ตอนที่ 69 - 3 การปกป้องของเขา

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

“คั่งหลงคือกองทัพแห่งคุณูปการ ผู้บัญชาการเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการแห่งแคว้น บนหอคุณูปการ ในจดหมายเหตุ ไม่อาจเมินเฉยชั่วกาล” รอให้เสียงของคั่งหลงสงบลง เขาถึงเอ่ยปากเชื่องช้าด้วยเสียงเยือกเย็นชัดเจนว่า “ทว่ากองทัพตั้งขึ้นเพื่อปกป้องอาณาประชาราษฎร์ นี่คือภาระหน้าที่และเกียรติยศของทหาร วันนี้ในย่านตลาดหลิวหลี ต่อหน้าเหล่าราษฎรนับหมื่น กองทัพหันมีดใส่กษัตริย์ หันดาบใส่ราษฎรเพื่อความแค้นส่วนตัว เหตุผลอยู่ที่ใด? หลักการอยู่ที่ใด? ภาระหน้าที่เกียรติศักดิ์ในฐานะทหารของพวกเจ้าอยู่ที่ใด!”

 

 

ความรู้สึกเคร่งขรึมของทหารคั่งหลงขาดช่วงเล็กน้อย คนมากมายนึกถึงคำสาบานยามสมัครเป็นทหารนั้นและเกียรติยศจวบจนบัดนี้ สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

 

 

“กระบี่สะบั้นศีรษะศัตรู มีดละเลงโลหิตคู่อาฆาต ปกป้องแคว้นเพื่อราษฎร พลทหารดุจเหล็กกล้า” เสียงของกงอิ้นเย็นชาแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าเช่นกัน เอ่ยว่า “พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าโลหิตของผู้บริสุทธิ์ทุกหยดที่หลั่งรินใต้คมมีดของพวกเจ้า จะลบล้างความดีความชอบทางทหารการสงครามที่พวกเจ้าอาบโลหิตต่อสู้สุดชีวิตจนได้รับมาก่อนหน้านี้? ต่อหน้าต่อตาราษฎร ผู้ปกป้องกลายเป็นผู้ทรยศ วีรบุรุษกลายเป็นผู้ก่อกบฏ ผู้อื่นเคารพเลื่อมใสกลายเป็นทุกคนทอดทิ้ง พวกเจ้าคิดจะเดินบนเส้นทางเช่นนี้จริงหรือ?”

 

 

ความนิ่งเงียบประหนึ่งวายชนม์

 

 

“การสิ้นชีพของบุตรชายผู้บัญชาการเป็นเพียงบุญคุณความแค้นส่วนตน มีเหตุผลกลใดยังไม่ได้จำแนกให้ชัดแจ้ง กองทัพไร้อำนาจแก้แค้นผู้อื่นด้วยเพราะเหตุนี้ ยิ่งไร้อำนาจใช้มีดกระบี่เผชิญหน้าราษฎรที่ในมือปราศจากอาวุธ!” เสียงของกงอิ้นดุดันมากยิ่งขึ้น เอ่ยว่า “หันอาวุธใส่หน้าอกของราษฎรบริสุทธิ์คือความอับอายของทหารแห่งต้าฮวงเรา!”

 

 

“ทว่าราชินีสังหารคนจะไม่ต้องรับโทษได้อย่างไร! ราชครูท่านปกป้องเข้าข้างสุดกำลัง ไม่กลัวสูญเสียขวัญกำลังใจของทหารหรือ!” มีผู้ตะโกนก้องด้วยเสียงดุดัน

 

 

กงอิ้นมิได้เอ่ยวาจา สายตาบริสุทธิ์แวววาวของเขาเฉียดผ่านฝูงราษฎรที่ยิ่งชุมนุมกันจนคลาคล่ำมากขึ้น

 

 

แทบจะฉับพลัน เสียงร้องของราษฎรดังขึ้น

 

 

“ราชินีทรงช่วยพวกเรา!”

 

 

“ราชินีทรงช่วยตี้เกอ!”

 

 

“หากคำนวณความดีความชั่วจริง คนที่พระนางทรงช่วยไว้นับพันนับหมื่น พวกกากเดนสิ้นชีพไปคนหนึ่งจะเป็นอะไรไป!”

 

 

“ความตายของคนชั่วเพียงผู้เดียว ช่วยเหลือชีวิตผู้บริสุทธิ์นับร้อยนับพัน ไร้ความผิด!”

 

 

“เฉิงเย่าจู่ขับไล่ราษฎร ยึดครองใต้สะพานจึงถูกรถม้าชนสิ้นชีพ หาเหตุใส่ตนเอง ยังมีหน้ามานับโทษที่เขาสิ้นชีพอีกหรือ? ชดใช้โทษที่หลายปีมานี้ราษฎรตี้เกอถูกเขากลั่นแกล้งทุบตีมาก่อนแล้วค่อยเอ่ยเรื่องอื่น!”

 

 

เสียงตะโกนก้องของราษฎรดังก้องเสียยิ่งกว่าเสียงของคั่งหลงเมื่อครู่ ขอบฟ้าเมฆครึ้มต่างคล้ายถูกฟาดสะบั้นจนสาดส่องแสงเรืองรองเย็นยะเยือกของแสงจันทร์

 

 

“ได้ยินหรือไม่?” กงอิ้นรอให้เสียงร้องของราษฎรหยุดลง มองไปทางทหารคั่งหลงอย่างเย็นชา เอ่ยว่า “ข้ากลัวสูญเสียขวัญกำลังใจของทหาร ทว่าข้ากลัวสูญเสียขวัญกำลังใจของราษฎรยิ่งกว่า! กลัวจะสูญเสียสัจธรรม ความเป็นธรรม ความถูกผิด ศีลธรรมและบรรทัดฐานในการตัดสินความถูกผิดทุกสิ่งอย่างแท้จริงของโลกมนุษย์ใบนี้!”

 

 

สองมือของเฉิงกูมั่วกำหมัดแน่น นัยน์ตาเปี่ยมโลหิต พวงแก้มกระตุกเกร็ง ฟันเสียดสีส่งเสียงดังกรอดๆ ฟังแล้วน่าหวาดกลัว

 

 

“แน่นอนว่าข้าเองรักใคร่คั่งหลง รู้สึกซาบซึ้งใจที่คั่งหลงเคยอาบโลหิตต่อสู้สุดชีวิตเพื่อข้ามาโดยตลอด” กงอิ้นพลันทอดน้ำเสียงให้เชื่องช้า เอ่ยแผ่วเบาว่า “เพียงแต่รักใคร่ให้ความสำคัญ ด้วยรักใคร่ถึงให้ความสำคัญ ข้าพึ่งพาอาศัยคั่งหลง ยิ่งไม่อยากมองเห็นคั่งหลงเดินทางผิดก้าวเดียวแล้วไร้ทางฟื้นคืน ส่วนคั่งหลง พวกเจ้าติดตามข้ากับผู้บัญชาการมานานหลายปีขนาดนี้ พวกเจ้าไม่ควรเป็นอาวุธในมือของข้าหรือผู้บัญชาการ ทว่าควรเป็นมีดคมที่ทั่วทั้งต้าฮวงถือไว้ในมือ บัดนี้น้ำใจสำคัญหรือสัจธรรมสำคัญ ข้ามอบอำนาจในการตัดสินให้พวกเจ้า อวี่ชุนเหมิงหู่!”

 

 

“ขอรับ!”

 

 

“นำพาองครักษ์และราชองครักษ์ถอยไป!”

 

 

“นายท่าน!”

 

 

เหมิงหู่อวี่ชุนตกใจหน้าถอดสี…พวกเขาขวางอยู่เบื้องหน้าทหารคั่งหลงปกป้องกงอิ้นโดยตลอด ยามนี้กงอิ้นให้พวกเขาถอนกำลัง หากทหารคั่งหลงบุกโจมตีแม้เพียงผู้เดียว ราชครูคงต้องประสบอันตราย!

 

 

แต่ไหนแต่ไรมากำลังรบของคนเดียวไร้หนทางต้านทานกำลังของทหารนับหมื่น แม้มีวรยุทธล้ำเลิศ เบื้องหน้ากองทัพคงต้องได้รับบาดเจ็บเป็นแน่!

 

 

“ข้าไม่ถืออาวุธ ไม่ตั้งทัพองครักษ์ เผชิญหน้ากับพวกเจ้า” กงอิ้นไม่สนใจอวี่ชุนเหมิงหู่แลไม่มองเฉิงกูมั่ว เพียงมองดูเหล่าทหารคั่งหลง เอ่ยสืบต่อว่า “คิดให้ดีว่าจะพุ่งเข้ามาหรือไม่! จำไว้ว่าจงรับผิดชอบทุกย่างก้าวที่เหยียบย่ำออกมา!”

 

 

เหล่าทหารคั่งหลงเงยหน้าขึ้น ในดวงตาเปี่ยมโลหิตนั้นมีความไม่เข้าใจ มีความงงงวย มีความโกรธแค้น มีความไม่สงบ

 

 

อวี่ชุนเหมิงหู่ไม่กล้าต่อต้านคำสั่งของกงอิ้น กัดฟันจำใจพาทหารถอยไป

 

 

ยามนี้กงอิ้นยืนโดดเดี่ยวเดียวดายเพียงผู้เดียวตรงปากตรอก ฝั่งข้างเคียงคือราษฎรกลุ่มใหญ่ ข้างหลังคือทางเข้าตรอกว่างเปล่าไร้ผู้คนสายหนึ่ง เบื้องหน้าจัตุรัสกว้างขวางของตรอกหลิวหลีคือทหารคลาคล่ำนับพัน

 

 

แม้เผชิญหน้าทหารนับพันเพียงผู้เดียว สีหน้าเขายังคงเป็นเช่นปกติ ถึงขนาดเอามือไพล่หลังอย่างแผ่วเบา แขนเสื้อสีขาวราวหิมะถูกสายลมพัดขึ้นมา ร่างดุจไผ่สูงอาภรณ์ดุจผืนธง

 

 

“อย่าได้ถูกวาจาสองสามคำของราชครูมอมเมา!” เฉิงกูมั่วพุ่งสู่กลางทหารคั่งหลงพลางตะโกนลั่นว่า “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล! พวกเราเคยต่อสู้สุดชีวิตเพื่อต้าฮวง เพื่อราชครูมานานหลายปี พวกเราได้รับสิ่งใดบ้าง? วันนี้บุตรชายคนเดียวของข้าถูกคนทำร้ายสิ้นชีพกลางย่านตลาด ทุกผู้คนเห็นด้วยตาตนเอง! เขายังไม่ยอมมอบความยุติธรรมให้ข้าเลย ข้ายังมีจุดจบเช่นนี้ พวกเจ้าคิดว่านับแต่วันนี้ไป พวกเจ้าจะมีจุดจบดีอย่างไร?”

 

 

เขามีสีหน้าเดือดดาลเสียงแหบแห้ง ใช้กำลังทั่วร่างจนหมดสิ้น…รู้ว่าหากวันนี้ไม่อาจฉวยโอกาสสังหารราชินีที่ย่านตลาด หลังจากผ่านพ้นเรื่องราวคงยากจะมีโอกาสแก้แค้น หากวันนี้ต่อต้านคำสั่งของกงอิ้นไม่ได้ ในภายภาคหน้าคงยากจะรักษาตำแหน่งผู้บัญชาการ ทหารคั่งหลงที่เขาก่อร่างสร้างขึ้นด้วยมือตนเองอาจจะเปลี่ยนแซ่เป็นของผู้อื่นขึ้นมาจริง!

 

 

เหล่าทหารคั่งหลงกำอาวุธแน่น สายตาแปรเปลี่ยน ลังเลตัดสินใจไม่ได้ ฝ่ายหนึ่งคือที่ผู้บัญชาการที่บุญคุณมากล้นดุจบิดา อีกฝ่ายหนึ่งคือราชครูที่บารมีลึกล้ำเลื่อมใสศรัทธาดุจอยู่กลางเมฆามาเนิ่นนาน ทั้งเจ็บปวดใจที่ผู้บัญชาการสูญเสียบุตรชาย ทั้งหวาดกลัวท่าทางน่าเกรงขามของราชครู อยากช่วยแก้แค้นทว่านึกถึงชื่อเสียงเกียรติยศของทหารขึ้นมา อยากพุ่งเข้าไปสังหารทว่ามิกล้าล่วงเกินอำนาจของกษัตริย์ ยิ่งกลัวว่าหากก้าวไปก้าวหนึ่ง จะเหยียบย่ำคุณูปการและเกียรติยศในฐานะทหาร ทว่าฟังเสียงตะโกนเจือโลหิตของผู้บัญชาการ พลันนึกถึงบุญคุณที่เขามอบอาภรณ์มอบอาหารรักทหารดุจบุตรชาย ชั่วขณะหนึ่งนั้นทุกคนร้อนเร่าภายในดุจไฟเผา ผุดเผยสีหน้าเจ็บปวด

 

 

บรรยากาศบนลานกว้างดุจสายธนูตึงแน่น คล้ายหากสายลมพัดผ่านเพียงสายหนึ่ง ท้องนภาคงจะถล่มลงมาแล้ว

 

 

พวกอวี่ชุนเหมิงหู่เรือนร่างหดเกร็ง จิกฝ่ามือแน่น เหงื่อในฝ่ามือซึมแทรกออกมาทีละชั้น

 

 

แพ้ชนะในวันนี้อยู่ที่การกระทำนี้

 

 

ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของราชินี ยิ่งเกี่ยวข้องลึกซึ้งไปถึงเจ้าของแท้จริงของอำนาจทหาร หากผ่านด่านครั้งนี้ได้ นับแต่นี้ไปอันตรายจากการที่คั่งหลงทรยศจะลดลงไปมากหลาย

 

 

เนื้อร้ายก้อนนี้ คว้านได้หนักหน่วง รุนแรงแลเ**้ยมโหด เป็นนิสัยที่มีโดยตลอดมาของราชครู ทว่าอันตรายเกินไป!

 

 

แพ้ชนะเกี่ยวพันกับการกระทำนี้!

 

 

นอกฝูงชน เหยียลี่ว์ฉีหรี่ตาจ้องมองสองฝ่ายที่คุมเชิงกันอยู่ ในแววตามีท่าทางประหลาด

 

 

แต่ก่อนเขาไม่เข้าใจมาโดยตลอดว่าเด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งไม่มีเส้นสายเลยแม้แต่น้อยเช่นกงอิ้น ได้รับความเชื่อถือจากราชครูคนก่อน กระทำกิจการอันยิ่งใหญ่ในภายหลังจนสำเร็จได้อย่างไร

 

 

บัดนี้เขารู้แล้ว

 

 

ด้วยเพราะเขามีความกล้าหาญที่จะรุดไปข้างหน้าโดยตลอด มีไอดุร้ายที่ไม่สนใจความเป็นความตายและไอสังหารที่กล้าจะเผชิญหน้าผู้คนนับพันนับหมื่นแม้เพียงผู้เดียว

 

 

ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่ง สิ่งผูกมัดเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ความกล้าหาญถดถอยลงทุกวัน ความโกรธเกรี้ยวห้อตะบึงในยามอ่อนวัย ความภาคภูมิใจที่ควบอาชาบุกค่ายศัตรูเพียงผู้เดียวจะค่อยๆ ถูกกัดกร่อนด้วยชีวิตหรูหราฟุ้งเฟ้อ

 

 

ยามคนมีมากขึ้น ย่อมกลัวจะสูญเสียมากยิ่งขึ้น

 

 

มีเพียงกงอิ้นไม่เปลี่ยนแปลงไป

 

 

ศิลาหิมะบนภูผาสูง มิถูกสายลมกร่อนเซาะชั่วกาล

 

 

ส่วนคุณสมบัติเช่นนี้ ผู้ที่มาจากตระกูลใหญ่โตยากจะมียิ่ง…เจ้ายากจะให้ผู้ที่คาบช้อนเงินช้อนทองเติบโตคนหนึ่งนึกถึงการพลีชีพโดยง่ายดาย พวกเขาหล่อหลอมแนวคิดมั่นคงแนวคิดหนึ่งมาตั้งแต่เด็ก นั่นคือชีวิตของตนเองล้ำค่าอย่างยิ่ง ส่วนชีวิตของผู้อื่นเป็นชีวิตไร้ค่าทั้งนั้น ใช้ชีวิตล้ำค่าแลกชีวิตไร้ค่า ผู้เฉลียวฉลาดไม่กระทำกัน

 

 

เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม

 

 

ผู้เฉลียวฉลาดหรือ…

 

 

สายตาเขากวาดผ่านกลางเหล่าขุนพลเหล่าทหารคั่งหลง สังเกตสีหน้าของพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ ดวงตาพลันสว่างวูบ

 

 

ขุนพลที่น่าจะเป็นรองขุนพลผู้หนึ่ง สีหน้าฮึกเหิมยิ่งนัก อยากจะเอ่ยปากหลายครั้งทว่าลังเลหลายครั้ง หัวเข่าของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อยโดยตลอดเช่นกัน นี่คือสัญลักษณ์ที่อยากจะพุ่งออกไป

 

 

เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

ความกล้าหาญยังไม่พอน่ะ

 

 

เช่นนั้นช่วยเขาสักครั้งย่อมได้

 

 

“ราชครู! ผู้บัญชาการมีคุณูปการต่อแคว้น ยิ่งมีคุณูปการใหญ่ต่อท่าน! ไม่ว่าจะอย่างไร ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ท่านไม่อาจหยุดการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บัญชาการเรา!” รองขุนพลที่ลังเลผู้นั้นพลันเอ่ยปากด้วยเสียงโกรธเคือง

 

 

เขาเพียงอยากคัดค้านการจัดการไม่ยุติธรรมที่ราชครูมีต่อผู้บัญชาการ แลมิได้อยากพุ่งออกไป ทว่าพลันดัง “เพียะ” เสียงหนึ่งแผ่วเบา หัวเข่าของเขาสั่นสะท้าน ทั่วทั้งเรือนร่างโน้มไปเบื้องหน้าแล้วพุ่งออกไปดังสวบ!

 

 

มวลชนตกตะลึง

 

 

ขอเพียงมีฝีเท้าพุ่งออกไปหยั่งเชิงของคนแรก ย่อมอาจก่อเกิดการโหมซัดของคลื่นใหญ่!

 

 

ในยามนี้ อวี่ชุนที่แม้ว่าถอนองครักษ์ไปทว่ายืนหยัดยืนอยู่ข้างกายกงอิ้นโดยตลอด จิตใจตึงเครียดยิ่งนัก พอเห็นว่ามีคนพุ่งออกมาจริงก็ชักมีดโดยไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ

 

 

สวบเสียงหนึ่งคมมีดดุจหิมะโปรย ร่วงลงกลางศีรษะรองขุนพลนั้น!

 

 

“หยุดนะ!” กงอิ้นตวาด

 

 

สายตาของเฉิงกูมั่วดีใจเป็นล้นพ้น

 

 

ทหารคั่งหลงตื่นตกใจ

 

 

ราษฎรส่งเสียงเซ็งแซ่

 

 

กงอิ้นยื่นมือไปคว้ามีดของอวี่ชุน ในหนามเอียงพลันมีสิ่งหนึ่งพุ่งเหินเข้ามาสู่ขมับของอวี่ชุนพอดี กงอิ้นได้แต่สะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง สกัดอาวุธลับถึงแก่ชีวิตนั้นจนลอยไปเสียก่อน

 

 

พอเป็นเช่นนี้จึงช้าไปเล็กน้อย

 

 

มีดสะบั้นลง!

 

 

หากทำให้รองขุนพลทหารคั่งหลงบาดเจ็บ สถานการณ์จะเปลี่ยนไปในทางเลวร้าย ไร้หนทางหวนคืน!

 

 

เงาคนพลันกะพริบวูบ

 

 

“เคร้ง” เสียงหนึ่งดังกึกก้อง เสียงโลหะกระทบกันเสียดหูปานฆ้องแตก เคียงคู่ด้วยเสียงสตรีร้อง “โอ๊ย” เสียงหนึ่ง

 

 

“ไอ้เวรเอ้ยหนักจัง!”

 

 

สองมือของอวี่ชุนกำมีด มองดูสตรีที่อยู่เบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย…หลับตา โค้งกาย ถอยเท้า สองมือชูหม้อใหญ่ใบหนึ่งเหนือศีรษะ ขวางไว้เบื้องหน้ารองขุนพลนั้น ค้ำมีดที่สะบั้นลงมาของเขาไว้

 

 

ไม่ต้องมองว่าผู้ที่ค้ำหม้อใหญ่ไว้คือผู้ใด เพียงความลึกลับซับซ้อนและความคิดโลดแล่นนี้ รวมทั้งน้ำเสียงอวดตนตลอดกาลนี้ ย่อมรู้ว่าในชั่วยามสำคัญ องค์ราชินีหายตัวมาแล้ว

 

 

อวี่ชุนน้ำตาคลอเบ้า มิเคยรักใคร่ราชินีดุจดั่งยามนี้ แทบอยากจะโยนมีดทิ้งกอดราชินีไว้จุมพิตแรงๆ สักฟอด…นางช่วยเหลือเขาไว้ ทำให้เขาไม่ต้องกลายเป็นนักโทษ!

 

 

แน่นอนว่าเพื่อชีวิตน้อยๆ เช่นนั้นช่างมันเถิด

 

 

กงอิ้นที่อยู่ข้างหลังถอนหายใจยืดยาวเฮือกหนึ่งแผ่วเบา

 

 

สตรีเกียจคร้านนางนี้ ในยามสำคัญมักจะอัศจรรย์เสมอ

 

 

จิ่งเหิงปัวน้ำตาคลอเบ้า…แม่งเอ้ยมีดของอวี่ชุนหนักหน่วงเกินไป สะท้านจนง่ามนิ้วนางเกือบจะแตกร้าวแล้ว

 

 

นางเหวี่ยงหม้อใหญ่ไปในครั้งเดียว หม้อใหญ่เป็นอุปกรณ์ที่พ่อค้าช่วยนางขวางมีดก่อนหน้านี้ คราวนี้ถูกนางนำมาขวางมีดอีกครั้งหนึ่ง ข้างหม้อมีรอยแยกกว้างใหญ่สองรอย ยามพ่อค้ารับมามีสีหน้าเจ็บปวดใจ จิ่งเหิงปัวตบไหล่เขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กล่าวว่า “ไม่เป็นไร ภายหลังเจ้ายังใช้หม้อนี้ เขียนอธิบายเหตุการณ์ที่ผ่านมาหน้าแผงว่าหม้อนี้เคยขวางมีดที่สะบั้นลงมาทางราชินี แลเคยถูกราชินีชูขึ้นขวางมีดแทนผู้อื่น ราชินีพระราชทาน ‘หม้อหนึ่งเดียวในโลกหล้า’ เชื่อข้า หม้อใบนี้ อีกทั้งแป้งทอดน้ำมันของเจ้า ต้องโด่งดังเป็นแน่”

 

 

พ่อค้าเข้าใจโดยพลัน รับหม้อพังไปอย่างยินดีปรีดา ตะโกนหาช่างตีเหล็กคนหนึ่งซึ่งอยู่ไกลโพ้นเต็มเสียงว่า “เจ้าหวัง ประเดี๋ยวสลัก ‘ราชินีพระราชทานหม้อหนึ่งเดียวที่หนึ่งในโลกหล้า!’ ให้ข้าหน่อย”

 

 

กงอิ้นนิ่งเงียบ “…”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีเงียบงัน “…”

 

 

ทหารคั่งหลงอยากเอ่ยว่า…ในยามนี้เจ้ายังมีเวลาว่างสนใจเรื่องนี้อีก!

 

 

รองขุนพลที่รอดชีวิตหลังภัยพิบัติคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา มองไปยังจิ่งเหิงปัว สีหน้าสลับซับซ้อน

 

 

เขาพุ่งออกมาเพื่อจะลงโทษราชินี สุดท้ายแล้วกลับเป็นราชินีที่ลงมือช่วยเขา

 

 

เขาก้มศีรษะลง งกเงิ่นไม่อาจเอ่ยวาจา แม้ว่ายังไม่ได้สลายปมในใจโดยสิ้นเชิง ทว่ากำลังอันฮึกเหิมและจุดยืนต่อต้านเมื่อครู่พลันสลายหายไปแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวเช็ดน้ำมันบนมือ ยืนอยู่ข้างหน้ากงอิ้น ดีดนิ้วครั้งหนึ่ง

 

 

“วันนี้น่ะ ข้ายืนอยู่ตรงนี้เช่นกัน” นางเผชิญหน้าทหารนับพัน กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ผู้ที่ทหารคั่งหลงต้องรับมือแท้จริงคือข้า ไม่ควรจะเป็นราชครูของพวกเจ้า ในฐานะผู้ใต้บัญชา การทรยศเจ้านายคือความน่าอับอาย ในฐานะทหาร การถือมีดถือหอกใส่ราษฎรคือความต่ำทราม ฉะนั้น วันนี้หากผู้ใดคิดว่าข้ามีโทษ กวัดแกว่งอาวุธของพวกเจ้าพุ่งเข้ามาเบื้องหน้าได้เลย…พุ่งใส่ข้า”