ตอนที่ 271-1 อาการบาดเจ็บของราชครูเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

พระชายาอ๋องจิ้นล้มป่วยแล้วจริงๆ นอนอยู่บนเตียงไม่กินไม่ดื่ม เริ่มแรกไม่ยอมกินดื่ม ต่อมาหลังจากพวกบุตรชายและสะใภ้คุกเข่าขอร้อง ในที่สุดก็ยอมกินอะไรบ้างแล้ว ทว่ากลับกินเท่าไรอาเจียนเท่านั้น ต่อให้ดื่มน้ำแกงใสสองคำก็อาเจียนออกมาจนหมดได้ เหมือนอาการแพ้ครรภ์อย่างไรอย่างนั้น ทว่าหมอหลวงจับชีพจรดูนานแล้ว นางไม่ได้ตั้งครรภ์เลย

 

 

เพียงสองวัน พระชายาอ๋องจิ้นก็อิดโรยจนถอดรูป

 

 

อย่างไรก็เป็นมารดาแท้ๆ นางอู๋ นางหูและฉินอิ่งอิ่งในฐานะลูกสะใภ้อาจแสดงออกพอเป็นพิธี ทว่าสวีเย่ สวีเหยียนและสวีฉ่างในฐานะบุตรชายแท้ๆ ก็ร้อนใจอย่างไม่มีอะไรเทียบได้แล้ว โดยเฉพาะสวีฉ่าง เรื่องเกิดขึ้นเพราะเขา หากทำให้มารดาแท้ๆ เสียชีวิต ชาตินี้เขาจะไม่มีวันสงบสุขน่ะสิ

 

 

ดังนั้นเขาก็ไม่ออกไปสำมะเลเทเมาแล้ว วันๆ เฝ้าอยู่หน้าเสด็จแม่ ทำให้สวีเย่และสวีเหยียนในฐานะพี่ชายปลาบปลื้มยิ่งนัก รู้สึกว่าเจ้าน้องชายคนเล็กสุดที่ไม่สนใจอะไรใดๆ เลยในที่สุดก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

 

 

“ท่านอ๋อง ซื่อจื่อยังคุกเข่าอยู่ข้างนอกเลยนะขอรับ” พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนชะโงกมองหิมะที่ตกหนักข้างนอก แล้วเตือนอย่างระมัดระวัง

 

 

ท่านอ๋องจิ้นฮึเสียงเย็นทีหนึ่ง เอ่ยด้วยหน้าไร้ความรู้สึกว่า “เขาชอบคุกเข่าก็ให้เขาคุกเข่าไป ไม่ใช่ข้าไม่ให้เขาลุกขึ้นเสียหน่อย” สำหรับจุดประสงค์การมาของบุตรชายคนรองเขารู้ชัดเจนดี ก็ไม่พ้นขอร้องให้เสด็จแม่ของเขาเท่านั้น ทว่าครั้งนี้เขาแข็งใจจะบ่มนิสัยนาง มิเช่นนั้นไม่ขึ้นไปพลิกฟ้าหรือ?

 

 

เจ้านายโกรธ คนเป็นบ่าวไพร่ก็ลำบากใจ เกลี้ยกล่อมเถอะ ก็ทำให้เจ้านายรำคาญ ไม่เกลี้ยกล่อมเถอะ หากเกิดเรื่องอย่างไรก็ต้องบ่าวไพร่ที่รับเคราะห์แทน ลังเลครู่หนึ่ง พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนพูดต่อว่า “ท่านอ๋อง ข้างนอกหิมะตกหนักนะขอรับ ซื่อจื่อมาตั้งแต่เช้าแล้ว นี่ก็คุกเข่ามาครึ่งวันแล้ว หากคุกเข่าจนเป็นอะไรไป คนปวดใจก็คือท่านอ๋องท่านไม่ใช่หรือขอรับ?”

 

 

ท่านอ๋องจิ้นมองหิมะที่โปรยปรายข้างนอกปราดหนึ่ง ดวงตาฉายแววกังวลขึ้นแวบหนึ่ง กลับไม่ได้พูดอะไร

 

 

พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนเห็นมีทางแล้ว พยายามต่อไปว่า “ข้างนอกหนาวมากจริงๆ หรือไม่ท่านก็ให้ซื่อจื่อมาคุกเข่าในห้อง?”

 

 

ท่านอ๋องจิ้นเหลือบมองเม็ดหิมะที่ถูกลมแรงพัดกระจาย สุดท้ายความเป็นห่วงบุตรชายยังคงเหนือกว่า “ไปเรียกซื่อจื่อขึ้นมาเถอะ หรือว่ายังต้องให้บิดาเขาไปเชิญเขาด้วยตนเอง?” ในคำพูดเต็มไปด้วยความรังเกียจ

 

 

พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนรีบวิ่งออกไปอย่างดีใจ กางร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งบังไว้เหนือศีรษะสวีเย่ว่า “ท่านซื่อจื่อ ท่านรีบขึ้นมาเถอะ ท่านอ๋องเรียกท่านเข้าห้องน่ะขอรับ”

 

 

เขามองดูชั้นหิมะหนาๆ ที่ตกอยู่บนตัวสวีเย่ อีกทั้งเกล็ดน้ำแข็งบนผมและคิ้ว แล้วความกังวลลอยขึ้นใบหน้าว่า “ท่านซื่อจื่อไยท่านถึงโง่เช่นนี้? ต่อให้ท่านจะคุกเข่า ก็ควรไปที่เฉลียงนั่น ข้างนอกนี่ทั้งลมทั้งหิมะ หนาวจนล้มป่วยจะทำเช่นไรล่ะขอรับ?” พลางช่วยปัดหิมะบนตัวเขามือไม้วุ่นวายไปหมด

 

 

สวีเย่เงยหน้าเผยรอยยิ้มซาบซึ้งให้พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียน กลับอดตัวสั่นระริกไม่ได้ หนาว มารดาเจ้าช่างหนาวจริงๆ เขารู้สึกว่าตนหนาวจนจะแข็งอยู่แล้ว

 

 

พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนเห็นดังนั้น รีบพยุงเขาไว้ว่า “ท่านซื่อจื่อท่านช้าหน่อย บ่าวพยุงท่านขึ้นมาขอรับ” ไอยาโย ตัวท่านซื่อจื่อเย็นยังกับแท่งน้ำแข็งก็ไม่ปาน

 

 

สองขาของสวีเย่ไม่มีความรู้สึกไปนานแล้ว แม้มีพ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนคอยพยุงไว้ เขาก็ยังสะดุดอยู่ดี เกือบพาพ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนล้มไปด้วยกัน

 

 

“ยังไม่รีบเข้ามาช่วย แต่ละคนมัวยืนเซ่อทำอะไรอยู่นั่น? ตาไม่มีแววเลย” พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนตะคอกใส่เด็กรับใช้ที่ยืนอยู่ที่เฉลียง

 

 

แล้วก็มีเด็กรับใช้สองคนรีบวิ่งเข้ามาทันที ทั้งสามคนร่วมแรงร่วมใจกันถึงพยุงสวีเย่ที่หนาวจนแข็งไปถึงเฉลียง ทั้งปัดหิมะทั้งนวดขา วุ่นวายอยู่พักใหญ่ สวีเย่กรอกน้ำขิงไปสองชามใหญ่ถึงรู้สึกว่าหน้าอกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

สวีเย่รู้สึกร่างกายดีขึ้นเล็กน้อยก็ไปพบบิดาเขาแล้ว เมื่อเข้าประตูก็คุกเข่าลงแต่โดยดี หลุบหน้าลงต่ำ และไม่ส่งเสียง

 

 

ท่านอ๋องจิ้นมองดูบุตรชายที่ฝากความหวังไว้ที่ตนรักที่สุด ในใจสับสนยิ่งนัก เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นี่เจ้าจะทำอะไร? ไม่ไปเข้าเวรที่ที่ทำการ มาสร้างความไม่สบายใจอะไรให้บิดาเจ้าที่นี่?”

 

 

สวีเย่เงยหน้าขึ้นว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่แม้มีส่วนผิด ขอให้ท่านเห็นแต่ลูกและน้องรองน้องสามโปรดไว้หน้านางด้วยเถอะ เสด็จแม่แต่งง่านกับท่านมายี่สิบกว่าปี ไม่มีความดีก็มีความชอบนะขอรับ ท่านก็ให้อภัยเสด็จแม่สักครั้งเถอะ เสด็จแม่ป่วยหนักมาก ลูก ลูกเป็นห่วงจริงๆ ขอรับ”

 

 

ท่านอ๋องจิ้นมองดูความเศร้าโศกบนหน้าบุตรชาย แล้วถอนใจยาวๆ ว่า “เย่เกอเอ๋อร์ ครั้งนี้เสด็จแม่เจ้าทำเกินไปแล้ว ไม่ใช่เสด็จพ่อใจยักษ์ แต่ช่าง…” ต่อหน้าบุตรชายเขาพูดต่อไปไม่ได้อีก

 

 

สวีเย่ก็เป็นผู้ชาย ย่อมรู้ความหมายในคำพูดของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อแอบเสด็จแม่เลี้ยงผู้หญิงไว้ข้างนอกไม่เหมาะสมก็จริง ทว่าเสด็จแม่จะฆ่าจะแกงกันเช่นนี้ แม้แต่เด็กคนหนึ่งก็ไม่ละเว้นก็เกินไปแล้วเช่นกัน และก็ทำให้เสด็จพ่อเสียหน้าเหลือเกิน

 

 

“เสด็จพ่อ ลูกเข้าใจ ทางด้านเสด็จแม่ลูกจะคอยเกลี้ยกล่อม ท่านผู้ใหญ่ใจกว้าง ก็อย่าถือสาเสด็จแม่เลย” สวีเย่ขอร้องอย่างขมขื่น

 

 

ต่อหน้าบุตรชายที่ให้ความสำคัญที่สุดคนนี้ ท่านอ๋องจิ้นจะพูดอะไรได้ล่ะ? จะขอเลิกภรรยาเพราะเรื่องนี้ก็ไม่ได้ ก็ได้แต่ต่างคนต่างถอยก้าวหนึ่ง

 

 

สุดท้ายผู้หญิงที่ชื่อม่านเอ๋อร์คนนั้นยังคงเข้าจวนอ๋องจิ้น เดิมทีด้วยนางให้กำเนิดบุตรสาวสองคน สามารถให้ตำแหน่งฮูหยินได้ ทว่าบัดนี้เป็นได้แค่อนุ พระชายาอ๋องจิ้นให้คนเก็บกวานเรือนเล็กออกมาหลังหนึ่ง โยนแม่ลูกสามคนนี้เข้าไป สิ่งที่รอคอยพวกนางอยู่ยังไม่รู้คือโชคชะตาเช่นไรเลย

 

 

วันแต่งงานเสิ่นเชียนหิมะยังคงตกหนักไม่หยด แต่นี่ไม่มีผลกระทบต่อบรรยากาศอันเป็นมงคลนี้แต่อย่างใด หิมะขาวโพลนขับกับผ้าไหมสีแดงเต็มจวน ขับกับชุดมงคลสีแดงสดบนตัวเจ้าบ่าว ยิ่งเจิดจรัสโดดเด่น

 

 

จวนหย่งกั๋วกงกำลังเป็นที่โปรดปราน เสิ่นเชียนในฐานะหลานคนโตสายตรงของที่จวน เขาแต่งงานแม้แต่ฝ่าบาทก็ประทานรางวัลให้ จวนและตระกูลต่างๆ ทั่วเมืองหลวงตาไม่ได้บอด สูงถึงขุนนางใหญ่อ๋องและกง ลงล่างถึงขุนนางเล็กๆ ชั้นหกชั้นเจ็ดต่างฝ่าพายุหิมะมากันหมด

 

 

แม้แต่มหาเสนาบดีฉินที่ไม่ค่อยออกจากบ้านก็มาร่วมงานด้วย เสิ่นหงเหวินตกตะลึงเพราะไม่คาดว่าจะได้รับการโปรดปรานไปต้อนรับเขาจากประตูใหญ่ด้วยตนเอง “ท่านมหาเสนาบดีสามารถเจียดเวลามาได้ ช่างเป็นเกียรติของจวนข้าจริงๆ ท่านมหาเสนาบดีรีบเชิญข้างใน” เขาทำท่าเชิญอย่างเอาใจ

 

 

มหาเสนาบดีฉินยิ้มช้าๆ สายตาที่มองเสิ่นหงเหวินช่างสนิทชิดเชื้อเหลือเกินว่า “ยินดีด้วย ยินดีด้วย วันนี้เป็นวันมงคงของคุณชาย ข้าขอแสดงความยินดีกับท่านโหวเสิ่น ณ ที่นี่แล้ว คุณชายเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ อายุน้อยๆ ก็ตั้งมั่นรักษาเขตแดนหนึ่ง ช่างน่าอิจฉาจริงๆ ท่านโหวเสิ่นสอนบุตรได้ดี”

 

 

“เช่นกัน เช่นกัน นี่ล้วนเป็นพระเมตตาของฝ่าบาท” เสิ่นหงเหวินกอบหมัดตอบว่า “คุณชายใหญ่ของท่านมหาเสนาบดีฉินก็โดดเด่นเหนือคนมิใช่หรือ? เทียบกันแล้วลูกข้าเป็นเพียงนักรบคนหนึ่ง มหาเสนาบดีฉินสิถึงเป็นฝ่ายสอนบุตรได้ดีที่แท้จริง” ปากแม้ถ่อมตัวอยู่ บนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

 

 

มหาเสนาบดีฉินหัวเราะฮ่าๆ อีก ล้อเล่นว่า “ข้าว่าเราก็อย่ายอกันเองเช่นนี้เลยนะ?” เสิ่นหงเหวินจึงหัวเราะตาม

 

 

ทั้งสองคนพลางพูดพลางเดินเข้าจวน ยามที่เห็นเรือนที่แขวนโคมแดงสองอันบนประตูเรือนหลังหนึ่งลิบๆ มหาเสนาบดีฉินดูเหมือนพูดตามสบายว่า “นั่นก็คือเรือนของท่านราชครูสินะ? อ้อถูกแล้ว วันนี้เป็นวันแต่งงานของซื่อจื่อ ท่านราชครูคงดีใจมากกระมัง? ว่าไปแล้วข้าก็ไม่เห็นท่านราชครูมานานมากแล้ว ไม่สู้ยามนี้ขอไปคารวะสักหน่อย” เขาหยุดฝีเท้า มองเสิ่นหงเหวิน แววตาแฝงด้วยคำถาม

 

 

เสิ่นหงเหวินกลับสีหน้าลำบากใจพร้อมถูมือไปมาว่า “บอกตามตรง บิดาข้าแม้อาการบาดเจ็บดีขึ้นมาก กลับยังต้องการพักฟื้นอย่างเงียบๆ โดยเฉพาะฤดูหนาวปีนี้ผิดปกติเช่นนี้ หมอหลวงบอกแล้วว่าต้องระวังเป็นพิเศษ ดังนั้นเพื่อไม่เป็นการรบกวนบิดาพักฟื้น แม้แต่ข้าที่เป็นบุตรชายก็ไม่กล้าไปรบกวนบ่อยๆ ข้าละอายใจต่อการร้องขอของท่านมหาเสนาบดีฉินจริงๆ”

 

 

ท่านมหาเสนาบดีฉินดวงตาแวววับทีหนึ่ง จากนั้นยิ้มอีกว่า “เป็นเรื่องธรรมดาของคน เป็นเรื่องธรรมดาของคนน่ะ อย่างไรก็ตามท่านราชครูรักษาอาการบาดเจ็บก็สำคัญที่สุด ในเมื่อหมอหลวงก็พูดแล้ว วันนี้ข้าก็ไม่ไปรบกวนท่านราชครูพักฟื้นแล้ว รอเขาหายแล้วข้าค่อยมาเยี่ยมเยียน” ราวกับที่พูดก่อนหน้านี้เพียงแค่พูดไปอย่างนั้นเอง

 

 

เสิ่นหงเหวินเหมือนยกภูเขาออกจากอก สีหน้าซาบซึ้ง แล้วทำท่าเชิญอีกครั้งว่า “โปรดอภัยด้วย โปรดอภัยด้วย ท่านมหาเสนาบดีฉินรีบเชิญข้างใน”

 

 

มหาเสนาบดีฉินยกเท้าเดินเข้าข้างในต่อ แล้วหันหน้าอย่างไม่ตั้งใจ ดูเหมือนเห็นประตูเรือนที่แขวนโคมแดงไว้มีเงาคนแวบผ่านไป

 

 

เสิ่นเชียนแต่งงาน พวกกูไหน่ไหน่ที่ออกเรือนไปอย่างเสิ่นเวยนี้ย่อมต้องกลับมาด้วย ทว่าเสิ่นซวงน้องสาวแท้ๆ ของเสิ่นเชียนกลับไม่มา ครรภ์นี้ของนางใกล้ถึงกำหนดคลอดแล้ว เดิมทีท้องแฝดก็คลอดล่วงหน้าอยู่แล้ว ไม่มีใครก็ไม่รู้ว่านางจะออกอาการเมื่อไร บวกกับอากาศเลวร้ายปานนี้ ท่านป้าใหญ่ตระกูลสวี่แทบจะอยากจ้องนางไม่วางตา กล้าปล่อยนางออกจากบ้านที่ไหน? แม้แต่นางสวี่มารดาแท้ๆ ของนางก็พูดไว้แต่เนิ่นๆ แล้วว่า ห้ามนางมา ให้นางอยู่บ้านอย่างสงบ

 

 

เสิ่นเวยคุยเป็นเพื่อนสมาชิกผู้หญิงในครอบครัวที่สนิทกัน เหอหลินหลินและหยวนเหมียนเหมียนเกี่ยวแขนนางคนละข้าง ดีใจอย่าบอกใครเชียว

 

 

“ท่านพี่ ท่านพี่ รอหิมะหยุดแล้วเราไปปั้นตุ๊กตาหิมะกันเถอะ” หยวนเหมียนเหมียนที่ร่าเริงดึงเสิ่นเวย นางมาด้วยกันกับนางสวี่น้อยพี่สะใภ้เล็กของนาง

 

 

เหอหลินหลินก็ตาเป็นประกายเห็นด้วยว่า “ดีเลย ดีเลย พี่สี่ ถึงเวลาพวกเราปั้นตัวใหญ่ๆ นะ ใหญ่ขนาดนี้เลย” นางกางแขนทำท่า ในตาเต็มไปด้วยความระริก เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับยามที่พบนางครั้งแรกที่จวนเหอเลย

 

 

เสิ่นหย่าที่ดูพวกนางหยอกล้อเล่นกันอยู่ข้างๆ เอ็ดว่า “หลินเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าน่ะ มาวุ่นวายกับญาติผู้พี่เจ้าอีกแล้ว เจ้าโตเป็นสาวแล้ว ยังชอบเล่นเหมือนเด็กเล็กเช่นนี้ ดูสิญาติผู้พี่เจ้าจะหัวเราะเจ้าหรือไม่?”

 

 

นี่ก็เป็นเรื่องที่เสิ่นหย่ากลัดกลุ้ม ผ่านปีใหม่ไปหลินเจี่ยเอ๋อร์ก็สิบสี่ปีแล้ว ทว่าเรื่องแต่งงานยังไม่มีวี่แววเลยแม้แต่น้อย นางเป็นหญิงหย่าร้าง ไม่สามารถออกไปสมาคมได้ มารดาใหญ่ก็ไม่ชอบหน้านาง บิดาแท้ๆ ก็เป็นผู้ชายนอก อีกทั้งได้รับบาดเจ็บ คนที่สามารถพึ่งพิงได้ก็มีแต่พี่สะใภ้ใหญ่และหลานสาวเวยเจี่ยเอ๋อร์แล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ยุ่งอยู่กับงานแต่งงานของเชียนเกอเอ๋อร์ นางจึงเกรงใจที่จะพูด นางเตรียมลองพูดกับหลานสาวก่อน ไม่ขอฐานะชาติตระกูล ลูกหลานก้าวหน้าด้วยตนเอง นิสัยดีก็เพียงพอแล้ว ขอเพียงหลินเจี่ยเอ๋อร์มีที่พึ่งพิงที่ดีได้ ก็ถือว่าสมหวังในชาตินี้แล้ว