ตอนที่ 70 - 3 ความรู้สึกที่แท้จริง

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

“หัวเราะไปเถิด” ซังต้งเอ่ยอยู่ข้างกายนางอย่างเย็นชาว่า “หากไม่หัวเราะให้มากหน่อย ชาตินี้เจ้าคงไม่มีโอกาสได้หัวเราะอีกแล้ว”

 

 

“ผู้ใดเอ่ยเช่นนั้น” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ข้าจะหัวเราะจนถึงที่สุด หัวเราะจนแก่ชรา หัวเราะจนฟันร่วงหมดปาก ยังคงเป็นยายแก่ที่งดงามที่สุด”

 

 

“เจ้าจะเพ้อฝันไปถึงชาติหน้าย่อมได้” ซังต้งเอ่ยว่า “เสียดายว่าชาตินี้ ข้าอยู่ไม่ถึงวันหนึ่งนั้นที่กลายเป็นยายแก่ เจ้ายิ่งไม่มีคุณสมบัติอยู่ถึงเข้าไปใหญ่”

 

 

“เอ๋” จิ่งเหิงปัวเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าไม่ใช่เป็นยายแก่แล้วหรือ?”

 

 

ซังต้งจ้องมองนางอย่างเดือดดาล ดั่งอสรพิษใกล้ตายตัวหนึ่งกำลังจ้องมองเหยื่อ

 

 

จิ่งเหิงปัวคล้ายไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง ยังคงกล่าวอย่างอิจฉามากว่า “เอ่ยกันแล้วเจ้าอยู่ได้คุ้มค่ากว่าข้าโดยแท้ ถึงอย่างไรเจ้าก็อายุปูนนี้แล้ว ยิ่งชรายิ่งอัปลักษณ์ อยู่ไปก็ไม่มีความหมายมาเพียงใดแล้ว ยังได้สิ้นชีพอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นครั้งหนึ่ง คุ้มแล้ว ข้าเนี่ยสิ อ่อนเยาว์อ่อนวัย งดงามดุจมวลผกา สิ้นชีพไปด้วยกันกับเจ้าเช่นนี้ เจ้าไม่รู้สึกว่าโหดร้ายหรือ?”

 

 

“เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าเจ้าเองถึงโหดร้าย? ทั้งการกระทำทั้งวาจาอาฆาตมาดร้ายเช่นนี้เสมอ” ซังต้งเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ตระกูลซังทั้งตระกูลพินาศในเงื้อมมือเจ้า คนนับร้อยทั่วทั้งตระกูลซังถูกบังคับให้พลีชีพจนหมดสิ้น นี่คือบาปกรรมของเจ้าทั้งนั้น เจ้ายังมีหน้ามาเล่นลิ้นกับข้าตรงนี้อีกหรือ?”

 

 

“ปู่มาร์กซ์[1]บอกพวกเราว่า” จิ่งเหิงปัวกล่าวพลางยิ้มตาหยีว่า “สังหาคนเลวหนึ่งตระกูล เท่ากับช่วยราษฎรหมื่นครอบครัว ตระกูลซังของเจ้าสิ้นชีพไปหลายร้อยคน ทว่าผู้ที่ไล่ตามข้างหลังรถม้านี้มีเกินหมื่นคน สิ่งใดเรียกว่าจิตใจมนุษย์? สิ่งนี้น่ะคือจิตใจมนุษย์”

 

 

“คนโง่หลอกลวงง่ายเช่นไร คนโง่ย่อมเปลี่ยนแปลงง่ายเช่นนั้น! พวกเขาเหล่านี้เคยหมอบราบกราบกรานหน้ารถม้าตระกูลซังของข้า ซาบซึ้งในพระคุณเช่นกัน! เจ้าคอยดูละกัน รอให้เจ้าหมดอำนาจ ฝีเท้าที่ไล่ตามเจ้าเหล่านี้จะยังคงอยู่หรือไม่”

 

 

“เกรงว่าเจ้าคงมองไม่เห็นแล้ว” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม

 

 

“เจ้าคงรอไม่ถึงแล้วเช่นกัน” ซังต้งใช้สันมีดค่อยๆ เสียดสีคอของนาง เอ่ยว่า “นั่นสิ ซาบซึ้งยิ่งนักใช่หรือไม่? วันนี้ดูท่าเจ้าอาศัยเรื่องตระกูลซังของข้ากระตุ้นเจตนารมณ์ของราษฎรโดยแท้ ราชินีแต่ละสมัยในอดีตคล้ายจะไม่มีความโชคดีและชื่อเสียงในทางที่ดีเช่นเจ้านี้เลย…” นางหัวเราะขึ้นมาอย่างเสียดสี เอ่ยว่า “เสียดายว่ามาสายเกินไป เจ้าควรซาบซึ้งครูหนึ่งนี้ให้เต็มที่ หากผ่านไปอีกสักครู่หนึ่ง เจ้าย่อมต้องรอคอยซื้อใจคนอีกครั้งหนึ่งในชาติหน้าแล้ว!”

 

 

“อย่าถูจนข้าเกิดรอยย่น” จิ่งเหิงปัวเพียงกำชับประโยคหนึ่งแล้วหลับตาลงไม่สนใจนาง

 

 

นางต้องคิดว่าจะทำอย่างไร

 

 

เงื่อนไขของซังต้งอำมหิตเกินไป จะให้นางทำสำเร็จไม่ได้เด็ดขาด อีกอย่างนางไม่เชื่อแน่นอนว่าหากกงอิ้นฆ่าตัวตายหน้าตำหนักอวี้จ้าวแล้ว ซังต้งจะโยนจิ่งเหิงปัวที่ยังมีชีวิตอยู่ออกมา

 

 

ความปรารถนาจะสังหารนางของซังต้งมากกว่าสังหารกงอิ้นแน่นอน

 

 

หวังว่ากงอิ้นจะไม่โง่เง่าขนาดนั้น เขาไม่ควรโง่เง่าขนาดนั้น

 

 

แน่นอนว่าวิธีที่ดีที่สุดคือหนีไปให้ได้ก่อนหน้านั้น…

 

 

ข้างหูได้ยินเสียงคนเดิน เป็นพลกล้าตายอื่นอีกสองคน ซังต้งคล้ายร้อนรนยิ่งนัก ตำหนิว่า “เงียบสงบหน่อย”

 

 

นิ้วมือที่มัดไว้ทับอยู่ใต้ร่างของจิ่งเหิงปัวขยับเขยื้อนต่อเนื่อง หวังว่าจะหาวัตถุที่คว้าถึงมาตัดเชือกของตนเองให้ขาดได้

 

 

ในรถม้ากลับไม่มีวัตถุคมกริบอะไรเลย จิตใจซังต้งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคล้ายจมดิ่งสู่ความบ้าคลั่งแล้ว หยิบกระบอกเชื้อไฟในมือขึ้นมาชมอย่างต่อเนื่อง จิ่งเหิงปัวมองดูด้วยความอกสั่นขวัญแขวน กลัวว่านางจะพลาดพลั้งทำหลุดมือ แบบนั้นคงจบเห่แล้ว

 

 

นิ้วมือที่คลำหาพลันสัมผัสวัตถุแข็งกระด้างชิ้นหนึ่ง นางหยุดมือ ตอนแรกหวังว่าจะเป็นมีดพับสวิส จากนั้นนึกได้ว่าไม่ใช่มีดพับ น่าจะเป็นเพียงปากกาอัดเสียง

 

 

เวลาออกจากวังนางมักจะนำของล้ำค่าในกระเป๋ามาด้วยนิดหน่อย เพื่อเตรียมใช้ในการหลอกลวงเสแสร้งแกล้งโกงผู้อื่น บางครั้งไม่แน่ว่าจะคิดได้ว่าจะนำมาทำอะไรกันแน่ เตรียมไว้ใช้แค่นั้น

 

 

ไม่ใช่มีดพับทำให้นางผิดหวังเล็กน้อย แค่ปากกาอัดเสียงแท่งนี้จะทำอะไรได้บ้างล่ะ?

 

 

ความร้อนรนของซังต้งแจ่มชัดเช่นนี้ นางเล่นกระบอกเชื้อไฟ นิ้วมือสั่นเทา มีดที่บาดอยู่บนคอนางประเดี๋ยวชิดใกล้ประเดี๋ยวล่าถอย สายตาลอยล่องทุกสารทิศ ทอดไปทางนอกเมืองบ่อยครั้ง

 

 

“นายน้อยใหญ่คงออกไปแล้วกระมัง” นางพลันเอ่ยขึ้น

 

 

สองคนอื่นไม่กล้ารับวาจา ผ่านไปเนิ่นนานจึงกระซิบกระซาบว่า “…คงออกไปได้แล้ว”

 

 

ซังต้งถอนหายใจอย่างผิดหวัง ใช้สันมีดตบใบหน้าของจิ่งเหิงปัวอย่างแรงครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “เป็นเพราะนังเลวทรามคนนี้ ทำข้าเสียเรื่อง!”

 

 

ใบหน้าของจิ่งเหิงปัวพลันบวมขึ้นมาเล็กน้อย บนผิวกายขาวราวหิมะมีเส้นเลือดแดงเล็กน้อยซึมออกมา มองแล้วสะดุดตายิ่ง

 

 

สายตาของซังต้งทอดลงบนเส้นเลือดแดงเหล่านั้น แววตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความโหดเ**้ยมอำมหิต

 

 

จิ่งเหิงปัวแอบร้องในใจว่าแย่แน่…ยายปีศาจตนนี้คงไม่ได้เกิดความคิดชั่วร้าย อยากกรีดใบหน้าของนางระบายความโกรธเหมือนตัวร้ายในละครน้ำเน่าพวกนั้นหรอกมั้ง?

 

 

ผู้หญิงชอบจงใจหาเรื่องใบหน้าที่งดงามไม่พอของตนเองกับใบหน้าที่งดงามเกินไปของผู้อื่นเป็นที่สุดแล้ว!

 

 

“อยากตบข้าหรือ?” นางเชิดหางตาขึ้น สายตาชั่วร้ายเสียยิ่งกว่าซังต้ง ร้องว่า “ตบสิ รีบตบอีกอีกสิ!”

 

 

สีหน้าบนใบหน้านางผุดความตื่นเต้นดีใจเล็กน้อยที่ปิดไม่มิด พอมองดูแล้วกลับเป็นความมุ่งมาดปรารถนา

 

 

ซังต้งชะงักงัน สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความลังเล

 

 

“ยังอยากกรีดใบหน้าของข้าใช่หรือไม่?” จิ่งเหิงปัวไล่ตามไม่ยอมลดละ กล่าวว่า “เช่นนั้นกรีดสิ รีบหยิบมีดของเจ้ามาสิ เล็บมือก็ได้ นำของมีคมทุกสิ่งที่กรีดใบหน้าได้มากรีดสิ!”

 

 

ซังต้งเบิกตามองนางอย่างเหลือเชื่อ ไม่เข้าใจว่านางมีแผนการจะทำอะไรกันแน่

 

 

ในลำแสงมืดครื้มของรถม้าสีหน้าสวยสดงดงามของจิ่งเหิงปัวขับริมฝีปากแดงคล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้มให้เด่นชัด มีความรู้สึกแปลกประหลาดหลายส่วน

 

 

พลกล้าตายตระกูลซังผู้หนึ่งข้างกายอดจะแอบเตือนสติซังต้งไม่ได้ เอ่ยว่า “ผู้นำตระกูล ได้ยินว่าราชินีนางนี้มีความมหัศจรรย์ ท่านอย่าได้เข้าใกล้นางมาก ระวังตกหลุมพรางของนาง”

 

 

ซังต้งเงียบงัน เรือนร่างร่นถอยไปข้างหลัง ยิ้มเยาะพลางเอ่ยว่า “จะเล่นลูกไม้ใดได้ เล่นลูกไม้มากมายเพียงใด อีกประเดี๋ยวย่อมหนีไม่พ้นต้องกลายเป็นเถ้า!”

 

 

แม้วาจาเอ่ยได้แข็งแกร่งยิ่งนัก มีดที่ค้ำอยู่บนคอของจิ่งเหิงปัวกลับมั่นคงขึ้นมา ไม่ยื่นคมมีดแสงเยือกเย็นวูบวาบนั้นมาบนใบหน้านางอีกแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวถอนหายใจเฮือกหนึ่งในใจ พอเชิดสายตามองเห็นพลกล้าตายสองคนนั้น ได้ยิน “กลายเป็นเถ้า” ประโยคนั้นของซังต้ง บนใบหน้ามีสีหน้าเศร้าสลด

 

 

ในใจนางกระตุกวูบ

 

 

ก่อนหน้านี้นางเคยมีความงงงวย ทำไมพลกล้าตายของตระกูลซังเหล่านี้ถึงขับรถม้าพลีชีพโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยต่อไปได้ พบเจอการขัดขวางยังไม่เปลี่ยนแปลงเจตนารมณ์ การที่คนไปพลีชีพมักจะเป็นความกล้าหาญชั่วขณะ หากถูกขัดขวางเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะยอมรามือแค่นั้น ยิ่งกว่านั้นคนพวกนี้ไม่ใช่คนตระกูลซังแต่เป็นแค่ทาสเท่านั้น นางไม่เชื่อว่าด้วยการวางตัวซังต้ง จะทำให้คนยอมตายแบบไม่ร้องขอชีวิตอย่างสุดหัวใจแบบนี้ได้

 

 

นางก็คิดไม่ตกว่าทำไมซังต้งถึงให้คนเหล่านี้ไปทำภารกิจต้องตายอย่างไว้ใจได้

 

 

แบบนั้น ถ้าคนที่ปฏิบัติการตามลำพังหลายกลุ่มนั้นเป็นคนที่ถูกตระกูลซังควบคุมเลยจำเป็นต้องไปตาย แล้วสองคนตรงหน้านี้ล่ะ?

 

 

ดูจากสีหน้า แท้จริงแล้วพวกเขาไม่อยากตาย

 

 

พวกเขาขึ้นรถมาด้วยกันกับซังต้งได้ คงจะเป็นคนไว้ใจในหมู่ของคนไว้ใจ ถ้าอย่างนั้นมีความเป็นไปได้ไหมว่าลูกน้องรอบนอกต่างถูกพิษ ลูกน้องเชื่อถือที่สุดสนิทสนมที่สุดถึงให้ยาถอนพิษเหมือนในนิยายกำลังภายใน

 

 

พูดอีกแบบหนึ่งคือสองคนนี้แตกต่างจากพลกล้าตายเหล่านั้น ยังมีโอกาสรอดชีวิต

 

 

นางอยากจะพิสูจน์สักหน่อย

 

 

“เอ๊ะ” นางจ้องมองคนหนึ่งในนั้น กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นคนตระกูลซังที่ขับรถเหล่านั้น บนใบหน้าต่างมีควันดำเจือจาง เหตุใดเจ้าถึงไม่มี? เจ้าคงไม่ได้สวมรอยมากระมัง?”

 

 

“เหลวไหล” คนผู้นั้นพลันเอ่ยว่า “นั่นด้วยเพราะพวกเขากินยาแดง ส่วนพวกเราไม่ได้…”

 

 

เขาคล้ายนึกได้ว่าตนเองเอ่ยวาจาที่ไม่สมควรเอ่ย หุบปากเงียบโดยพลัน มองซังต้งอย่างกระวนกระวายใจปราดหนึ่ง ซังต้งกลับจ้องมองนอกประตูเมืองด้วยท่าทางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม เป็นแบบนี้นี่เอง

 

 

 

 

 

 

 

[1] คาร์ล มาร์กซ์ ผู้วางรากฐานของลัทธิคอมมิวนิสต์