สิ้นเสียงเยี่ยเม่ย เงาร่างพลิ้ววูบ คนก็หายออกจากเรือนแล้ว
ชิงเกอมองเป่ยเฉินอิ้ด้วยความสงสัย เอ่ย “ท่านอ๋อง ข้าน้อยคิดว่า ท่านทำเช่นนี้มีแต่จะทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยเคียดแค้นท่าน”
“อ้อ” เป่ยเฉินอี้หันกลับมามองชิงเกอ น้ำเสียงน่าฟังของเขาในยามนี้เย็นชาอย่างถึงขีดสุด “อย่างนั้นเจ้าคิดว่า ข้าสมควรใช้วิธีใดถึงเรียกว่าถูกต้องกัน”
ชิงเกอชะงักไป เอ่ยว่า “หากท่านคิดจะแต่งกับนางจริง อย่างน้อยก็ควรทำให้นางรู้สึกดีด้วย”
ไม่อย่างนั้นจะมีแม่นางคนไหนที่กินอิ่มว่างงาน เอาเรื่องความสุขทั้งชีวิตมาล้อเล่น แต่งงานกับคนที่จ้องเป็นศัตรู วางแผนให้ร้าย รวมถึงข่มขู่ตัวเองกัน หรือรังเกียจที่ชีวิตสุขสงบเกินไป วันเวลาผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่ายจึงแสวงหาความตื่นเต้นเร้าใจ
ใบหน้าสูงศักดิ์ไร้ที่ติของเป่ยเฉินอี้ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เอ่ยเสียงสุขุมว่า “จากสายตาที่นางมองข้าในครั้งแรก ข้าก็รู้ดีว่ามีคนเล่าเรื่องผลการศึกทั้งหลายของข้าให้นางฟังก่อนที่ข้าจะมาถึงแล้ว”
เป่ยเฉินอี้เน้นคำว่าผลการศึกเป็นพิเศษ
ชิงเกอเข้าใจในบัดดล ผลการศึก…ในสายตาของบุรุษ ท่านอ๋องกวาดล้างไปทั่วหล้า กำจัดสามราชวงศ์ ถือเป็นผลการศึกที่โดดเด่น ทว่าในสายตาของสตรี…โดยเฉพาะสงครามกับราชวงศ์จงเจิ้งครั้งนั้น ย่อมไม่มีความรู้สึกดีๆ กับท่านอ๋องแน่
ชิงเกอมุมปากกระตุก อดใจไม่ไหว ถามออกไปว่า “ท่านอ๋อง ท่านว่าใครคือคนที่แอบแทงข้างหลังท่าน”
นี่ก็มากพอแล้ว
ยังมีเรื่องให้นินทาอะไรอีก เรื่องของท่านอ๋องกับราชวงศ์จงเจิ้ง เกี่ยวข้องอะไรกับคนพวกนี้ พวกเขาถึงกินอิ่มนอนหลับว่างงานไปเล่าให้แม่นางเยี่ยเม่ยฟังด้วยเล่า
พวกเขาว่างกันนักหรือไง ไม่มีงานมีการทำแล้วใช่หรือไม่
“นอกจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ข้ายังนึกถึงใครคนที่สองไม่ออก” เป่ยเฉินอี้ตอบคำถามออกมาทันควัน
ระหว่างเอ่ย เขาก็หยิบหมากสีขาวออกมาตัวหนึ่งวางลงบนกระดาน หมากเม็ดเล็กๆ ที่ดูเรียบง่าย กลับเกี่ยวพันกับสถานการณ์ทั่วทั้งกระดาน “ศึกนี้ก็อยู่ที่ว่านางจะยื้อแย่งเวลาไปได้หรือไม่ รวมถึงความสามารถที่แท้จริงของจิ่วหุนด้วย”
สภาพร่างกายของจิ่วหุนดำเนินมาถึงขั้นไหน ยังใช้กระบวนท่าร้ายกาจออกมาได้หรือเปล่าอยู่ที่ตัวเขาเองแล้ว
ชิงเกอถอนใจ มองท่านอ๋องของตนทีหนึ่ง กลิ่นอายราชันย์ทั่วร่าง ความสุขุมที่มีเฉพาะผู้ทรงสติปัญญาเหนือหล้า เพียบพร้อมทั้งความฉลาดและความกล้าหาญ ซ้ำยังมีรูปโฉมน่ามอง สิ่งเหล่านี้คือท่านอ๋องของเขาไม่ผิดแน่
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแทงข้างหลัง เพื่อกำจัดศัตรูหัวใจ
แต่ว่า
“ท่านอ๋อง ถึงการแทงข้างหลังร้ายแรงมาก แต่ว่าพวกเราจำเป็นต้อง…ทำให้เรื่องยิ่งเลวร้ายลงไปอีกหรือ” ชิงเกอถามต่ออย่างรวดเร็ว
เป่ยเฉินอี้กวาดสายตามองชิงเกอ เอ่ยเสียงขรึมว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ใจนางไปแล้ว ทั้งยังวางหลุมพรางดักข้ากับนางไปแล้วด้วย ต่อให้ข้าอยากได้ใจนางเท่าไรก็ไม่สำเร็จ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ถือสาเรื่องไร้สาระพวกนี้อีก ต่อให้ได้รับความรู้สึกดีๆ จากนางก็ไม่อาจได้ตัวนาง ทั้งยังจะทำให้แผนการทั้งหมดของข้ารวนไปหมด อย่างนั้นไม่สู้ให้อุบายจะดีกว่า”
เมื่อเอ่ยมาถึงตอนนี้
เป่ยเฉินอี้วางหมากลงตัวหนึ่ง คราวนี้เป็นหมากสีดำ เข้าสกัดหมากขาวเมื่อครู่ให้ตกที่นั่งลำบาก ไม่ช้าเขาก็เอ่ยว่า “อีกอย่าง ข้าเพียงต้องการตัวนาง หาใช่ใจนาง”
นางคือเยี่ยเม่ย
แต่ในใจเขารักจงเจิ้งซี
“ข้าน้อยทราบแล้ว” ชิงเกอรีบพยักหน้า
ก็ถูก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนต้องทำเรื่องไร้ประโยชน์ด้วย อีกอย่างที่ท่านอ๋องต้องการตัวแม่นางเยี่ยเม่ยก็เป็นเพราะว่านางมีใบหน้าเสมือนองค์หญิงซีเท่านั้น
ชิงเกอพลันคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ท่านอ๋อง ท่านว่า…เรื่องในคืนนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคาดเดาได้หรือไม่”
เมื่อเขาถามออกมา เป่ยเฉินอี้ยิ้ม แต่ไม่ตอบคำถาม สีหน้าลุ่มลึกสุดหยั่งได้
……
เยี่ยเม่ยห้อตะบึงออกจากชายแดน ไม่ช้าก็ไปถึงภูเขาที่ใกล้กับชายแดนมากที่สุด
ซินเยว่เยี่ยนวิเคราะห์ได้ไม่เลว จิ่วหุนบาดเจ็บต้องหนีไปได้ไม่ไกล ดังนั้นเขาต้องเลือกสถานที่ที่เขาคิดว่าปลอดภัยหลบซ่อนตัว หรือว่าสถานที่ที่เขาคุ้นเคยเพื่อหลบซ่อน
เพราะอะไรถึงเดาว่าเป็นบนเขาน่ะหรือ
นั่นก็เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่จิ่วหุนเอาเงินให้เยี่ยเม่ยเคยบอกว่า เขายังมีเงินจำนวนมากเก็บไว้ในถ้ำ อย่างนั้นก็พอบอกได้ชัดเจนเลยว่า สำหรับเขาอย่างน้อยถ้ำก็เป็นสถานที่ที่เก็บสมบัติได้ ทั้งยังเป็นที่ที่ยากต่อการสังเกตเห็น
ถึงเขาไม่ใส่ใจเงินทอง แต่อย่างน้อยก็รู้สึกว่าสถานที่ที่อยู่จนคุ้นเคยก็คือถ้ำ
ไม่ว่าจะวิเคราะห์ในแง่ไหน การที่จิ่วหุนไปหลบซ่อนตัวในถ้ำบนเขาใกล้ๆ นี้ ก็ถือว่าเป็นการอธิบายที่สมเหตุสมผล
เยี่ยเม่ยหวังว่าตัวนางจะเดาไม่ผิด
และนางก็มั่นใจว่าตัวเองคาดเดาไม่ผิด
ซินเยว่เยี่ยนไม่เข้าใจสถานการณ์ เห็นเยี่ยเม่ยวิ่งไปเช่นนี้ ก็ไม่ถามมาก รีบวิ่งติดตามไปทันที
……
บนเขา
จิ่วหุนหอบสังขารบาดเจ็บเดินเข้าถ้ำแห่งหนึ่ง ภายในมืดมิด เขาก็ไม่จุดไฟ อย่างไรเสียยามนี้คนที่ไล่ตามสังหารด้านนอกมีจำนวนมาก ขอเพียงจุดไฟก็เป็นการเปิดเผยที่อยู่ของตน
เขานั่งบนพื้น ฉีกชายเสื้อตัวเองออก พันแผลที่มือ
จากนั้นก็สกัดจุดชีพจรที่บ่าเพื่อห้ามเลือดอย่างรวดเร็ว
ตลอดทางที่ผ่านมาล้วนมีรอยเลือดของเขา ถึงเขาจะกำจัดอย่างระมัดระวังไปมากแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีหลุดรอดไปได้ ยามนี้หากออกไปลบรอยเลือด ก็ยิ่งจะมีโอกาสถูกล้อมฆ่าอีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็เพียงโคจรกำลังที่เหลืออยู่ ปรับลมหายใจฟื้นฟูพละกำลังในการต่อสู้ ก่อนที่นักฆ่ากลุ่มแรกจะมาถึง
จิ่วหุนปิดตาลงทันที เริ่มปรับลมหายใจ
บนชุดสีขาวปลอดเต็มไปด้วยรอยเลือด ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขามีสภาพน่าอนาถเช่นนี้
ระหว่างโคจรพลัง เขาก็กระอักเลือดเสียออกมาอีกครั้ง
พิษแผลงฤทธิ์ออกมาแล้ว
คราวนี้ เขาไม่อาจปรับลมหายใจได้อีก ผลลัพธ์ของการฝืนโคจรพลังก็คือยิ่งกระตุ้นให้พิษในกายทำงานไวขึ้น
ในขณะนี้เอง
ปากถ้ำพลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
ฝีเท้าของคนที่ไล่ตามมาครั้งนี้มีจำนวนคนถึงร้อยคน ต่างจากกลุ่มนักฆ่าชุดก่อน ดูแล้วน่าจะเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง
ไม่ช้า ฝีเท้าของคนกลุ่มแรกก็ติดตามมา มีคนจำนวนหลายร้อย
สายตาจิ่วหุนเยือกเย็นลง
รอจนคนเหล่านั้นพุ่งเข้ามาในถ้ำ จิ่วหุนเงยหน้าขึ้นมองพวกเขา แววตานิ่งสงบดังน้ำนิ่ง เผยความอำมหิตออกมา
เขาเอ่ยคำพูดออกมาทีละคำ “พวก-เจ้า-ยั่ว-โท-สะ-จิ่ว-หุน-แล้ว”
คำพูดของเขาดังอยู่ในถ้ำมืดมิด ฟังแล้วชวนหวาดกลัวมาก
น้ำเสียงคล้ายทูตอสุราจากขุมนรก ทำให้คนชุดดำที่เข้ามาในถ้ำในเวลานี้เกิดความหวาดหวั่น
หลังจากคนผู้หนึ่งเดือดดาล ก็จะระเบิดพลังออกมา การบีบคั้นคนให้จนตรอก จะนำมาซึ่งการตอบโต้กลับอย่างรุนแรง
ในขณะที่พวกเขาหวาดกลัว กระบี่ในมือของจิ่วหุนถูกใช้ค้ำยันร่างยืนขึ้นมา
มองไปที่กลุ่มคนเบื้องหน้า เขากดเสียงต่ำเอ่ย “พวกเจ้าเคยได้ยิน อสุราภูตผีร่ำไห้ ซากศพทอดยาวไปพันลี้หรือไม่”
คนชุดดำทั้งหลายเบิกตากว้าง
อสุราภูตผีร่ำไห้เป็นสุดยอดกระบวนท่า ระเบิดพลังออกมาเพียงครั้งเดียวก็เกิดคนตายเป็นเบือ ทว่ากระบวนท่าเลื่องชื่อนี้ หลายร้อยปีที่ผ่านมามีคนใช้ออกเพียงแค่สองคนเท่านั้น อีกทั้งคนทั้งสองยังมีอายุจะแปดสิบปีไปแล้ว
จิ่วหุนก็แค่เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าคนหนึ่ง
จะเป็นไปได้อย่างไร
ไม่ช้า
พวกเขาก็รับรู้แล้วว่าความรู้ของตนช่างคับแคบ