หลังจากที่เย่ซิงเฉินบอกเล่าข่าวคราวทุกอย่างที่นางรู้มาให้กับหลิงหยุนฟังแล้วจู่ๆ หลิงหยุนก็ก้าวเท้ามายืนอยู่ตรงหน้านาง และก้มหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่งามของนาง พร้อมกับยิ้มสดใสเผยให้เห็นฟันขาวเรียงรายสวยงาม และลักยิ้มที่แก้มซ้ายของตนเอง จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า
“ครั้งนี้เจ้าคงต้องทำงานอย่างหนักเลยสินะ!”
เย่ซิงเฉินถึงกับหน้าร้อนผ่าวแต่ก็แสร้งมองไปทางประตูเพื่อหลบสายตาของหลิงหยุน และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามยังคับให้นิ่งเรียบ
“ไม่นี่..ข้ามีเครือข่ายที่เชื่อถือได้คอยส่งข่าวให้ ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร!”
หลิงหยุนย่อมรู้อยู่แล้วว่าเย่ซิงเฉินนั้นมีแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้อยู่ในปักกิ่งแต่ภายในเวลาเพียงแค่สองสามวัน นางสามารถหาข่าวมาได้มากมายถึงเพียงนี้ ย่อมหมายความว่านางเองก็ต้องจ่ายไปในจำนวนไม่น้อยเช่นกัน!
แต่แล้วจู่ๆหลิงหยุนก็หยุดพูด และเอื้อมมือไปจะคว้าแขนของเย่ซิงเฉินไว้..
“นี่เจ้า..”
เย่ซิงเฉินถึงกับหน้าเปลี่ยนสีขึ้นมาทันทีเพราะคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ หลิงหยุนจะเอื้อมมือมาคว้าแขนของตนเองเช่นนี้ ด้วยสัญชาติญาณเย่ซิงเฉินจึงกระโดดถอยหลังหนีทันที!
หลิงหยุนจึงคว้าได้เพียงแค่ความว่างเปล่าแต่ก็รีบใช้มังกรพรางร่างตามเย่ซิงเฉินไปทันทีเช่นกัน..
“นี่เจ้าคิดจะหนีงั้นรึ”
เย่ซิงเฉินเองก็ไม่ยอมหยุดเมื่อเห็นหลิงหยุนยังคงกระโดดตามมาเช่นนั้น นางจึงรีบกระโดดถอยหลังต่อไปเช่นกัน..
ในเมื่อเย่ซิงเฉินไม่หยุดหลิงหยุนจึงไล่ตามอยู่เช่นนั้น และทั้งคู่ก็ไม่ต่างจากเด็กที่กำลังเล่นไล่จับอยู่ภายในห้อง และเมื่อหลิงหยุนใกล้จะจับเย่ซิงเฉินได้แล้ว นางจึงร้องตะโกนออกมาอย่างโมโห..
“หลิงหยุน..เจ้าหยุดได้แล้ว!”
ในที่สุดหลิงหยุนก็สามารถคว้าแขนของเย่ซิงเฉินไว้ได้พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ถ้าเจ้ายังคงหนีข้าอีก.. ครั้งนี้ข้าจะไม่เพียงแค่จับมือเจ้าแล้ว!”
เย่ซิงเฉินดิ้นรนพร้อมกับขู่หลิงหยุนว่า“หลิงหยุน.. ขืนเจ้ากล้ารังแกข้าแม้แต่นิดเดียว ข้าจะฟ้องท่านอาจารย์!”
เวลานี้หลิงหยุนอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเอ้อเฉิงชี่เย่ซิงเฉินจึงไม่สามารถเอาชนะหลิงหยุนได้อีก นางจึงได้ใช้วิธีนี้มาขู่หลิงหยุนแทน..
แต่แล้วเย่ซิงเฉินก็ต้องตกใจสุดขีด..เพราะทันทีที่หลิงหยุนจับมือของนางไว้ได้ เขาก็ได้ถ่ายเทพลังปราณลงไปในร่างกายของเย่ซิงเฉิน และพลังปราณของหลิงหยุนนั้นก็คล้ายคลึงกับปราณปีศาจที่เย่ซิงเฉินฝึกฝน ทำให้ไม่เกิดการผลักดันกันภายในร่างกาย..
จากนั้นพลังปราณที่หลิงหยุนถ่ายเทลงไปก็ค่อยๆไหลเข้าสู่จุดตันเถียนของเย่ซิงเฉิน และจากจุดตันเถียนก็ไหลเวียนเข้าสู่เส้นลมปราณวิสามัญทั้งแปด ก่อนจะไหลเข้าสู่จุดหย่งเฉวียนกลางฝ่าเท้าต่อไป และเริ่มหมุนเวียนอยู่เช่นนั้นไปเรื่อยๆ..
พลังปราณภายในร่างกายของเย่ซิงเฉินหมุนเวียนอยู่เช่นนั้นทำให้นางรู้สึกร่างกายเบาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ซิงเฉิน..เจ้าจดจำเส้นทางการเดินลมปราณเช่นนี้ไว้ให้ดี!”
กลับกลายเป็นว่าหลิงหยุนไล่จับเย่ซิงเฉินเช่นนั้นไม่ใช่เพราะต้องการเอารัดเอาเปรียบนาง แต่ต้องการถ่ายเทพลังปราณให้กับนางนั่นเอง!
“เจ้าตามข้ามา!”
หลิงหยุนร้องบอกเย่ซิงเฉินพร้อมกับดึงมือของนางให้ตามเขาออกไปนอกบ้านทันที.. เวลานี้เย่ซิงเฉินรู้สึกว่าร่างกายของตนเองนั้นเบาราวกับขนนกคล้ายกับว่าร่างของตนเองได้กลืนเป็นส่วนหนึ่งกับอากาศรอบๆตัว แม้กระทั่งถูกหลิงหยุนดึงร่างเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็ว นางก็ยังไม่รู้สึกถึงแรงต้านที่ควรจะต้องเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย..
วิชาตัวเบาของหลิงหยุนนั้นเคลื่อนที่ได้รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์จนนางต้องเอ่ยถามออกมา..
“นี่มันวิชาอะไรกันเหตุใดจึงเคลื่อนที่ได้รวดเร็วเช่นนี้!”
“นี่เรียกว่าวิชามังกรพรางร่าง..หากเจ้าเรียนวิชานี้ เจ้าจะสามารถใช้วิชาเงาลวงตาได้!”
“ซิงเฉิน..เจ้าเป็นธิดาพรรคมารจึงมีศัตรูมากมาย ต่อไปข้าจะถ่ายทอดวิชานี้ให้กับเจ้า เจ้าจะได้ใช้มันปกป้องตัวเองได้!”
เย่ซิงเฉินจดจำเส้นทางการเดินลมปราณในแบบที่หลิงหยุนใช้พลังปราณของตนเองนำทางให้อยู่เพียงแค่สองสามรอบนางก็สามารถจดจำเส้นทางลมปราณได้อย่างแม่นยำ..
เย่ซิงเฉินรีบร้องบอกหลิงหยุนทันที“เจ้าเป็นฝ่ายพูดเองว่าจะสอนวิชานี้ให้กับข้า ห้ามเจ้ากลับคำล่ะ!”
หลิงหยุนยิ้มและตอบกลับไปตามตรง“ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่อยากเรียนมากกว่าน่ะสิ!”
“นี่เจ้าจะพาข้าไปที่ใหนกันแน่”เย่ซิงเฉินเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ถูกหลิงหยุนลากออกมานอกบ้านเช่นนี้
หลิงหยุนยิ้มให้พร้อมกับยกมือชี้ไปทางภูเขาด้านตะวันออกและตอบไปว่า “เนินเขาตรงโน้น.. ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก!”
เย่ซิงเฉินหันหน้ามองกลับเข้าไปในบ้านและมีท่าทีลังเล นั่นเพราะของขวัญที่หลิงหยุนมอบให้กับนางนั้นยังวางอยู่บนโต๊ะ นางจึงไม่สบายใจนักหากจะออกไปโดยที่วางมันไว้เช่นนั้น.. ดูเหมือนหลิงหยุนเองก็จะอ่านใจเย่ซิงเฉินออกเขาจึงพูดขึ้นว่า “เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลย.. ของพวกนั้นไม่หายไปใหนหรอก!”
ระหว่างทางหลิงหยุนได้บอกเคล็ดวิชามังกรพรางร่างให้กับเย่ซิงเฉินและให้นางฝึกใช้มังกรพรางร่างวิ่งตรงไปยังเนินเขาด้านตะวันออก ส่วนหลิงหยุนก็วิ่งตามหลังไป..
ในเริ่มต้นนั้นเย่ซิงเฉินก็ไม่คุ้นเคยกับมังกรพรางร่างนักแต่หลังจากพยายามไปเรื่อยๆ นางก็สามารถใช้มังกรพรางร่างได้คล่องแคล่วมากขึ้นเรื่อย จนกระทั่งไปถึงยอดของเนินเขาที่หลิงหยุนบอก..
เย่ซิงเฉินยังคงใช้มังกรพรางร่างวิ่งไปเรื่อยจนสามารถทิ้งเงาไว้ในตำแหน่เดิมได้ หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงพูดขึ้นว่า
“หากเจ้าฝึกต่อไปเรื่อยๆจะสามารถฝึกวิชาเงาลวงตาได้ถึงขั้นสูงสุด ที่สามารถแยกร่างได้ถึงสามสิบหกร่าง วิชานี้เป็นประโยชน์ในการรับมือกับศัตรู และใช้หนีเอาตัวรอดในยามวิกฤติ..” หลิงหยุนตะโกนบอกเย่ซิงเฉินที่กำลังสนุกกับวิชามังกรพรางร่างและแล้วร่างของเย่ซิงเฉินก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“มิน่า..ยอดฝีมือมากมายล้อมเจ้าไว้ แต่กลับไม่สามารถสังหารเจ้าได้!”
หลิงหยุนตอบเย่ซิงเฉินพร้อมกับหันหน้ามองไปยังเส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออกซึ่งตอนนี้แสงแรกของวันกำลังปรากฏขึ้น ดวงอาทิตย์สีแดงค่อยๆ โผล่ขึ้นจากขอบฟ้า..
“ซิงเฉิน..เจ้าฟังให้ดี!”
“ท้องฟ้าสีดำผืนแผ่นดินสีเหลือง กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา จักรวาลไร้ขอบเขต.. ทั่วทั้งสามโลกล้วนปกคลุมด้วยแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ และแสงดารา..”
หลิงหยุนพร่างพรูคำพูดออกมามากมายเป็นพันๆคำทั้งหมดล้วนเป็นเคล็ดวิชาดาราคุ้มกาย จากนั้นจึงทวนซ้ำอีกครั้ง แล้วหันไปถามเย่ซิงเฉินว่า “เจ้าจำได้ทั้งหมดหรือไม่”
“ข้าจดจำได้ทั้งหมดแล้ว!” novel-lucky
หลิงหยุนได้ยินถึงกับประหลาดใจไม่น้อยและได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า ‘ไม่แปลกเลยที่ท่านแม่รับเย่ซิงเฉินเป็นศิษย์ ผู้ที่มีพรสวรรค์เช่นนางยากนักที่จะหาพบได้ง่ายๆ!’
แต่ถึงกระนั้นในใจของหลิงหยุนก็ยังมีอยู่หนึ่งคนที่พรสวรรค์ไม่ได้ด้อยไปกว่าเย่ซิงเฉินเลยซึ่งก็คือหนิงหลิงยู่
“วิชาที่ข้าถ่ายทอดให้เจ้านี้เป็นวิชาที่ใช้บ่มเพาะร่างกายโดยการดูดซับเอาความร้อนจากพลังสุริยะ ความเย็นจากพลังจันทรา และพลังจากดวงดาวนับล้านดวง..”
“ข้าจะสอนให้เจ้าเริ่มการฝึกดาราคุ้มกายตอนนี้เลย..”
หลิงหยุนและเย่ซิงเฉินนั่งลงเคียงข้างกันทั้งคู่นั่งขัดสมาธิหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้น และเริ่มฝึกดาราคุ้มกาย..
ระหว่างที่ฝึกอยู่ร่วมสองชั่วโมงนั้นหลิงหยุนก็ได้แนะนำเย่ซิงเฉินอย่างละเอียด จนนางสามารถเข้าสู่ระดับหกของดาราคุ้มกายได้ในทันที และเหนือกว่าฉินตงเฉี่วยที่ฝึกก่อนถึงหนึ่งระดับ..
ความก้าวหน้าของการฝึกดาราคุ้มกายจะเร็วหรือช้านั้น ขึ้นอยู่กับร่างกายของผู้ฝึก พรสวรรค์ และขั้นกำลังภายในของคนผู้นั้นที่มีอยู่ก่อนด้วย..
และเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วหลิงหยุนจึงหยุดฝึก และลุกขึ้นพร้อมกับพูดขึ้นว่า “วิชาดาราคุ้มกายเป็นวิชาที่เริ่มต้นฝึกได้ง่าย และเป็นวิชาที่เสมือนเกราะป้องกันร่างกาย แต่ยิ่งเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ความยากลำบากก็จะยิ่งเพิ่มทวีคูณไปด้วยเช่นกัน จึงต้องใช้เวลาในการฝึกฝนนานมากทีเดียว..”
เย่ซิงเฉินลืมตาขึ้นมา..นางสัมผัสได้ว่าจาการฝึกฝนเพียงแค่สองชั่วโมง แต่ร่างกายของนางดูเหมือนจะแกร่งกว่าเดิมหลายเท่านัก!
“ยังไม่หมดเพียงเท่านี้!ข้ายังมีวิชาที่ล้ำเลิศกว่านี้จะถ่ายทอดให้กับเจ้าด้วย!” จากนั้น..หลิงหยุนก็ได้บอกเคล็ดวิชาพลังมังกรให้เย่ซิงเฉินฟังผ่านทางกระแสจิต และหลังจากที่สามารถจดจำได้หมด นางก็ถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งร่าง นั่นเพราะวิชาพลังมังกรสามารถทำให้ผู้ที่ใช้วิชานี้มีพลังเพิ่มขึ้นจากเดิมได้มากถึงสิบเท่า!
เย่ซิงเฉินถึงกับถามหลิงหยุนด้วยความตกใจ“วิชาล้ำเลิศเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงถ่ายทอดให้ข้า เวลานี้ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดเจ้าจึงมั่นอกมั่นใจยิ่งนัก!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“เจ้าดูแลข้าเพียงคืนเดียว แต่ข้าจะปกป้องเจ้าตลอดไป!”
หลิงหยุนพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งแต่เย่ซิงเฉินถึงกับนิ่งอึ้งไป หัวใจของนางสั่นสะท้าน และไม่กล้ามองตาหลิงหยุน ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย..
จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่..เย่ซิงเฉินจึงสามารถสงบจิตสงบใจได้ และหันไปพูดกับหลิงหยุนว่า “เจ้าใช้คำพูดแบบนี้กับข้าไม่สำเร็จหรอก! เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้ามีสาวงามรอบกายมากมายเพียงใด พวกนางล้วนโง่เขลาที่เชื่อคำพูดไพเราะหวานหูของเจ้า!”
แต่หลิงหยุนกลับไม่สนใจและเอื้อมมือไปคว้าแขนของเย่ซิงเฉินยกขึ้นมา พร้อมกับถามไปว่า “เจ้าสวมแหวนนิ้วใหน”
“….”เย่ซิงเฉินถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที
นั่นเพราะเมื่อคืนที่หลิงหยุนนอนหลับนั้นเย่ซิงเฉินได้สังเกตเห็นแหวนที่นิ้วชี้ข้างขวาของหลิงหยุน แม้มันจะไม่ได้ดูสวยงามอะไรมากมาย แต่ก็ดูลึกลับน่าสนใจไม่น้อย และที่สำคัญ.. เวลานี้แหวนในมือของหลิงหยุนก็เหมือนกับแหวนที่นิ้วชี้ของเขาไม่มีผิด จะต่างกันก็เพียงแค่ขนาดของแหวนเท่านั้น!
เย่ซิงเฉินใจเต้นแรงพร้อมกับถามเสียงตะกุกตะกัก “หลิง.. หลิงหยุน.. นี่เจ้าจะทำอะไร”
“น่าจะนิ้วขวาเหมือนกับข้า..”หลิงหยุนเห็นเย่ซิงเฉินไม่ตอบ เขาจึงจัดการสวมแหวนเข้าไปที่นิ้วชี้ข้างขวาของเย่ซิงเฉินทันที! หลังจากหลิงหยุนสวมแหวนให้แล้วเย่ซิงเฉินจึงรีบชักมือกลับ และหันหลังให้หลิงหยุนพร้อมกับสำรวจดูแหวนบนนิ้วมืออย่างละเอียด แม้มันจะดูเป็นเพียงแค่แหวนธรรมดาๆ แต่เย่ซิงเฉินก็มีความสุขยิ่งนัก เพราะมันคือแหวนชนิดเดียวกันกับแหวนในนิ้วของหลิงหยุน..
หลิงหยุนยืนฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับบอกเย่ซิงเฉินไปว่า“ข้าลืมบอกเจ้าไป.. เจ้าต้องใช้เลือดของตัวเองหยดลงบนแหวนก่อน!”
หลิงหยุนรู้ว่าเย่ซิงเฉินเป็นคนเฉลียวฉลาดจึงจงใจไม่บอกนางไปตามตรงว่านี่คือแหวนพื้นที่..
เย่ซิงเฉินทำตามที่หลิงหยุนบอกทันทีและหลังจากหยดเลือดลงไปบนเรือนแหวนแล้ว นางก็เริ่มรู้สึกเชื่อมต่อกับแหวนในมือได้..
จากนั้นหลิงหยุนจึงอธิบายต่อว่า“ซิงเฉิน.. เจ้าลองใช้ความคิดสื่อสารกับแหวนในมือดูสิ!”
เย่ซิงเฉินลองสื่อสารกับแหวนวิเศษในมือดูและรู้สึกคล้ายกลับว่าตนเองมองเห็นพื้นที่กว้างใหญ่ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดยี่สิบห้าเมตรได้ อีกทั้งผนังก็ยังมีลักษณะคล้ายรวงผึ้งอยู่เต็มไปหมด..
“นี่..นี่มัน.. นี่มัน..”
“เจ้าอย่าเสียงดังไป!”
จากนั้นหลิงหยุนก็ได้บอกเย่ซิงเฉินผ่านกระแสจิตว่า–นี่คือแหวนจักรวาลที่ข้าตั้งใจทำให้กับเจ้า! ขนาดของมันใหญ่กว่าแหวนพื้นที่มากนัก..-
หลิงหยุนสอนให้เย่ซิงเฉินเคลื่อนย้ายสิ่งของเข้าออกแหวนพื้นที่และย้ำกับนางว่า –เจ้าสามารถเก็บเฉพาะสิ่งของเท่านั้น สิ่งมีชีวิตไม่ว่าคน สัตว์ หรือแม้แต่ศัตรูของเจ้าก็ไม่ควรนำเข้าไป เพราะหากนำเข้าไปสิ่งมีชีวิตก็จะตายทันที!-
และเวลานี้ไม่ว่าหลิงหยุนจะพูดอะไรเย่ซิงเฉินก็เอาแต่พยักหน้าอย่างเดียวเท่านั้น เพราะนางกำลังมีความสุขอย่างมาก.. …….
หลังจากที่เย่ซิงเฉินมอบชุดผ้าแพรไหมดำทั้งหมดให้หลิงหยุนไปแล้วนางไม่ลืมที่จะย้ำว่า “กลับไปครั้งนี้เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มาก โดยเฉพาะตระกูลหลงกับตระกูลเย่..”
“ข้ารู้!”
“ในคืนวันประลอง..เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลใจ ข้าจะส่งคนไปคุ้มครองคนตระกูลหลิงเอง และจะพาคนไปช่วยเจ้าด้วย..”
“ขอบใจเจ้ามาก!”
“หากสองสามวันนี้ข้าได้ข่าวคราวเพิ่มเติมก็จะรีบบอกให้เจ้ารู้ทันที!”
“ได้!”
เย่ซิงเฉินฟังหลิงหยุนตอบเธอเพียงสั้นๆก็ถึงกับร้องตะโกนออกมาด้วยความหงุดหงิด “เจ้าพูดประโยคยาวกว่านี้จะตายหรือยังไงกัน”
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะและตอบไปว่า “ข้าเกรงว่าหากข้าพูดมากไปกว่านี้ ข้าจะไม่อยากกลับไปน่ะสิ!”
“คำพูดหวานหูเช่นนี้ใช้กับข้าไม่สำเร็จแน่!เจ้ารีบๆกลับไปได้แล้ว!”
หลังจากที่หลิงหยุนกลับไปแล้วเย่ซิงเฉินก็ได้แต่พึมพำกับตัวเองว่า “ท่านอาจารย์.. ท่านเคยบอกว่าข้าว่าหากเรารักใครสักคน เราจะยินยอมทำทุกอย่าง และมอบทุกสิ่งให้กับคนผู้นั้น!”
“ครั้งนั้นข้าไม่เชื่อคำพูดของท่านแต่ตอนนี้.. ข้าเชื่อแล้ว!”