วันที่สามแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่ฟื้น
ไม่เพียงแต่พระชายาฉี อ๋องฉีก็กังวลยิ่งนัก ตวาดด่าหมอหลวงเจียงและคณะ
หลังจากที่หมอหลวงเจียงและคณะจับชีพจรเมิ่งเชี่ยนโยวทีละคนด้วยความเกรงกลัวแล้ว ต่างเห็นตรงกันว่าทุกอย่างปกติดี แต่ปัญหาคือไม่ฟื้นเสียที หลังจากที่ทุกคนปรึกษากันแล้ว จึงลงความเห็นกันว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยังอ่อนแอเกินไป ต้องบำรุงร่างกายให้มาก
อ๋องฉียังจำเรื่องที่พระชายาฉีบำรุงร่างกายมากเกินไปจนทำให้ร่างกายอ่อนแอได้อย่างขึ้นใจ ได้ยินดังนั้นจึงก่นด่าว่า “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ นอกจากสักแต่จะบำรุงแล้ว ยังทำอะไรเป็นอีก ขนานนามตนว่าเป็นผู้มีศาสตร์ที่เชี่ยวชาญแห่งสำนักหมอหลวง ทุกวันนี้พวกเจ้าใช้แต่วิชาเดิมๆ มาหลอกลวงฮ่องเต้และเหนียงเหนียงในแต่ละตำหนักเช่นนั้นใช่ไหม”
ข้อหานี้ใหญ่หลวงนัก หมอหลวงเจียงและคณะตกใจจนเหงื่อตก รีบคุกเข่าลงทันที หมอหลวงเจียงพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋องฉีขอโปรดอย่าได้โกรธเลยขอรับ อาการของแม่นางเมิ่งมิได้ย่ำแย่ลงจริงๆ สองสามวันนี้เลือดลมของนางก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ตามหลักแล้วก็ควรฟื้นแล้ว แต่ว่า…”
ความโกรธของอ๋องฉีทวีเพิ่มขึ้น “ตามหลักแล้วรึ พวกเจ้าเอาชื่อเสียงของสำนักหมอหลวงมาบังหน้าแล้วทำตัวเป็นหมอโดยชอบธรรม ตามหลักเหตุผลแล้วข้าก็ควรจะตัดกะบาลของพวกเจ้าเสีย”
เมื่ออ๋องฉีพอโกรธก็ฆ่าล้างทั้งตระกูลเฮ่อ ทิ้งภาพจำที่อ่อนโยน และมีสัมมาคารวะเมื่อก่อนไป เผยให้เห็นธาตุแท้ที่เป็นสัตว์ป่ากระหายเลือด จากที่หมอหลวงเจียงและคนอื่นๆ กลัวมากอยู่แล้ว เมื่อถูกอ๋องฉีด่าฉาดใหญ่ ก็ยิ่งตกใจกลัวจนตัวสั่นระริก รู้สึกสันคอตนเสียววาบ
ถึงแม้จะโมโห แต่อ๋องฉีก็ยังมีสติ ในฐานะที่หมอหลวงเจียงเป็นหัวหน้าหมอในสำนักหมอหลวง วิชาแพทย์ต้องดีกว่าคนอื่นเป็นแน่อยู่แล้ว หากประหารพวกเขาไป เมิ่งเชี่ยนโยวอาจจะไม่ฟื้นเลยก็ได้ อ๋องฉีทำเสียง ฮึ สั่งว่า “คืนพรุ่งนี้เป็นอย่างช้าสุด หากแม่นางเมิ่งยังไม่ฟื้น พวกเจ้าเตรียมรับผิดได้เลย”
แม้ตอนนี้หัวตนจะถูกคุ้มกันไว้ชั่วขณะ แต่หากเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังไม่ฟื้น เขาก็แค่ได้ทานข้าวเพิ่มอีกสามมื้อเท่านั้น หมอหลวงเจียงและคณะจึงไม่รีรอ รีบปรึกษาหารือกันถึงอาการป่วยของเมิ่งเชี่ยนโยว
หวงฝู่อี้เซวียนแทบไม่สนใจเรื่องทั้งหมดนี้เลย เขาใช้พลังและแรงที่เหลือของตนเฝ้ารอเมิ่งเชี่ยนโยวฟื้นขึ้นมา
ผ่านไปอีกหนึ่งคืน นอกจากคนที่ได้รับบาดเจ็บที่ทนอยู่ไม่ได้ จึงไปพักผ่อนสองสามยามแล้ว แม้แต่บ่าวในจวนอ๋องก็ไม่มีใครกล้าไปนอน ทุกคนต่างยืนเฝ้าในตำแหน่งตนอย่างเงียบๆ ภาวนาให้เมิ่งเชี่ยนโยวรีบฟื้นขึ้นมา ไม่เช่นนั้นในจวนอ๋องคงไม่มีเสียงหัวเราะอีกต่อไป
ราวกับว่าได้ยินเสียงภาวนาของทุกคน และราวกับว่าเสียงเรียกของหวงฝู่อี้เซวียนตลอดสองสามวันที่ผ่านมาได้ผล วันรุ่งขึ้นตอนฟ้าสาง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ขยับตัวเล็กน้อย
หวงฝู่อี้เซวียนจ้องมองนางตลอดเวลา จึงไม่พลาดทุกการเคลื่อนไหวของนางแม้แต่เล็กน้อย เขาดีใจจนร้องด้วยเสียงแหบแห้งเบาๆ ว่า “โยวเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์”
ขนตาของเมิ่งเชี่ยนโยวสั่นไหวแรงขึ้น ผ่านไปนานพอสมควรจึงลืมตาขึ้น มองหวงฝู่อี้เซวียนที่อิดโรยตรงหน้า ขมวดคิ้ว พูดอย่างไม่พอใจว่า “เสียงไม่น่าฟังเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนชะงัก แล้วน้ำตาก็ไหลพราก ยิ้มไปร้องไปพูดขึ้นว่า “ใครให้เจ้าหลับไปหลายวันเช่นนี้เล่า ข้าเลยต้องใช้เสียงน่าเกลียดเช่นนี้กวนให้เจ้าตื่น”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือขึ้น อยากจะเช็ดน้ำตาให้เขา หวงฝู่อี้เซวียนจับมือนางไว้ แนบแก้มตนลงไปบนฝ่ามือของนาง แล้วน้ำตาก็ไหลลงบนมือนาง เขามองตานางพูดเสียงเบาว่า “ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว”
“เจ้าคนโง่!” เมิ่งเชี่ยนโยวน้ำตาคลอ เมิ่งเชี่ยนโยวตำหนิ “ที่นี่มีเจ้า ข้าจะทิ้งเจ้าลงได้อย่างไร”
ใบหน้าหวงฝู่อี้เซวียนปรากฏรอยยิ้มแรกตลอดสี่วันที่ผ่านมา พูดขึ้นว่า “เจ้าพูดเองนะ ต่อไปเจ้าจะอยู่กับข้า ไม่ว่าบนนภาหรือผืนพิภพ หากเจ้าผิดสัญญา ข้าไม่ยอมแน่”
ขอบตาของเมิ่งเชี่ยนโยวแดงก่ำขึ้นอีก น้ำตาก็รินไหลออกมาจากขอบตา พยักหน้ายิ้ม รับคำเบาๆ “ตกลง ข้ารับปากเจ้า”
หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือไปปาดน้ำตาให้นาง และปล่อยให้น้ำตาตนไหลต่อไป จนหยดลงบนผ้าห่มทีละหยดสองหยด แต่กลับประทับลงในใจของเมิ่งเชี่ยนโยว
สาวใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูได้ยินเสียงจากข้างใน แอบเปิดม่านประตูอย่างดีใจโดยม่สนใจเรื่องมารยาท มองเข้าไปข้างใน เมื่อเห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวฟื้นแล้วจริงๆ ก็รีบวิ่งไปรายงานพระชายาฉีทันที
พระชายาฉีตื่นนานแล้ว แต่ไร้ซึ่งความกระฉับกระเฉง นั่งถอนหายใจอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินรายงานจากบ่าวหญิง พลันได้สติขึ้นมา ลงจากเตียงทันที ยังไม่ทันสวมใส่เรียบร้อยก็วิ่งออกไปทันที หลิงหลงจะห้ามไว้ก็ห้ามไม่ทัน
อึดใจเดียวก็วิ่งไปถึงห้องของหวงฝู่อี้เซวียน มองเมิ่งเชี่ยนโยวที่ตื่นขึ้นแล้วพลางหอบหายใจ ใจก็ชื้นขึ้น แล้วขอบตาก็แดง
พระชายาฉีเบียดตัวเข้าไปข้างหวงฝู่อี้เซวียน นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง ถามอย่างดีใจว่า “เมิ่งเชี่ยนโยว ขอบคุณฟ้าขอบคุณดิน เจ้าตื่นเสียที สองสามวันนี้ข้าเป็นห่วงเหลือเกิน”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ทานข้าวแม้แต่เม็ดเดียวตลอดสองสาวันที่ผ่านมา ร่างกายทรุดโทรมมาก เมื่อถูกพระชายาฉีเบียดเข้ามา ร่างก็เซล้มนั่งลงบนพื้น รู้สึกวูบไปพักหนึ่ง จนเกือบจะสลบไป
พระชายาฉีกลับไม่แม้แต่มองเขา สนใจแต่เมิ่งเชี่ยนโยว “หิวไหม ให้ข้าไปทำข้าวต้มให้ไหม”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสภาพทุลักทุเลของหวงฝู่อี้เซวียน ก็พ่นหัวเราะออกมาเบาๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงไม่พอใจของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น “เสด็จแม่ ข้าเป็นบุตรแท้ๆ ของท่านนะ ข้าก็ไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว”
พระชายาฉีหันไปถลึงตาใส่เขา พูดขึ้นว่า “สมควร! ใครให้เจ้าไม่ปกป้องโยวเอ๋อร์ดีๆ ล่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนอ้ำอึ้ง มองพระชายาฉีอย่างไม่น่าเชื่อ ได้แต่ยืนนิ่งไม่พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางเขาทุลักทุเลเป็นครั้งแรก หัวเราะออกมา จนสะกิดโดนแผลของตน เจ็บจนร้องซี้ดเบาๆ
พระชายาฉีรีบถามขึ้นว่า “เป็นอะไร เจ็บแผลหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนก็รีบลุกขึ้น ถามอย่างกังวลว่า “เจ็บแผลขนาดนี้…” เขาลุกขึ้นเร็วเกินไป หน้ามืดไปครู่หนึ่ง ล้มลงไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว
ในขณะที่พระชายาฉีตกใจ ก็พลางใช้มือผลักตัวเขาออกไป
ในขณะที่หวงฝู่อี้เซวียนล้มตัวลงไป เขาก็ได้สติ รีบยื่นมือไปจับขอบเตียงไว้ ประคองตัวเองไม่ให้ร่างทับโดนเมิ่งเชี่ยนโยว ใครจะไปรู้ว่าเมื่อถูกพระชายาฉีผลักออกสักครู่นี้ ร่างที่ทรุดโทรมของเขาก็ถูกนางผลักออก ทั้งร่างเอนไปทางหัวของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วนางก็ได้ยินเสียง ตึง หัวของหวงฝู่อี้เซวียนที่ไร้เรี่ยวแรงก็ชนเข้ากับราวเตียงอย่างจัง จนปรากฏดาวนับล้านดวงต่อหน้าเขา
เมื่อเขาไม่ได้ล้มทับบนตัวและแผลของเมิ่งเชี่ยนโยว พระชายาฉีก็โล่งอก ไม่แม้แต่จะสงสาร กลับหันมาตำนิหวงฝู่อี้เซวียน “เจ้านี่ไม่ระวังเลย ถ้าทับโดนแผลของโยวเอ๋อร์ ข้าไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่”
หวงฝู่อี้เซวียนจับหัวที่เจ็บแปลบของตน ส่ายหัวไปมา หลังจากสะบัดจนดาวตรงหน้าหมดไป พูดขึ้นอย่างหนักแน่นอีกครั้งว่า “เสด็จแม่ นี่ข้า บุตรแท้ๆ ของท่านเองนะขอรับ”
พระชายาฉีโบกมือไปมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “เรื่องนี้เจ้าไม่พูด คนทั้งโลกก็รู้”
เมิ่งเชี่ยนโยวอดหัวเราะไม่ได้อีกครั้ง เหลือบมองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความสงสาร แล้วเก็บสีหน้าอมยิ้มของตน พูดกับพระชายาฉีด้วยความรู้สึกผิดว่า “ทำให้ท่านเป็นห่วงแย่เลยนะเพคะ”
พระชายาฉีตารื้นอีกครั้ง ก้มหน้าลง ดึงผ้าห่มห่มเท้านาง พยายามปกปิดอารมณ์ของตนไว้ แต่ก็กลั้นไว้ไม่อยู่ น้ำตาไหลเอ่อ พูดขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือว่า “สองสามวันนี้ ข้ารู้สึกเจ็บเหมือนถูกเฉือนเนื้อไป เจ้าน่ะ ต่อไปห้ามบาดเจ็บอีกนะ ข้าทนไม่ไหวแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวน้ำตาคลอ พยักหน้าเบาๆ “หม่อมฉันสัญญา ต่อไปจะไม่เป็นอีกแล้วเพคะ”
พระชายาฉีก็พยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนยืนอยู่ข้างๆ เม้มปากไม่พูดอะไร
อ๋องฉีและหมอหลวงก็ได้ข่าวเมิ่งเชี่ยนโยวฟื้นแล้ว รีบเข้ามาหา ยิ่งเมื่อหมอหลวงเจียงรู้ว่าหัวของตนถูกคุ้มกันไว้แล้วก็ยิ่งดีใจ มาถึงเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน รอเข้าพบ
เมื่อพระชายาฉีพูดคุยกับเมิ่งเชี่ยนโยวเสร็จแล้ว ก็นำผ้าเช็ดหน้าออกมาวางบนข้อมือของนาง แล้วจึงสั่งให้คนข้างนอกเข้ามา
ทุกคนรีบเดินเข้ามา เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางมองไปที่เขา หมอหลวงเจียงก็รู้สึกยินดี เงยหน้าหัวเราะ เดินก้าวยาวไปหยุดอยู่หน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดด้วยความดีใจว่า “แม่นางเมิ่ง ฟื้นเสียทีนะ หากเจ้าไม่ฟื้นอีกนี่ หัวข้าและคนอื่นคงคุ้มกันไม่อยู่แน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเบาๆ พูดเย้าแหย่ว่า “อายุปูนนี้แล้ว หัวของท่านแข็งปึกจะตายไป จะขาดไปง่ายๆ ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
เมื่อนึกถึงตอนที่เจอกับเมิ่งเชี่ยนโยวครั้งแรก เนื่องจากรักษาพระชายาฉีไม่หาย อ๋องฉีพูดขู่ว่าจะตัดหัวตน จนถึงเรื่องโรคระบาดในเมือง คิดว่าชีวิตใกล้ถึงฝั่งของตนจะจบลงตรงนั้นเสียแล้ว จนถึงบัดนี้ที่มารักษาเมิ่งเชี่ยนโยว ทุกครั้งก็รอดตัวไปอย่างหวุดหวิด หมอหลวงเจียงยิ้ม พูดขึ้นว่า “ทั้งหมดนี้ก็เพราะแม่นางเมิ่ง ข้าจึงมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้”
หมอหลวงสองสามท่านที่ยืนอยู่ข้างหลังก็หัวเราะเสียงเบา
พระชายาฉีลุกขึ้น หมอหลวงนั่งลง มือแตะไปที่ชีพจรของเมิ่งเชี่ยนโยว ช่วยจับชีพจรอย่างละเอียด แม้ชีพจรจะเต้นเบา แต่มั่นคง ไม่เป็นอะไรมากแล้ว จึงยิ้มและพยักหน้า “อาการไม่เป็นอะไรมากแล้ว แม่นางดูแลตนให้ดีก็พอ สักสองสามเดือนก็กลับมาเป็นปกติแล้วขอรับ”
บาดเจ็บหนักขนาดนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวรู้มากกว่าเขา ย่อมรู้อาการร่างกายของตนดี แต่ที่ให้เขาตรวจชีพจร ก็เพื่อให้พระชายาฉี อ๋องฉี และหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินและหายห่วง เมื่อหมอหลวงเจียงพูดจบ ก็ยิ้มแล้วพูดขอบคุณ “ขอบคุณเจ้าค่ะ”
หมอหลวงเจียงตกใจจนรีบโบกมือ “แม่นางเมิ่งเกรงใจไปแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำ”
อ๋องฉี พระชายาฉีและหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจ อ๋องฉีสั่งบ่าวไปว่า “ไปยกน้ำแกงโสมมาให้แม่นางเมิ่งดื่ม”
ข้างนอกมีเสียงขานรับ แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
หมอหลวงเจียงและคณะก็วางใจ กำชับเรื่องอาหารการกินอยู่ครู่หนึ่ง จึงเดินจากไป
จากนั้นอ๋องฉีก็เดินออกไป
น้ำแกงโสมถูกยกเข้ามา หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือหวังจะรับมา แต่พระชายาฉีกลับแย่งไป พูดว่า “ในครัวมีข้าวต้มอยู่ เจ้าก็ไปกินหน่อยเถอะ ไม่ได้ทานกินมาหลายวัน ร่างกายที่แข็งแรงเพียงใดก็ต้านทานไม่ไหวหรอก”
หวงฝู่อี้เซวียนที่ไม่ได้พักผ่อนมาสี่วัน ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรง จึงไม่ได้ต่อต้านใดๆ สั่งให้คนใช้ยกข้าวต้มมาที่ห้อง จะได้ดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวและทานไปด้วย
พระชายาฉีป้อนน้ำแกงโสมให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างระมัดระวังจนนางทานหมดไปครึ่งถ้วย ช่วยนางเช็ดปาก เมื่อเห็นสีหน้านางยังเพลียอยู่ จึงพูดขึ้นว่า “ร่างกายเจ้ายังอ่อนแอ พักผ่อนก่อนเถอะ ยังไม่ต้องคิดเรื่องอื่น”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเบาๆ หลับตาลง สักครู่ก็ได้ยินเสียงหายใจอย่างเป็นจังหวะ
เมื่อเห็นนางหลับไป พระชายาฉีก็ลุกขึ้น ส่งสัญญาณมือให้หวงฝู่อี้เซวียน แล้วแม่ลูกทั้งสองก็ย่องเดินออกไป
เมื่อเดินถึงข้างนอก สายตาพระชายาฉีก็แสดงความสงสาร พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “เจ้าก็ไม่ได้พักมาหลายวันแล้ว ไปพักที่เรือนข้างๆ เถอะ แม่ช่วยดูแลโยวเอ๋อร์เอง”
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้าปฏิเสธ “ขอบพระคุณเสด็จแม่ แต่ให้ข้าดูแลเองเถอะขอรับ ไม่เช่นนั้นข้าไม่สบายใจ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว พระชายาฉีเข้าใจความหวาดกลัวของเขา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พูดขึ้นว่า “ก็ได้ เจ้ามีสติหน่อยแล้วกัน หากทนไม่ไหวก็ส่งคนไปเรียกแม่มาช่วยนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า หลิงหลงประคองพระชายาฉีเดินออกจากเรือนไป
หวงฝู่อี้เซวียนเดินย่องเข้าไปในห้อง ตรงไปที่เตียง ถอดรองเท้าตนออก ข้ามตัวเมิ่งเชี่ยนโยวไปข้างๆ นาง เอื้อมแขนพาดไปบริเวณหน้าอกนาง โอบกอดนางไว้ และหลับไปอย่างอิ่มเอมใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวหลับไปอีกหนึ่งวันหนึ่งคืน เมื่อนางลืมตาอีกครั้ง รอบเตียงก็เต็มไปด้วยผู้คน และใบหน้าที่นางจำได้ทันทีคือใบหน้าของเมิ่งซื่อที่แสดงสีหน้ากังวลอยู่
“โยวเอ๋อร์ เจ้าตื่นแล้วหรือ” เมื่อเห็นนางตื่น เสียงเมิ่งซื่อก็เต็มไปด้วยความดีใจ
“ท่านแม่” เมิ่งเชี่ยนโยวทำเสียงเล็กออดอ้อน
น้ำตาเมิ่งซื่อไหลลงมา ตอบด้วยเสียงสั่นเครือว่า “แม่อยู่นี่”