ตอนที่ 222-2 พิธีก่อตั้งครั้งใหม่

ลำนำสตรียอดเซียน

“ในเมื่อผู้อาวุโสแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งหมดในกลุ่มของเราได้จากไปแล้ว เราตัดสินใจเลือกผู้อาวุโสชั่วคราวสองคนจากผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งหมด พวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ของผู้อาวุโสจนกว่าผู้อาวุโสแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลังคนใหม่จะปรากฏตัวขึ้น”

 

 

ทันทีที่เว่ยเฮ่าหลานกล่าวจบนั้น ผู้ฝึกตนการสร้างฐานพลังงานหลายสิบชีวิตล้วนแต่เงยหน้ามองตรงไปที่นาง พวกเขาได้ยินเรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ในฐานะผู้อาวุโส ข้อเสนอที่พวกเขาจะได้รับนั้น มากมายกว่าผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไป ฉะนั้นทุกคนจึงวาดหวังที่จะได้ครองตำแหน่งผู้อาวุโสเป็นทุนเดิม เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าการเลือกผู้อาวุโสนั้นมีวิธีการอย่างไร

 

 

สายตาเว่ยเฮ่าหลานดูนิ่งสงบ ทว่านางกลับไม่ได้เข้าสู่รายละเอียดในทันที “ศิษย์น้องทั้งหลาย เราจะแจ้งรายละเอียดเรื่องนี้ให้ทราบในภายหลัง”

 

 

หลังจากนั้น นางก็กล่าวประโยคปลุกใจบางอย่างแก่บรรดาลูกศิษย์ต่อไป และประกาศให้พิธีเป็นอันเสร็จสิ้นลง

 

 

พิธีการอาจเสร็จสิ้นลงแล้ว ทว่าความวุ่นวายและความตื่นเต้นเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ลูกศิษย์ใหม่จำนวนมากจะต้องได้รับภารกิจถ้ำเซียน ลูกศิษย์ดั้งเดิมของสภาปี้เซวียนส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้ฝึกตนสตรีเพศ ฉะนั้นชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาต้องถูกจัดระเบียบเสียใหม่ โดยการแยกพวกเขาออกจากผู้ฝึกตนบุรุษเพศทั้งหมด

 

 

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เว่ยเฮ่าหลานจึงยุ่งตัวเป็นเกลียว จนเท้าของนางแทบจะไม่ได้แตะพื้นดิน

 

 

โม่เทียนเกอไม่อาจยื่นมือเข้ามาช่วยในเรื่องเหล่านี้ได้ และนางเองก็ไม่ได้ชอบเรื่องพวกนี้เท่าไรนัก ฉะนั้น นางจึงกลับไปยังบ้านพักที่จัดหาไว้ให้นางเพื่อพักผ่อนเสีย

 

 

เจดีย์บรรลุเต๋าถูกปิดไม่ให้เข้าเป็นการชั่วคราว ถึงแม้ว่านางจะล่วงเข้าไปสู่ชั้นเจ็ด ซึ่งเป็นชั้นลับสุดยอดแล้ว แต่มันก็เป็นเพียงโอกาสที่เป็นประโยชน์ต่อนางในตอนนั้นเท่านั้น นางเป็นเพียงผู้อาวุโสรับเชิญ ไม่ใช่ผู้ฝึกตนของสภาปี้เซวียนที่แท้จริง บางเรื่องราวนั้น นางก็ควรหลีกหนีไปเสียจะดีกว่า

 

 

ในเมื่อตอนนี้ ทางกลุ่มไร้ซึ่งผู้อาวุโสแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เว่ยเฮ่าหลานจึงปรึกษาหารือในเรื่องการจัดการเจดีย์บรรลุเต๋ากับโม่เทียนเกอ ความเสียหายที่สภาปี้เซวียนได้รับนั้นเลวร้ายทีเดียว บัดนี้นอกเหนือจากการพัฒนาลูกศิษย์ชุดใหม่แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเตรียมพร้อมผู้ฝึกตนแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลังให้เข้ารูปเข้ารอยอีกครั้ง มันเป็นเพียงการให้กลุ่มของผู้ฝึกตนแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลังสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งและความมั่นใจขึ้นมาได้

 

 

ความคิดของเว่ยเฮ่าหลานหมายที่จะใช้ข้อได้เปรียบของช่วงเวลาที่พวกเขาเลือกผู้อาวุโสชั่วคราวนี้ เพื่อเลือกผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งห้า ให้ไปดำรงตนอยู่ภายในเจดีย์บรรลุเต๋าด้วยเช่นกัน พวกเขาจะถูกจัดสรรให้อยู่กันคนละชั้น ตั้งแต่ชั้นที่สองจนถึงชั้นที่หก เพื่อที่พวกเขาจะได้มุ่งมั่นกับการก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ถึงแม้ว่าการที่พวกเขาทั้งหมดจะสามารถสำเร็ลุล่วงได้หรือไม่นั้น ยังคงเป็นเรื่องที่น่ากังขาอยู่ แต่การมีหนึ่งหรือสองคนจากทั้งหมด ที่สามารถสำเร็จลุล่วงได้นั้นมีความเป็นไปได้อย่างมากทีเดียว

 

 

โม่เทียนเกอเห็นด้วยกับความคิดของนาง ถึงกระนั้น เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับนางเพียงน้อยนิด ตราบใดที่สภาปี้เซวียนยังคงก้าวไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง นางก็สามารถไปจากเมืองหลินไห่ และกลับไปยังคุนอู๋ได้

 

 

นางไม่เคยนึกฝันเลยว่าการเดินทางอันแสนธรรมดาเพื่อให้ได้มาซึ่งประสบการณ์ จะกินเวลานางไปถึงยี่สิบปีอย่างน่าประหลาดใจเช่นนี้ นางสงสัยเสียจริงว่าตอนนี้ผู้คนในสำนักเสวียนชิงจะเป็นอย่างไรกันบ้าง พวกเขาได้คิดถึงนางบ้างหรือไม่ หรือบางทีอาจจะเป็นกังวลที่นางต้องเผชิญกับอุบัติเหตุหรือไม่กันนะ

 

 

อ้อ ใช่แล้ว! ก่อนที่นางจะจากมา อาจารย์ของนางเคยบอกให้นางทิ้งเลือดสกัดหนึ่งหยดเอาไว้ครั้งหนึ่ง เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่านางยังคงสบายดี แต่นางไม่ได้กลับไปนานมากแล้ว พวกเขาจะกำลังตามหานางอยู่หรือไม่

 

 

เมื่อตอนนี้ที่นางสามารถจากไปได้ในเร็ววัน นางกลับรู้สึกอยู่ไม่เป็นสุข นางใช้เวลายี่สิบปีในการรอคอย แต่ในช่วงเวลาสุดท้าย นางกลับรู้สึกว่านางทนรอต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว นางปรารถนาให้ตนเองสามารถละทิ้งทุกสิ่งอย่าง และโบยบินตรงกลับไปยังสำนักเสวียนชิงได้

 

 

ขณะที่ความคิดเช่นนี้ล่องลอยอยู่ในหัวของนาง เสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้นมาจากด้านนอกประตู “ศิษย์พี่เยี่ย ศิษย์พี่เยี่ย ท่านอยู่ข้างในไหม”

 

 

รอยย่นเล็กน้อยเกิดขึ้นที่บริเวณคิ้วของโม่เทียนเกอ เสียงนี้… ใช่แล้ว! นี่คือเสียงของอี้หลิ่ว!

 

 

โม่เทียนเกอสลายม่านพลัง จากนั้นเปิดประตู และแน่นอนว่านางก็ได้พบกันสองสาวพี่น้องยืนอยู่ที่ด้านนอกนั่น

 

 

“ศิษย์พี่เยี่ย เป็นท่านจริงๆ ด้วย!” สองพี่น้องร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น

 

 

โม่เทียนเกอค่อนข้างประหลาดใจ แต่ก็รู้สึกมีความสุขอย่างมาก นางไม่ได้คาดหวังไว้ว่าพวกเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย “พวกเจ้านั่นเอง! รีบเข้ามานั่งก่อนสิ”

 

 

อี้หลิ่วและอี้ชิวรีบพยักหน้าตอบรับ และยิ้มแจ่มใสอย่างมีความสุข หลังจากทั้งสองคนเข้าไปในห้องและสำรวจสภาพแวดล้อมอย่างรวดเร็ว พวกเขาพลันเอ่ยขึ้นมาทันทีว่า “ศิษย์พี่ ทำไมห้องถึงได้รกขนาดนี้ ให้พวกข้าทำความสะอาดให้สักหน่อยดีไหม”

 

 

โม่เทียนเกอระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “เราไม่ได้เจอกันมาตั้งยี่สิบปี แต่พวกเจ้าสองคนกลับอยากทำความสะอาดห้องของข้าทันทีที่เจ้าเจอข้า พวกเจ้าสองคนถูกชะตาลิขิตให้มาเป็นแม่บ้านเสียจริง ระดับการฝึกตนของพวกเจ้าไม่เลวทีเดียว ฉะนั้นเจ้าคงได้เป็นลูกศิษย์ทางการแล้วใช่ไหม เจ้าไม่จำเป็นต้องช่วยข้าทำสิ่งเหล่านี้อีกต่อไปแล้วล่ะ”

 

 

อี้ชิวรู้สึกเขินอายเล็กน้อย พร้อมกับกล่าวออกไปว่า “พวกเราชินเสียแล้วล่ะ…”

 

 

อี้หลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์พี่ ตอนนี้ท่านเป็นผู้อาวุโสของสภาปี้เซวียนแล้ว แม้ว่าเราจะกลายเป็นลูกศิษย์ทางการ แต่การทำสิ่งเหล่านี้ให้ท่านเป็นสิ่งที่พวกเราคาดหวังไว้”

 

 

“ใช่แล้วๆๆ” อี้ชิวรีบยืนขึ้นในทันที “ได้โปรดนั่งเถอะ ศิษย์พี่ พวกเราคุยกันท่านขณะที่ทำความสะอาดห้องไปด้วยได้”

 

 

“ก็ได้” ในเมื่อพวกเขาต่างกระตือรือร้นที่จะทำนัก มันก็คงไม่เหมาะสมถ้านางยังคงปฏิเสธพวกเขาต่อไป

 

 

“เอาละ ปีนั้น… เจ้าหนีออกมาได้งั้นหรือ ได้รับบาดเจ็บไหม”

 

 

คำถามของนางทำให้สองสาวพี่น้องนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ท้ายที่สุด อี้หลิ่วพลันถอนหายใจและกล่าวออกมาว่า “ในปีนั้น… เรากำลังเฝ้าห้องวางแผนอยู่ เราคือเป้าหมายมาตั้งแต่แรก โชคยังดีที่อี้ชิวและข้ารอดชีวิตมาได้ แม้ว่าพวกเราจะบาดเจ็บสาหัสมากก็ตาม ต่อมา สถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในกลุ่มล้วนแต่วุ่นวายเละเทะโดยสิ้นเชิง บรรดาลูกศิษย์ที่บาดเจ็บสาหัสต่างต้องอาศัยความรู้ด้านภูมิประเทศของเรา และอาศัยจังหวะได้เปรียบของสถานการณ์ที่กำลังสับสนอลหม่าน หลบหนีออกมา…”

 

 

“อื้อ” อี้ชิวกล่าว “ท่านพี่และข้าไม่กล้ากลับไปยังกลุ่ม จึงซ่อนตัวอยู่ที่เกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งในทะเล บนเกาะเล็กๆ แห่งนั้นไม่มีเส้นเลือดวิญญาณอยู่เลย ไม่มีผู้ฝึกตนคนใดเคยไปที่นั่นมาก่อน มันจึงเป็นที่ที่ปลอดภัยอย่างมาก โชคดีที่เราได้รับยาทางการแพทย์จำนวนมากมาจากการแลกเปลี่ยนกับศิษย์พี่ เราจึงสามารถหลบซ่อนตัวและฟื้นฟูพลังบนเกาะแห่งนั้นได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา…”

 

 

“เจ้าหลบซ่อนตัวแบบนั้นมาตลอดยี่สิบปีเช่นนั้นหรือ”

 

 

รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าอี้หลิ่ว “เราเคยกลับมาครั้งหนึ่ง ในตอนนั้น ทั่วทุกหนแห่งของเมืองหลินไห่เต็มไปด้วยความโกลาหล ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ของกลุ่มพวกเรา หรือผู้ฝึกตนอิสระ พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนถูกทรมานหากพวกเขาบังเอิญไปเจอปีศาจร้ายพวกนั้น… ในตอนนั้น ผู้ฝึกตนในเมืองหลินไห่เองต่างซ่อนตัว มันเป็นเรื่องยากมากที่จะได้เห็นผู้ฝึกตนสักคนในเมืองหลินไห่แห่งนี้…”

 

 

“ใช่… นอกจากลูกศิษย์ไร้ยางอายบางคนที่ต้องพึ่งพาปีศาจร้ายพวกนั้น ผู้ฝึกตนอย่างพวกเราทั้งหมดที่ถูกทิ้งให้เร่ร่อนอยู่ด้านนอก ต่างกลับมารวมตัวกันโดยสมบูรณ์ พวกเราแบ่งปันข่าวสารแก่กันและกัน พวกเราจึงยังคงยืนหยัดต่อไปได้ นี่คงจะเป็นความโชคดีในความโชคร้ายกระมัง”

 

 

“อย่างนั้นหรือ” โม่เทียนเกอค่อนข้างประหลาดใจ เดิมทีนางคิดว่าเป็นเพราะสภาปี้เซวียนนำพาความหายนะอันใหญ่หลวงนั้นมา ผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายเหล่านั้นคงจะไม่ชอบใจที่ได้เห็นผู้ฝึกตนของสภาปี้เซวียน

 

 

“แน่นอนเจ้าค่ะ” อี้ชิวยิ้มและกล่าวว่า “ความจริงแล้ว ก่อนจะเกิดเรื่องนี้ สภาปี้เซวียนไม่ได้มีชื่อเสียงที่เลิศหรูนักในหมู่ผู้ฝึกตนอิสระ ตลอดช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ เนื่องจากพวกเรามีศัตรูกลุ่มเดียวกัน และสถานการณ์ก็เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน พวกเราจึงใกล้ชิดกันและกันมากขึ้นทีเดียว หลังจากได้ยินการประกาศของเจ้าสำนักเกี่ยวกับการยกเลิกธรรมเนียมการปฏิบัติของสภาปี้เซวียน และการปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมระหว่างผู้ฝึกตนสตรีเพศและบุรุษเพศ พวกเขาจึงดีใจเป็นล้นพ้นที่สุด! ตอนนี้ ความน่าเลื่อมใสของสภาปี้เซวียนกำลังเฟื่องฟูขึ้นมา เป็นไปได้ว่าพวกเราจะสามารถกลับมารู้สึกภาคภูมิใจและยิ่งใหญ่อีกครั้งได้ในไม่ช้า”