

 

 

เมื่อเอ่ยมาถึงตอนนี้

 

 

เป่ยเฉินอี้วางหมากลงตัวหนึ่ง คราวนี้เป็นหมากสีดำ เข้าสกัดหมากขาวเมื่อครู่ให้ตกที่นั่งลำบาก  ไม่ช้าเขาก็เอ่ยว่า “อีกอย่าง ข้าเพียงต้องการตัวนาง หาใช่ใจนาง”

 

 

นางคือเยี่ยเม่ย

 

 

แต่ในใจเขารักจงเจิ้งซี

 

 

 “ข้าน้อยทราบแล้ว” ชิงเกอรีบพยักหน้า

 

 

ก็ถูก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนต้องทำเรื่องไร้ประโยชน์ด้วย อีกอย่างที่ท่านอ๋องต้องการตัวแม่นางเยี่ยเม่ยก็เป็นเพราะว่านางมีใบหน้าเสมือนองค์หญิงซีเท่านั้น

 

 

ชิงเกอพลันคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ท่านอ๋อง ท่านว่า…เรื่องในคืนนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคาดเดาได้หรือไม่”

 

 

เมื่อเขาถามออกมา เป่ยเฉินอี้ยิ้ม แต่ไม่ตอบคำถาม สีหน้าลุ่มลึกสุดหยั่งได้

 

 

……

 

 

เยี่ยเม่ยห้อตะบึงออกจากชายแดน ไม่ช้าก็ไปถึงภูเขาที่ใกล้กับชายแดนมากที่สุด

 

 

ซินเยว่เยี่ยนวิเคราะห์ได้ไม่เลว จิ่วหุนบาดเจ็บต้องหนีไปได้ไม่ไกล ดังนั้นเขาต้องเลือกสถานที่ที่เขาคิดว่าปลอดภัยหลบซ่อนตัว หรือว่าสถานที่ที่เขาคุ้นเคยเพื่อหลบซ่อน

 

 

เพราะอะไรถึงเดาว่าเป็นบนเขาน่ะหรือ

 

 

นั่นก็เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่จิ่วหุนเอาเงินให้เยี่ยเม่ยเคยบอกว่า เขายังมีเงินจำนวนมากเก็บไว้ในถ้ำ อย่างนั้นก็พอบอกได้ชัดเจนเลยว่า สำหรับเขาอย่างน้อยถ้ำก็เป็นสถานที่ที่เก็บสมบัติได้ ทั้งยังเป็นที่ที่ยากต่อการสังเกตเห็น

 

 

ถึงเขาไม่ใส่ใจเงินทอง แต่อย่างน้อยก็รู้สึกว่าสถานที่ที่อยู่จนคุ้นเคยก็คือถ้ำ

 

 

ไม่ว่าจะวิเคราะห์ในแง่ไหน การที่จิ่วหุนไปหลบซ่อนตัวในถ้ำบนเขาใกล้ๆ นี้ ก็ถือว่าเป็นการอธิบายที่สมเหตุสมผล

 

 

เยี่ยเม่ยหวังว่าตัวนางจะเดาไม่ผิด

 

 

และนางก็มั่นใจว่าตัวเองคาดเดาไม่ผิด

 

 

ซินเยว่เยี่ยนไม่เข้าใจสถานการณ์ เห็นเยี่ยเม่ยวิ่งไปเช่นนี้ ก็ไม่ถามมาก รีบวิ่งติดตามไปทันที

 

 

……

 

 

บนเขา

 

 

จิ่วหุนหอบสังขารบาดเจ็บเดินเข้าถ้ำแห่งหนึ่ง ภายในมืดมิด เขาก็ไม่จุดไฟ อย่างไรเสียยามนี้คนที่ไล่ตามสังหารด้านนอกมีจำนวนมาก ขอเพียงจุดไฟก็เป็นการเปิดเผยที่อยู่ของตน

 

 

เขานั่งบนพื้น ฉีกชายเสื้อตัวเองออก พันแผลที่มือ

 

 

จากนั้นก็สกัดจุดชีพจรที่บ่าเพื่อห้ามเลือดอย่างรวดเร็ว

 

 

ตลอดทางที่ผ่านมาล้วนมีรอยเลือดของเขา ถึงเขาจะกำจัดอย่างระมัดระวังไปมากแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีหลุดรอดไปได้ ยามนี้หากออกไปลบรอยเลือด ก็ยิ่งจะมีโอกาสถูกล้อมฆ่าอีกครั้งหนึ่ง

 

 

ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็เพียงโคจรกำลังที่เหลืออยู่ ปรับลมหายใจฟื้นฟูพละกำลังในการต่อสู้ ก่อนที่นักฆ่ากลุ่มแรกจะมาถึง

 

 

จิ่วหุนปิดตาลงทันที เริ่มปรับลมหายใจ

 

 

บนชุดสีขาวปลอดเต็มไปด้วยรอยเลือด ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขามีสภาพน่าอนาถเช่นนี้

 

 

ระหว่างโคจรพลัง เขาก็กระอักเลือดเสียออกมาอีกครั้ง

 

 

พิษแผลงฤทธิ์ออกมาแล้ว

 

 

คราวนี้ เขาไม่อาจปรับลมหายใจได้อีก ผลลัพธ์ของการฝืนโคจรพลังก็คือยิ่งกระตุ้นให้พิษในกายทำงานไวขึ้น

 

 

ในขณะนี้เอง

 

 

ปากถ้ำพลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น

 

 

ฝีเท้าของคนที่ไล่ตามมาครั้งนี้มีจำนวนคนถึงร้อยคน ต่างจากกลุ่มนักฆ่าชุดก่อน ดูแล้วน่าจะเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง

 

 

ไม่ช้า ฝีเท้าของคนกลุ่มแรกก็ติดตามมา มีคนจำนวนหลายร้อย

 

 

สายตาจิ่วหุนเยือกเย็นลง

 

 

รอจนคนเหล่านั้นพุ่งเข้ามาในถ้ำ จิ่วหุนเงยหน้าขึ้นมองพวกเขา แววตานิ่งสงบดังน้ำนิ่ง เผยความอำมหิตออกมา

 

 

เขาเอ่ยคำพูดออกมาทีละคำ “พวก-เจ้า-ยั่ว-โท-สะ-จิ่ว-หุน-แล้ว”

 

 

คำพูดของเขาดังอยู่ในถ้ำมืดมิด ฟังแล้วชวนหวาดกลัวมาก

 

 

น้ำเสียงคล้ายทูตอสุราจากขุมนรก ทำให้คนชุดดำที่เข้ามาในถ้ำในเวลานี้เกิดความหวาดหวั่น

 

 

หลังจากคนผู้หนึ่งเดือดดาล ก็จะระเบิดพลังออกมา การบีบคั้นคนให้จนตรอก จะนำมาซึ่งการตอบโต้กลับอย่างรุนแรง

 

 

ในขณะที่พวกเขาหวาดกลัว กระบี่ในมือของจิ่วหุนถูกใช้ค้ำยันร่างยืนขึ้นมา

 

 

มองไปที่กลุ่มคนเบื้องหน้า เขากดเสียงต่ำเอ่ย “พวกเจ้าเคยได้ยิน อสุราภูตผีร่ำไห้ ซากศพทอดยาวไปพันลี้หรือไม่”

 

 

คนชุดดำทั้งหลายเบิกตากว้าง

 

 

อสุราภูตผีร่ำไห้เป็นสุดยอดกระบวนท่า ระเบิดพลังออกมาเพียงครั้งเดียวก็เกิดคนตายเป็นเบือ ทว่ากระบวนท่าเลื่องชื่อนี้ หลายร้อยปีที่ผ่านมามีคนใช้ออกเพียงแค่สองคนเท่านั้น อีกทั้งคนทั้งสองยังมีอายุจะแปดสิบปีไปแล้ว

 

 

จิ่วหุนก็แค่เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าคนหนึ่ง

 

 

จะเป็นไปได้อย่างไร

 

 

ไม่ช้า

 

 

พวกเขาก็รับรู้แล้วว่าความรู้ของตนช่างคับแคบ