ตอนที่ 351 อู๋เหนียงในตำนาน

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ทันใดนั้นก็เห็นว่าจีเฉวียนกำลัง….. 

 

 

พุ่งเข้ามา กอดนางเอาไว้ 

 

 

แล้วก็ร้องไห้! 

 

 

ฝ่าบาทกอดนางเอาไว้ แล้วก็สะอึกสะอื้น สะอื้นฮึกฮักอยู่ครึ่งค่อนวัน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกลายเป็นก้อนหินไปแล้ว 

 

 

สวรรค์โปรด นี่มันสถานการณ์อะไรกัน! 

 

 

นางมองดูจีเฉวียนที่สะอึกสะอื้นซุกอยู่ตรงหัวไหล่ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าตนเองที่เป็นมารดาเลี้ยงสมควรจะต้องปลอบใจเขาเสียหน่อย 

 

 

ลูกเลี้ยงคงได้รับความสะเทือนใจอันใดอย่างใหญ่หลวง จึงได้ทำท่าเสมือนหัวใจถูกแทงมาเช่นนี้ 

 

 

นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยยื่นมือออกไปตบหลังของเขาเบาๆ กล่าวว่า “เอ่อก็นะ…หม่อมฉันยังมิได้ถึงคราวจะไปสวรรค์เสียหน่อย แล้วก็ไม่ได้ตั้งครรภ์ทารกที่ไหนด้วย ฝ่าบาทกลับทรงร่ำไห้เช่นนี้ ใช่เพราะว่าหม่อมฉันไปกระทำเรื่องอกตัญญูต่อฟ้าดินอันใดหรือไม่ ถึงได้ทำให้พระองค์ต้องเสียพระทัยเช่นนี้?” 

 

 

พอตู๋กูซิงหลันเอ่ยปากขึ้นมา ฮ่องเต้ก็ทรงหลั่งน้ำตาอย่างโศกเศร้ากว่าเดิม 

 

 

“ซิงซิง เราช่างไม่ได้เรื่องเลยใช่หรือไม่?” เขากอดนางเอาไว้ด้วยความเสียใจ วางคางอยู่บนหัวไหล่ของนาง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่ค่อยเข้าใจ นี่มันเกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องที่เขาไม่ได้เรื่องด้วย? 

 

 

“ตอนอยู่แคว้นเซอปี่ซือ เราก็สูญเสียเจ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง หากว่าเรื่องที่เจ้าตั้งครรภ์เป็นจริงขึ้นมา ก็ยิ่งแสดงว่าเราปกป้องเจ้าไม่ดี เจ้าไม่รู้หรอกว่าเมื่อครู่เราอยากจะฆ่าบุรุษทิ้งไปให้หมดทั้งโลก” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “???” ไม่ใช่แล้วมั้ง ทำไมความสัมพันธ์ของพวกนางมันถึงได้ไปคล้ายคลึงกับการเป็นคู่รักกันเข้าไปทุกทีแล้ว? 

 

 

“ยังโชคดี ที่ย่วนสื่อผู้นั้นเลอะเลือนไปเอง” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้แต่ว่าไหปลาร้าของนางเปียกชุ่มไปด้วยหยดย้ำตาของเขา ในใจของนางยิ่งเหมือนมีคลื่นโหมสาดเข้ามา….. 

 

 

ชั่วขณะนั้นนางเองก็ไม่รู้ว่าสมควรจะพูดอะไรออกไปดี ได้แต่ใช้มือตบแผ่นหลังของเขาเบาๆ ต่อไป 

 

 

“ฝ่าบาท ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นความเข้าใจผิดของพวกเราเอง แต่ว่าพระองค์กลับยอมรับต่อหน้าผู้อื่นในห้องว่าท่านคือบิดาของเด็ก ไม่เกรงว่าทรงหาความลำบากให้พระองค์เองหรือเพคะ?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกล่าวต่อไป “กระโดดออกไปเป็น จอมยุทธ์รับจาน [1] เช่นนี้ มิใช่นิสัยที่พระองค์น่าจะกระทำ” 

 

 

จีเฉวียน “หากว่าเราคือบิดาของเด็ก เราไหนเลยจะต้องร้องไห้ ดีใจละไม่ว่า” 

 

 

พระองค์ทรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตรัสต่อไปว่า “จอมยุทธ์รับจานคือผู้ใด เขาเก่งกาจมากหรือ?” 

 

 

คำถามนี้ตู๋กูซิงหลันสมควรจะอธิบายให้เขาฟังอย่างไรดี? 

 

 

“ก็คือ….วีรบุรุษที่ยอมละทิ้งเหตุผล ยอมทำทุกอย่างเพื่อความรัก” 

 

 

“เช่นนั้นเราก็จะขอเป็นจอมยุทธ์รับจานผู้นั้นแล้ว” จีเฉวียนตรัสอย่างตัดสินพระทัยแล้ว “เราก็คือยอดจอมยุทธ์รับจานเหล่าโก่วปี้” 

 

 

วิญญาณทมิฬที่อยู่ข้างๆ แทบจะพ่นหัวเราะออกมาแล้ว ตู๋กูซิงหลันเจ้ามันร้ายกาจจริง! 

 

 

หากว่าฮ่องเต้สุนัขได้รู้ถึงความหมายที่แท้จริงของคำพวกนี้ละก็ เกรงว่าจะจับตัวนางมาฟาดก้นสามวันสามคืนก็ไม่หยุดเป็นแน่ 

 

 

อยู่ๆ ตู๋กูซิงหลันก็ชักจะรู้สึกว่าเขาช่างน่ารักจริงๆ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันปลอบเขาเบาๆ นางเห็นฝ่าบาทขนาดมีน้ำตานองหน้า ก็ยังมีสีพระพักตร์ที่เอาจริงเอาจัง 

 

 

ไหนเลยจะเหมือนยามปกติที่ปั้นพระองค์เป็นเทพเซียนผู้เย็นชาประดุจภูเขาน้ำแข็งกัน 

 

 

ยามนี้ตู๋กูซิงหลันถึงได้เข้าใจว่า พระองค์ทรงเป็นคนธรรมดาที่มีชีวิต เป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวอย่างยิ่ง 

 

 

เพียงแต่ว่าพระองค์เก็บงำความรู้สึกเอาไว้มากเกินไป มิว่าจะสุขทุกข์หรือว่าเป็นเช่นไรก็ไม่ยอมแสดงออกมา นี่คงจะเป็นผลมาจากการที่ต้องต่อสู้กับคนทั้งในที่ลับและที่แจ้งกระมัง 

 

 

อยู่ๆ ตู๋กูซิงหลันก็ช่างจะรู้สึกสงสารเขาตะหงิดๆ ขึ้นมาบ้าง 

 

 

นางยื่นมือออกไป ปาดเช็ดน้ำตาบนดวงพักตร์ของจีเฉวียนจนแห้ง คนก็ค่อยๆ สงบลงทีละน้อย 

 

 

“ฝ่าบาททรงเป็นคนดี” 

 

 

นางทูลออกไป 

 

 

“เราเพียงอยากดีกับเจ้าเท่านั้น” 

 

 

จีเฉวียนทรงปล่อยให้นางเช็ดพระพักตร์ให้ มือของนางแสนจะอบอุ่น พอสัมผัสถูกใบหน้าที่เย็นยะเยือกของเขากลับให้ความรู้สึกที่สบายเหลือเกิน 

 

 

“ก่อนหน้านี้เราไม่ดีกับเจ้า ต่อไปจะต้องชดเชยให้มากๆ” 

 

 

พระองค์คว้ามือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ จดจ้องมองดูนาง ด้วยความเกรงว่านางจะไม่ยอมให้โอกาสพระองค์ 

 

 

………………………. 

 

 

ที่ด้านนอกตำหนักเฟิ่งหมิงกง ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ยืนอยู่นานแล้ว 

 

 

นับตั้งแต่ที่ตู๋กูซิงหลันกลับมา ผู้คนทั้งหลายก็เอาแต่รายล้อมอยู่รอบตัวนาง 

 

 

ยังดีที่….ท่าทางนางจะมิได้รู้เลยว่าคนที่ลงมือกับนางยามที่อยู่ในช่องว่างของมิติเวลานั้น ก็คือตนเอง 

 

 

ในต้าโจว เขายังคงเป็นท่านราชครูผู้สูงส่ง 

 

 

จีเฉวียนเองก็ให้ความนับถือเขาตามสมควร 

 

 

แต่เมื่อได้เห็นพวกเขายิ่งทียิ่งใกล้ชิดกันอย่างหวานชื่น เขาก็รู้สึกว่าทนไม่ไหวอีกต่อไป 

 

 

สายลมยามค่ำคืนเย็นยะเยือก ละอองหิมะที่ตกลงบนร่างของเขากลับกลายเป็นหมึกสีดำ 

 

 

……………… 

 

 

พระตำหนักตี้หัว 

 

 

กลางดึกสงัด สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งถูกเรียกเข้าวัง 

 

 

สตรีผู้นั้นสวมชุดคลุมสีดำหนาตลอดทั้งร่าง กระทั่งเดินเข้าไปในตำหนักตี้หัวร่างกายถึงได้พบกับความอบอุ่นจากกระถางไฟที่จุดอยู่ทั่วทั้งตำหนัก 

 

 

ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ในห้องทรงพระอักษร ทรงฉลองพระองค์ที่ตัดมาอย่างพอดีตัวส่งเสริมให้เห็นถึงพระวรกายที่งดงามไร้ที่ติ 

 

 

สตรีผู้นั้นคุกเข่าอยู่ที่เบื้องหน้าของพระองค์ ทั้งที่ก้มศีรษะลงไป ก็ยังอดไม่ได้ที่จะแอบมองฝ่าบาทอยู่หลายครั้ง 

 

 

ภายใต้แสงเทียนสลัว ช่วยทำให้พระองค์มิได้น่าหลงใหลจนเกินไป 

 

 

“หม่อมฉันแม่สื่อของทางการนางอู๋ซื่อ ถวายพระพรฝ่าบาท” นางถวายคำนับลงไป ขณะที่สายตาก็ยังคอยกวาดอยู่บนพระวรกายของฝ่าบาท 

 

 

จีเฉวียนทรงวางฏีกาในพระหัตถ์ลง เหลือบพระเนตรมองนางแวบหนึ่ง “นั่งลงได้” 

 

 

สตรีผู้นั้นค่อยเสาะหาเก้าอี้นั่งลง 

 

 

“หม่อมฉันขอขอบพระทัยในพระเมตตาของฝ่าบาทแทนบุรุษที่บ้านผู้นั้น ช่วงก่อนหน้านี้เขาเป็นแค่เด็กต้มยา จึงถูกญาติและคนใกล้ชิดเห็นเป็นที่ขบขันอยู่ไม่น้อย ตอนนี้ได้เป็นปลาพลิกตัว จึงกลับบ้านอย่างยินดีปรีดา” นางอู๋ซื่อเป็นคนที่รู้จักหาหัวข้อมาสนทนา ถึงแม้ว่าที่นั่งอยู่เบื้องหน้าจะเป็นฮ่องเต้นางก็ไม่ได้หวาดกลัวสักเท่าไร 

 

 

ฮ่องเต้เองก็ทรงเป็นคนเช่นกัน ….หากมิได้คิดการใหญ่ก่อกบฏอะไร ก็คงจะไม่ถูกบั่นหัวง่ายๆ หรอก 

 

 

“ซุนเชวี่ยวิชาแพทย์สูงล้ำ ตำแหน่งย่วนสื่อนี้ให้เขาเป็นก็ถือว่าสมควรแล้ว” จีเฉวียนตรัสต่อไป “ก่อนหน้านี้เราละเลยเขาไป ต่อไปชีวิตของพวกเจ้าทั้งสองจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน” 

 

 

“หม่อมฉันขอบพระทัยในพระเมตตาเพคะ” นางอู๋ซื่อก้มศีรษะลงไปอีกครั้ง 

 

 

จากนั้นนางก็จบคำสนทนาเรื่องคนในครอบครัวลงไป ตนเองเป็นฝ่ายทูลถามจีเฉวียนว่า “ฝ่ายมีรับสั่งให้หม่อมฉันมาเข้าเฝ้าในยามดึก หรือว่าเส้นทางในการไล่ตามความรักจากภรรยาประสบปัญหาอันใดหรือเพคะ?” 

 

 

ฝ่าบาททรงพยักพระพักตร์ ปลายพระดัชนีเคาะลงกับโต๊ะทรงงานเบาๆ “อู๋เหนียงจื่อ เรารู้สึกว่านางชอบเรา แต่ก็คล้ายไม่ได้ชอบเรา” 

 

 

“ฝ่าบาทรับสั่งเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเพคะ?” อู๋เหนียงจื่อรับฟังอย่างตั้งใจ ที่จริงแล้วบุรุษที่งดงามอย่างเจิดจรัสและทรงอำนาจเช่นฝ่าบาท สตรีใดบ้างเห็นแล้วจะไม่หวั่นไหวกัน 

 

 

ตลอดชีวิตนี้นางผูกด้ายแดงมาแล้วนับไม่ถ้วน ที่ยากจะจัดการมากที่สุดก็คือคุณชายเจ้าสำราญและคุณหนูสูงศักดิ์คู่นั้น 

 

 

นางถ่ายทอดประสบการณ์กว่าครึ่งชีวิตถวายฝ่าบาทไปแล้ว ฝ่าบาทยังทรงไล่ตามไม่สำเร็จอีกหรือ? 

 

 

ในใจของอู๋เหนียงจื่อรู้สึกวิตกแต่อย่างไรก็ยังคงไม่ยินยอม 

 

 

ในโลกนี้ไม่ควรจะมีเรื่องจับคู่มงคลใดที่นางทำไม่สำเร็จต่างหาก 

 

 

“นางมิได้ปฏิเสธความใกล้ชิดจากเรา แต่กลับยังไม่ยอมรับความจริงใจของเรา” จีเฉวียนตรัสอย่างปวดพระเศียร ทรงรู้สึกว่าหนทางความรักของพระองค์มาถึงคอขวดแล้ว พระองค์ปรารถนาจะเข้าใกล้ซิงซิงอีกก้าวหนึ่ง 

 

 

“นี่….” สมองของอู๋เหนียงจื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางเกือบจะหลุดพูดออกมาว่าฝ่าบาททรงเป็นพวกบุรุษที่ถูกหลอกใช้เสียแล้ว 

 

 

ประโยคนี้นางจะกล้ากล่าวออกไปได้อย่างไร มิใช่ว่าเท่ากับแส่หาความตายหรอกหรือ? 

 

 

ดูเอาสิ ก็เล่นไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ แสดงว่าจะเก็บเอาไว้ใช้งานมิใช่หรือไร? 

 

 

“คงมิใช่ว่าสตรีผู้นั้นมีคนในใจแล้ว และยังพัวพันกันอยู่ ถึงได้ปฏิบัติต่อฝ่าบาทเช่นนี้?” อู๋เหนียงจื่อกล่าวอย่างลื่นไหล 

 

 

นางย่อมรู้ว่าแม่นางผู้นั้นก็คือไทเฮาน้อยแต่ก็ไม่กล้าระบุชื่อเสียงเรียงนามออกไป 

 

 

คนที่บ้านนั่นวิ่งวุ่นระหว่างพระตำหนักเฟิ่งหมิงกงและพระตำหนักตี้หัวทั้งวัน ทั้งยังมักจะเอ่ยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฝ่าบาทและไทเฮาน้อยอยู่หลายครั้ง 

 

 

นางกล่าวแค่ประโยคเดียวสีหน้าของจีเฉวียนก็เปลี่ยนไปในทันที 

 

 

สมองของพระองค์ผุดชื่อของคนผู้หนึ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว—ซื่อมั่ว 

 

 

บุรุษที่พระองค์เองก็ไม่เคยจะได้พบผู้นั้น ช่างเหมือนกับวิญญาณร้ายที่คอยหลอกหลอนอยู่เสมอ 

 

 

พออู๋เหนียงจื่อได้เห็นสีพระพักตร์ ก็รู้ทันทีเลยว่ามีคนเช่นนั้นอยู่ผู้หนึ่ง 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

ตอนต่อไป “ตู๋กูถิง” 

 

 

—— 

 

 

[1] 接盘侠:คนที่ยอมรับของเหลือ/ของหรือคนที่ผู้อื่นทิ้ง (สำนวนชาวเน็ต) ​​​​​​​