ตอนที่ 272-1 งานเลี้ยงในวัง

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

หลังจากงานแต่งงานของเสิ่นเชียนก็ควรฉลองปีใหม่แล้ว จวนต่างๆ เริ่มยุ่งตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน เพียงแต่ฤดูหนาวปีนี้หนาว หิมะก็มาก บรรยากาศรื่นเริงบนถนนก็สู้ปีก่อนๆ ไม่ได้ ทว่านี่ก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ในจวนคนใหญ่คนโตต่างๆ ในเมืองหลวงยังคงตกแต่งอย่างสวยงาม บรรยากาศสนุกสนานรื่นเริง

 

 

สิ้นปีเป็นช่วงเวลาที่นายหญิงของแต่ละบ้านยุ่งที่สุด ทว่าเสิ่นเวยกลับว่างเป็นพิเศษ นอกมีท่านซู ในมียายมั่ว นางก็มีความสุขที่เป็นคนสั่งการไม่ต้องรับผิดชอบ

 

 

ก่อนปีใหม่ เสิ่นซวงพี่รองของเสิ่นเวยคลอดแล้ว ใหกำเนิดเด็กชายคู่หนึ่ง เดิมทีหมอหลวงบอกว่าอีกสิบกว่าวันก็ใกล้แล้ว ไม่คิดว่าสองตัวนี้เหมือนจะเร่งให้มาให้ทันฉลองปีใหม่อย่างไรอย่างนั้น มาล่วงหน้าแล้ว

 

 

เสิ่นซวงตอนเช้ากินข้าวเช้าเสร็จ ให้สาวใช้พยุงยังเดินอยู่ในห้องหลายรอบ ยังไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเอาเสื้อเล็กๆ ที่พวกสาวใช้ทำออกมาดูรอบหนึ่ง กำลังพูดเล่นกันอยู่เลย ก็รู้สึกปวดท้อง จึงอดร้องว้ายออกมาไม่ได้ ทำพวกสาวใช้ตกใจแทบแย่ ต่างล้อมเข้ามาถามว่า “ฮูหยินน้อยท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ?”

 

 

อย่างไรก็ยายเฒ่าข้างกายนางมีประสบการณ์ ว่า “ฮูหยินน้อยจะคลอดแล้ว รีบไปเชิญฮูหยินและหมอตำแย” นางพลางพยุงเสิ่นซวงไว้ พลางใช้ให้สาวใช้เตรียมตัวให้พร้อมอย่างมีแบบแผน ต้มน้ำร้อน เตรียมผ้าสะอาดอะไรพวกนี้

 

 

นางโหลวมาเร็วมาก วิ่งจนแหบแฮ่กๆ “ไยถึงกำเริบแล้วนะ? บอกว่ายังมีอีกสิบกว่าวันมิใช่หรือ?” ข้างหลังนางยังมีหมอตำแยตามมาสองคน นี่เตรียมไว้ตั้งนานแล้ว อาศัยอยู่ในเรือนมาตลอด ใกล้สิ้นปียังไม่ปล่อยพวกนางกลับบ้านไป ก็เพราะกลัวเสิ่นซวงออกอาการแล้วหาคนไม่ได้ ดูสิ นี่ก็เจอเข้าแล้วอย่างไรล่ะ?”

 

 

หมอตำแยคนหนึ่งในนั้นจึงยิ้มว่า “ผู้หญิงคลอดบุตรมีใครตรงเวลาที่ไหน ฮูหยินน้อยอุ้มครรภ์ฝาแฝด คลอดก่อนกำหนดก็มีเหมือนกัน”

 

 

นางโหลวพยักหน้า กลั้นความลนลานในใจไว้ แล้วพยุงเสิ่นซวงเข้าห้องคลอดด้วยตนเอง ปลอมใจนางว่า “ซวงเจี่ยเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว ผู้หญิงล้วนต้องผ่านด่านนี้ เจ้าร่างกายแข็งแรง เลี้ยงครรภ์มาก็ดี ตำแหน่งครรภ์ก็ตรง ต้องคลอดออกมาได้อย่างราบรื่นแน่นอน แม่อยู่เป็นเพื่อนเจ้าในห้องนี่ เราไม่กลัวนะ” มอบสะใภ้ให้หมอตำแยแล้วนางจึงหลุบตาสวดมนต์อยู่ข้างๆ ขึ้นมา

 

 

บอกตรงๆ หากมารดาสามีสามารถเข้าห้องคลอดกับสะใภ้ได้ก็มีให้เห็นไม่มากแล้ว มารดาสามีส่วนใหญ่ก็เพียงแค่รออยู่ข้างนอกเท่านั้น ยังมีมารดาสามีส่วนน้อยมากที่ เพียงแค่มาดูปราดหนึ่งก็หันหลังกลับเรือนแล้ว

 

 

ก็ไม่รู้ว่าเป็นผลทางใจ หรือว่านางโหลวสวดมนต์ได้ผลจริงๆ ครรภ์นี้ของเสิ่นซวงยังนับว่าคลอดได้ราบรื่น หน้าหลังใช้เวลาสองชั่วยามกว่า แม้แต่หมอตำแยก็อวยพรตามๆ กัน บอกว่าฮูหยินน้อยดวงดี ไม่เคยเห็นใครคลอดฝาแฝดราบรื่นเท่านี้มาก่อน

 

 

นางโหลวอุ้มผ้าอ้อมเด็กสีแดงสองอันข้างละห่อ มองหลานรักสองคนที่ตะเบ็งร้องไห้ แล้วยิ้มจนตาหยีเป็นเส้น สั่งเสียงดังไม่หยุดว่า “ให้รางวัล ให้รางวัลอย่างงาม” ไม่เพียงแต่ให้รางวัลหมอตำแยอย่างงามบ่าวไพร่ทั้งจวน โดยเฉพาะพวกสาวใช้ยายเฒ่าที่ปรนนิบัติเสิ่นซวง มีส่วนกันทุกคน

 

 

นางสวี่ฮูหยินจงอู่โหวที่ได้รับข่าวมงคล ดีใจสวดว่าพระโพธิสัตว์คุ้มครองเป็นการใหญ่ แล้วสั่งให้บ่างไพร่เตรียมของขวัญทันที ไม่สนว่าเป็นยามบ่ายแล้ว ตรงไปจวนซ่างซูเยี่ยมบุตรสาวและหลานชายสองคนแล้ว

 

 

วันสี่ซานเสิ่นเวยในฐานะพี่น้องย่อมต้องไปอยู่แล้ว นางมองดูเด็กทารกสองคนที่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบ แล้วรู้สึกไม่น่าเชื่อ นางยื่นนิ้วจิ้มหน้าเล็กๆ ของทารกที่หลับสนิท นิ่มๆ อาจเพราะรู้สึกได้ ศีรษะของทารกน้อยนั่นขยับทีหนึ่ง อ้าปากเล็กๆ หาวทีหนึ่งแล้วนอนต่ออีก

 

 

เสิ่นเวยดูแล้วรู้สึกแปลกใหม่มาก กำลังคิดจะจิ้มอีก ก็ถูกเสิ่นอิงขวางไว้ว่า “โตเป็นผู้ใหญ่แล้วยังเล่นเป็นเด็กๆ อีก? อย่าทำให้ตัวเล็กตื่น”

 

 

เสิ่นเวยถึงหดมือกลับอย่างเคอะเขิน แล้วถามพี่รองนางว่า “ตั้งชื่อหรือยัง?”

 

 

เสิ่นซวงพิงอยู่ที่หัวเตียง ถอนสายตาที่จ้องบุตรชายสองคนกลับมา ยิ้มวา “ยังเลย เรียกเกอเอ๋อร์ใหญ่ เกอเอ๋อร์รองเช่นนี้ไปก่อน ชื่อท่านปู่กำลังคิดอยู่” เพราะเป็นลูกแฝด ในจวนเห็นความสำคัญเป็นพิเศษ สิทธิ์การตั้งชื่อจึงเป็นของสวี่ซ่างซูโดยตรง อย่าว่าแต่บิดาของเด็ก แม้แต่ท่านปู่ของเด็กก็หมดสิทธิ์

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้า วางของขวัญที่ให้เด็กไว้ข้างผ้าอ้อมเบาๆ กำไลคอ กุญแจอายุยืน กำไลข้อมือ กำไลข้อเท้า ประณีตกะทัดรัด ที่สลักไว้ด้านบนล้วนเป็นลายมงคล เป็นทองคำทั้งหมด นอกจากนี้ยังให้เสื้อผ้าฝ้ายคนล่ะสองชุด แน่นอนเสิ่นเวยยังให้เงินหลานชายตัวน้อยสองคนคนละห้าร้อยตำลึงเป็นของขวัญแรกพบเป็นการส่วนตัว มือเติบเช่นนี้ก็ไม่มีใครแล้ว ต่อให้นางโหวรู้เข้าก็ได้แต่เดาะลิ้น

 

 

ทว่าที่ทำให้เสิ่นเวยประหลาดใจคือความเปลี่ยนแปลงของเสิ่นเสวี่ย ก่อนหน้านี้เสิ่นเชียนแต่งงาน เสิ่นเวยคุยเป็นเพื่อนอาหญิงและญาติผู้น้องครู่หนึ่งก็ไปเรือนของท่านปู่นางแล้ว เสิ่นเสวี่ยไปสายสักหน่อย ทั้งสองคนจึงไม่ได้พบหน้ากัน

 

 

ครั้งนี้เจอกันที่จวนซ่างซู เสิ่นเวยแทบจะตกตะลึงพรึงเพริด เพียงสั้นๆ ไม่กี่เดือนเสิ่นเสวี่ยก็เปลี่ยนสภาพไปโดยสิ้นเชิง คนทั้งคนผอมซูบมาก แก้มสองข้างตอบเข้าไป โหนกแก้มยกขึ้นสูง แต่งหน้าเข้มหนา ทั้งคนดูเฉียบคมและเต็มไปด้วยความหดหู่เศร้าหมอง ดูมืดมน พูดจาก็คลุมเครือประหลาด

 

 

เสิ่นเวยอดขมวดคิ้วไม่ได้ ศอกเสิ่นอิงที่อยู่ข้างๆ ว่า “นี่นางเป็นอะไรไป?” ระยะนี้พลังงานของนางล้วนทุ่มเทให้กับสวีโย่วและท่านปู่ ไม่ได้สนใจอย่างอื่นจริงๆ

 

 

เสิ่นอิงถอนใจทีหนึ่ง พูดข้างหูนางว่า “จะเป็นอะไรได้ล่ะ แท้งน่ะสิ”

 

 

เสิ่นเวยยิ่งประหลาดใจขึ้นว่า “เรื่องตั้งแต่เมื่อไร? ไยถึงไม่ได้ยินมาก่อน? แท้ง ข้างกายมีสาวใช้ยายเฒ่าตามเป็นพรวน ไยถึงยังแท้งได้?”

 

 

เสิ่นอิงมองเสิ่นเสวี่ยที่อยู่ไม่ไกลออกไปปราดหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความจำใจว่า “เรื่องเมื่อเดือนที่แล้ว บ้านพวกนาง แค่ก คุณหนูญาติผู้น้องอะไรนั่นเป็นอนุให้น้องเขยห้ามิใช่หรือ?”

 

 

เพียงพูดประโยคเดียวเสิ่นเวยก็เข้าใจทันที ได้ยินท่านป้าใหญ่บอกว่าคุณหนูญาติผู้น้องที่ชื่อจ้าวเฟยเฟยคนนั้นไม่ใช่เล่นๆ นะ นางทำทุกวิถีทางจนได้เป็นอนุของเว่ยจิ่นอวี๋ ไม่มีทางสงบเสงี่ยมเจียมตัวหรอกนะ เสิ่นเสวี่ยว่าไปแล้วก็คือคนกร่างในรัง อารมณ์ก็ร้าย จะเป็นคู่มือของจ้าวเฟยเฟยได้อย่างไรกัน? ดูสิ นี่เสียเปรียบแล้วมิใช่หรือ?

 

 

“เว่ยจิ่นอวี๋ล่ะ? จวนหย่งหนิงโหวไม่ให้คำอธิบายหรือ?” เสิ่นเวยแม้ไม่ดาหน้าเข้าไปออกหน้าแทนเสิ่นเสวี่ย ทว่าในใจอย่างไรก็ไม่พอใจอยู่บ้าง

 

 

“จะมีคำอธิบายอะไร? ได้ยินว่าเพราะน้องห้าสั่งสอนอนุแล้วหกล้มเองจนแท้ง ต่อให้ลงโทษ ก็เพียงแค่กักบริเวณ คัดบทสวดมนต์เท่านั้น ผ่านไปสามเดือนห้าเดือนก็ปล่อยออกมาแล้ว นั่นเป็นญาติผู้น้องแท้ๆ ของน้องเขยห้า จะฆ่าแกงกันจริงๆ ได้หรือ?” เสิ่นอิงน้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจและเย้ยหยันอย่างเข้มข้น

 

 

เสิ่นเวยเม้มปากแน่น ความประทับใจที่มีต่อเว่ยจิ่นอวี๋ในใจยิ่งแย่ลง เจ้าคนเช่นนี้ยังสอบตำแหน่งเจี่ยหยวนได้ สวรรค์ช่างตาบอดจริงๆ แม้แต่หลังบ้านตนเองยังจัดการไม่เรียบร้อยยังคิดจะเป็นขุนนาง? อย่าทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนเลย

 

 

เสิ่นเสวี่ยก็จริงๆ เลย เก่งนักมิใช่หรือ? เสียเปรียบถึงปานนี้ก็ยอมทั้งเช่นนี้แล้ว? เสิ่นเวยจะโมโหจนปวดตับเพราะนางหมดแล้ว นางไม่เห็นนางในสายตาคือเรื่องหนึ่ง ทว่าบนตัวพวกนางมีตราประทับเหมือนกัน ‘ธิดาตระกูลเสิ่น’ หากนางเจอเรื่องนี้ นางไม่สนหรอกนะว่าคุณหนูญาติผู้น้องหรือไม่น่ะ เล่นงานนางให้ตายก่อนแล้วค่อยว่ากัน ชีวิตชดใช้ด้วยชีวิต นี่ถึงเรียกว่ายุติธรรม ไหนๆ บ้านฝ่ายหญิงก็อิทธิพลล้นฟ้า จวนหย่งหนิงโหวกล้าหือหรือไม่?

 

 

ยังไม่สู้ไม่รู้เรื่องนี้ดีกว่า เสิ่นเวยขยะแขยงเหมือนกินแมลงวันก็ไม่ปาน หลังจากกลับจวนก็ลากคุณชายใหญ่บ้านนางข่มขู่อยู่ครึ่งค่อนวัน ในใจคิดเพียงอย่างเดียว ‘หากท่านกล้ามีอนุ ข้าก็จะหักขาท่าน’

 

 

สวีโย่วทั้งน่าขันทั้งจำใจ ได้แต่ใช้การกระทำมาอุดปากเล็กๆ ที่พูดไม่หยุดของนาง

 

 

พริบตาเดียวก็มาถึงวันสิ้นปี เสิ่นเวยและสวีโย่วล้วนต้องไปร่วมงานเลี้ยงในวัง บอกตรงๆ ใจจริงเสิ่นเวยไม่ค่อยอยากไป อากาศก็หนาว ยังต้องใส่ชุดเต็มยศของท่านหญิง ใส่เครื่องประดับที่หนักหน่วง ต้านลมทรมานไปถึงในวัง อาหารในวังก็ไม่ได้อร่อยกว่าในจวน ได้ยินว่ายังเย็นด้วย ไหนเลยจะสบายสู้ขลุกอยู่ในจวนได้?

 

 

เสิ่นเวยไม่เต็มใจไป ทว่าคนที่เต็มใจไปมีเยอะเชียวนะ สามารถมีคุณสมบัติไปร่วมงานเลี้ยงในวังไม่มีที่ระดับชั้นไม่พอ พวกที่ระดับชั้นต่ำไม่เป็นที่โปรดปราน อยากไปยังไม่ได้ไปเลยนะ สามารถไปร่วมงานเลี้ยงในวังได้นี่เป็นเกียรติอย่างสูงสุดเชียว ใช่เพราะข้าวมื้อนั้นกันที่ไหน?

 

 

ต่อให้เสิ่นเวยไม่เต็มใจอย่างไรก็ต้องไป นางแต่งตัวเต็มยศตามระดับชั้นแล้วก็พายายมั่วและหลีฮวาและสวีโย่วขึ้นรถม้าไปด้วยกัน พบกับองค์หญิงใหญ่ที่รออยู่ที่ประตูวัง

 

 

สวีโย่วเข้าไปเอ่ยว่า “เสด็จอา นางเสิ่นเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังครั้งแรก ไม่ค่อยเข้าใจกฎเกณฑ์ ท่านช่วยดูนางหน่อยขอรับ” ที่แท้สวีโย่วไหว้วานองค์หญิงใหญ่ดูแลเสิ่นเวยนั่นเอง

 

 

องค์หญิงใหญ่กวักมือเรียกเสิ่นเวย และพูดกับสวีโย่วว่า “อาโย่วเจ้าไปอย่างสบายใจเถอะ ให้สะใภ้เจ้าอยู่กับข้า รับรองไม่มีผิดพลาด”

 

 

สวีโย่วหลังจากกราบขอบคุณแล้วก็กำชับเสิ่นเวยอีกว่า “เจ้าก็ตามอยู่ข้างกายเสด็จอาและญาติผู้น้อง รองานจบแล้วข้าไปรับเจ้า”

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้าแล้วขึ้นราชรถขององค์หญิงใหญ่ “รบกวนเสด็จอาแล้วเพคะ”

 

 

องค์หญิงใหญ่ยังไม่ทันได้พูด ท่านหญิงชิงหรุ่ยก็ค้องแขนของเสิ่นเวยไว้ว่า “ดูพี่สะใภ้เกรงใจเข้าสิ ข้ากำลังกลุ้มที่ไม่มีเพื่อนพอดีเลย”

 

 

องค์หญิงใหญ่ก็ว่า “คนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น เจียฮุ่ยไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”

 

 

ฐานะและอาวุโสขององค์หญิงใหญ่สูงมาก เสิ่นเวยตามอยู่หลังนางผ่านฉลุยมาตลอดทางถึงตำหนักใหญ่ที่รับรองแขก ในตำหนักใหญ่มีมังกรดิน ก็อบอุ่นมากทีเดียว เสิ่นเวยจึงแก้เสื้อคลุมขนจิ้งจอกที่คลุมอยู่ออก

 

 

พวกนางนับว่ามาไม่เช้า กลับก็ไม่นับว่าสาย ในตำหนักใหญ่มีสตรีที่มีเก้ามิ่งมาแล้วไม่น้อย เสิ่นเวยกวาดมองไป แทบจะไม่เห็นคนคุ้นเคย จึงตามองค์หญิงใหญ่เดินเข้าข้างในต่อ ระหว่างทางมีคนเข้ามาถวายบังคมองค์หญิงใหญ่ไม่น้อย