ภูผาวกวน คดเคี้ยวซับซ้อน
เซี่ยอวิ๋นจี้หยุดลงที่ใจกลางเส้นทางบนภูผาวกวน กวาดตามองรอบกายครั้งแล้วครั้งเล่า สำรวจมองถนนทุกเส้นด้วยความละเอียดถี่ถ้วน
พักใหญ่ถัดมาก็หยิบเข็มภูมิดาราออกมาจากอกเสื้อ โน้มกายย่อตัวลง วางเข็มดังกล่าวลงบนพื้น
เมื่อเข็มภูมิดาราสัมผัสผืนดิน ตัวเข็มก็เริ่มหมุนตามเข็มทิศ
ชั่วพริบตามันก็ชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่ง
เซี่ยอวิ๋นจี้กะพริบตามองแล้วเก็บเข็มภูมิดาราขึ้นมา เดินไปยังทิศทางตามที่เข็มชี้บอก
เขามาเพียงลำพัง มิได้ขี่ม้า เคลื่อนไหวกายแผ่วเบา ปลายเท้าแตะพื้นเดินไปตามทางเล็กๆ แสนคดเคี้ยว มุ่งตรงขึ้นเขา
ถนนเส้นนี้ถือว่าเป็นเส้นทางที่เดินทางลำบากที่สุดบนภูผาวกวน
ฟ้ามืดสนิทแล้ว จากเดิมที่ได้สังเกตบรรยากาศฟ้าโปร่งเมื่อช่วงกลางวัน ไม่ว่าอย่างไรคืนนี้ก็ต้องมีดวงดาราประดับเต็มนภา ทว่าตอนนี้กลับมีเมฆครึ้มค่อยๆ เคลื่อนปกคลุม มองไม่เห็นดาวแม้แต่ดวงเดียว เส้นทางภูเขาเงียบสงัดยิ่ง
เซี่ยอวิ๋นจี้มิได้นำสิ่งกำเนิดแสงใดใดมาด้วย หลังเดินไปได้พักหนึ่งก็เริ่มคุ้นชินกับความมืด
หนึ่งชั่วยามถัดมาก็เดินตามทางมาได้ยี่สิบลี้ มาถึงปากช่องแคบที่ด้านข้างเป็นภูเขาขนาบสองข้าง
เซี่ยอวิ๋นจี้หยุดเท้า เงยหน้ามองรอบกาย ด้านหน้าเป็นหน้าผาสองแห่ง ตรงกลางมีเพียงช่องแคบทางเดียวเท่านั้น ไม่มีเส้นทางอื่นแล้ว เขาหยิบเข็มภูมิดาราขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ย่อกายลงกับพื้น ตัวเข็มเริ่มหมุนทำงาน พักต่อมาก็ชี้ไปยังปากช่องแคบข้างหน้า
เขามองด้วยความจำใจแวบหนึ่ง บ่นพึมพำขึ้น แล้วเดินเข้าไปในช่องแคบนั้น
ทันทีที่เข้ามาก็พลันมีธนูดอกหนึ่งพุ่งออกมาจากข้างใน ธนูดอกนี้พุ่งมาหาเขาอย่างเงียบเชียบ ทั้งรวดเร็วทั้งโหดเ**้ยม
แรกเริ่มเซี่ยอวิ๋นจี้ไม่ทันสังเกตเห็น เมื่อเห็นชัดเขาก็หลบไม่ทันเสียแล้ว เขาตกใจจนหน้าถอดสี อุทานขึ้นเสียงหนึ่ง ใจคิดว่าจบเห่แล้ว
ขณะที่ธนูดอกนั้นใกล้ทะลวงผ่านต้นแขนซ้ายที่เขาหลบไม่ทัน พลันมีกระบี่เล่มหนึ่งทะลวงผ่านมาจากภูเขาด้านซ้าย ธนูกับกระบี่ชนกันจนเกิดเสียงกังวาน ธนูดอกนั้นถูกหักทิ้ง
เซี่ยอวิ๋นจี้ยังตกใจไม่หาย รีบหันไปมอง เมื่อเห็นร่างคนที่ร่อนกายลงมาจากฝั่งซ้ายก็ดีใจ “ฟางหวา”
“พี่อวิ๋นจี้ ไฉนถึงเป็นท่าน ท่านกลับมาหนานฉินตั้งแต่เมื่อไร มาทำอันใดที่นี่” เซี่ยฟางหวาเก็บกระบี่ ขมวดคิ้วมองเซี่ยอวิ๋นจี้
เซี่ยอวิ๋นจี้ยื่นมือลูบแขนซ้ายของตนเอง เมื่อพบว่าแขนยังอยู่ดีก็ถอนหายใจโล่งอก ก้าวขึ้นมากอดนาง เอ่ยอย่างโชคดีที่รอดตายมาได้ “ข้าตกใจแทบแย่ ยังคิดอยู่เลยว่าวันนี้คงเสียแขนข้างนี้ไปแล้ว โชคดีที่เป็นเจ้า”
เซี่ยฟางหวาไม่ชินที่ถูกเขากอดไว้ คิดว่าตั้งแต่เซี่ยอวิ๋นจี้ถูกฉีอวิ๋นเสวี่ยจับตัวไปก็มิได้พบกันหลายเดือนแล้ว ครั้งแรกที่ได้พบกันเขาราวกับสูงขึ้นอีกเล็กน้อย ได้ยินเขาพูดเช่นนั้นก็ทั้งโมโหทั้งยิ้มขำ ยกมือดันตัวเขาออก “ข้าถามท่านอยู่นะ ท่านกลับมาหนานฉินตั้งแต่เมื่อไร ไฉนถึงมาอยู่ที่นี่”
“เจ้ายังถามข้าอีกรึ ไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกหรือ” เซี่ยอวิ๋นจี้ถูกดันตัวออก ทอดถอดใจกล่าว “ข้าได้ยินว่าเมืองหลินอันมีภัย ทั้งเจ้าเองก็ถูกหย่าร้าง ข้าไม่สบายใจจึงขี่ม้าเร็วกลับมาจากเป่ยฉี เพิ่งมาถึงเมืองหลินอันก็ได้รู้ว่าเจ้าจะนำสมุนไพรดำม่วงไปยังเมืองหลินอัน เหยียนเฉินเตรียมเรื่องน่าสนุกเอาไว้ ข้าจึงตามร่องรอยมาหาเจ้า ไม่นึกเลยว่าตัวข้าเพิ่งมาถึงก็เกือบจะเสียแขนข้างหนึ่งไป”
“ไม่ว่าเมื่อไรก็แก้นิสัยชอบเรื่องสนุกของท่านไม่ได้ เมื่อครู่ควรตัดแขนท่านไปข้างหนึ่งเสียจริงๆ” เซี่ยฟางหวาฟังเขาอธิบายคร่าวๆ จบก็ถลึงตามอง
“ธนูเมื่อครู่เป็นฝีมือเจ้ารึ” เซี่ยอวิ๋นจี้มองนาง
“ไม่ใช่ข้า เป็นฉินอวี้” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“ฉินอวี้” เซี่ยอวิ๋นจี้เบิกตากว้าง “นึกไม่ถึงว่าเจ้าอยู่กับฉินอวี้”
“ข้าอยู่กับเขาแล้วน่าแปลกใจตรงไหน” เซี่ยฟางหวามองค้อน
“ไม่น่าแปลกอันใด…เพียงแต่ พวกเจ้าเปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นมิตรแล้ว แล้ว…นั่นใครเล่า” เซี่ยอวิ๋นจี้เบะปาก
เซี่ยฟางหวาไม่ตอบแต่หันไปมองบริเวณปากทางเข้า ก่อนเอ่ยถามขึ้น “ท่านมาคนเดียวใช่ไหม”
“ใช่แล้ว” เซี่ยอวิ๋นจี้พยักหน้า
“ในเมื่อท่านตามร่องรอยของเหยียนเฉินมา แต่ตอนนี้เหยียนเฉินยังมาไม่ถึง ไฉนท่านดันมาถึงก่อน”
เซี่ยฟางหวาเกิดความฉงนใจ
“ข้าไหนเลยจะรู้ เหยียนเฉินนัดแนะกับเจ้าไว้จริงหรือ เขายังไม่มาหรือ” เซี่ยอวิ๋นจี้ชะงักครู่หนึ่ง
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ไตร่ตรองพักหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “ท่านใช้สิ่งใดถึงมาถึงที่นี่ได้”
“เป็นเข็มภูมิดาราที่ตาแก่มอบให้ข้า มีประโยชน์ยิ่งนัก” เซี่ยอวิ๋นจี้หัวเราะ
“เข็มภูมิดารา” เซี่ยฟางหวาไม่เข้าใจ “ตาแก่คนใด ท่านหมายถึงท่านปู่ข้า ท่านตาท่านหรือ”
“ไม่ใช่” เซี่ยอวิ๋นจี้โบกมือ “โหวเหยียผู้เฒ่าเป็นตาแก่ที่อาวุโสแล้ว ตาแก่ที่ข้าพูดถึงอ่อนกว่าเขาเล็กน้อย เป็นฮ่องเต้เป่ยฉี พ่อของข้า”
เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม มองเขาอย่างหมดคำพูด “ไปเป่ยฉีมาแล้วรอบหนึ่ง กลับมาก็ยิ่งไม่ปกติ ท่านอยู่ในสภาพเช่นนี้ อนาคตผู้ใดยังกล้าออกเรือนกับท่านอีก คาดว่าทั้งชีวิตคงแต่งภรรยาไม่ได้” พูดจบก็คว้ามือเขาออกจากปากถ้ำ ก่อนกล่าวขึ้น “เข็มภูมิดาราฟังว่าเป็นหนึ่งในสิ่งล้ำค่าของเผ่าภูตผี ในเมื่อสิ่งที่ท่านใช้คือเข็มภูมิดารา มันค้นหาตำแหน่งคนผ่านพื้นดินและตำแหน่งดวงดวง คนที่ท่านอยากตามหาเดิมไม่ใช่เหยียนเฉิน แต่เป็นข้า เข็มภูมิดาราเดินเป็นเส้นตรง ดังนั้นจะหาตัวข้าเจอก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด”
“เด็กน้อย เจ้าอย่าแช่งข้า ใต้หล้ามีสตรีอยู่มากมาย ต้องมีสักคนที่อยากแต่งกับข้า” เซี่ยอวิ๋นจี้แค่นหัวเราะ “แล้วเหยียนเฉินเล่า ยังมาไม่ถึงจริงหรือ เขาออกมาก่อนข้าตั้งเกือบหนึ่งชั่วยาม”
“ภูเขาวกวน ธาราคดเคี้ยว ด้วยนิสัยของเหยียนเฉินแล้ว คงจะพาคนพวกนั้นอ้อมไปอ้อมมาก่อน” เซี่ยฟางหวาละสายตามากล่าวกับเขา “ตรงนี้ไม่ใช่ที่สนทนากัน ขึ้นไปข้างบนกับข้าก่อน”
เซี่ยอวิ๋นจี้เงียบปาก ไม่ส่งเสียงใดอีก
เซี่ยฟางหวาหยิบกระบี่ใต้แขนเสื้อกับโซ่ไต่หน้าผาออกมา เหวี่ยงมันขึ้นไปข้างบน ชั่วพริบตาก็มีเสียง ‘ตึก’ ดังขึ้น โซ่ไต่หน้าผาตอกเข้ากับผนังหินที่ความสูงหลายสิบจั้ง นางใช้มือข้างหนึ่งจับโซ่ไต่หน้าผา ก่อนใช้มืออีกข้างดึงเซี่ยอวิ๋นจี้ขึ้นไปข้างบน
ทั้งสองเดิมทีมีวิทยายุทธ์ ชั่วพริบตาก็ขึ้นมาได้หลายสิบจั้ง
บริเวณนี้มีศิลางอกนูนออกมาตรงกึ่งกลางหน้าผา พอจะนั่งได้สองสามคน
บนศิลามีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วหนึ่งคน นั่นคือฉินอวี้
เมื่อมาถึงศิลา เซี่ยฟางหวาก็เก็บโซ่ไต่หน้าผา ก่อนดึงเซี่ยวอวิ๋นจี้ขึ้นไปบนศิลา
“ที่แท้เป็นพี่อวิ๋นจี้ ไม่พบกันนาน” ฉินอวี้มองเซี่ยอวิ๋นจี้แล้วส่งยิ้มบางให้ น้ำเสียงละมุนละม่อมเช่นเดิม “ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเป็นท่าน ธนูของข้าใช้พลังครบสิบส่วน ขออภัยด้วย”
หลังเซี่ยอวิ๋นจี้ขึ้นมาบนศิลาก็พินิจมองฉินอวี้ถี่ถ้วนรอบหนึ่ง ก่อนเลิกคิ้วกล่าว “ได้ยินว่าองค์รัชทายาทติดโรคห่า ดูท่าเป็นเรื่องหลอกลวง”
“ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง เพียงแต่หลังข้าหาฟางหวาพบก็ได้กินยาที่นางใช้สมุนไพรดำม่วงปรุงให้” ฉินอวี้ส่ายหน้า
เซี่ยอวิ๋นจี้ลากเสียงอ๋อยาว “ในเมื่อเจ้าหายจากโรคห่าแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องกลัวว่าเจ้าจะแพร่เชื้อใส่ข้า” พูดจบ เขาก็ยกแขนโอบไหล่อีกฝ่าย ขยับเข้าไปนั่งข้างๆ “ได้ยินว่าก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ที่เมืองหลินอันตลอดเวลา น้องฟางหวามาจากเมืองลวง พวกเจ้าติดต่อกันได้อย่างไร”
ฉินอวี้ปล่อยให้เขาโอบไหล่ มองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง แย้มยิ้มบางไม่ตอบคำถาม
เซี่ยอวิ๋นจี้กวาดตาสอดส่อง เห็นว่าเซี่ยฟางหวาเก็บโซ่ไต่หน้าผากับกระบี่ใต้แขนเสื้อเสร็จแล้วก็หยิบธนูคันใหญ่ที่แขวนไว้ข้างผนังหินออกมา เขาไม่ถามฉินอวี้ต่อแล้ว หากแต่เอ่ยขึ้น “ช่องแคบแบบนี้เป็นแนวป้องกันอันตรายโดยธรรมชาติ พวกเจ้าตั้งใจดักซุ่มที่นี่ รอให้เหยียนเฉินล่อคนพวกนั้นมา แล้วทำลายให้สิ้นซาก”
“พี่อวิ๋นจี้เดาถูกแล้ว” ฉินอวี้พยักหน้า ก่อนหยิบธนูด้านข้างมาด้วยเช่นกัน
เซี่ยอวิ๋นจี้เพิ่งสังเกตเห็นว่า บนผนังหินทั้งสองข้างระหว่างเซี่ยฟางหวากับฉินอวี้ล้วนมีลูกธนูแขวนเอาไว้เป็นแถว มีจำนวนราวยี่สิบถึงสามสิบดอก แต่ละดอกล้วนสร้างขึ้นอย่างประณีต หยาบหนากว่าลูกธนูทั่วไปสามเท่า ปลายลูกธนูแหลมคมเป็นอย่างยิ่ง
ลูกธนูเช่นนี้หากใช้ด้วยวิทยายุทธ์สูง ต่อให้เป็นทัพทหารและม้าจำนวนมากล้วนถูกเด็ดหัวออกจากบ่าได้ มิน่าเมื่อครู่นี้เขาถึงหลบไม่ทัน
“น้องฟางหวา เรามาตกลงกันดีหรือไม่ ประเดี๋ยวเมื่อเป้าหมายมาถึงแล้ว ให้ข้ายิงสักสองสามดอกด้วย” เขาเกิดความสนใจขึ้นมาทันที หันมากล่าวกับเซี่ยฟางหวา
“ท่านไม่เคยฝึกยิงธนูแบบนี้มาก่อน เกรงว่าจะไม่คุ้นชิน นั่งรอเฉยๆ ดีกว่า อย่าทำลายแผนการของข้า” เซี่ยฟางหวาเน้นย้ำ “วันนี้จะทำเป็นเล่นไม่ได้ ท่านอย่าก่อกวน มิฉะนั้นนอกจากเราสามคนก็มีเพียงเหยียนเฉินคนเดียว แค่เราสี่คนเกรงว่าจะรับมือกับศัตรูหลายสิบคนกระทั่งหลักร้อยไม่ได้ หรือบางทีอาจหลายร้อยคน หากไม่ทำตามแผนการ ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ที่นี่ก็จะกลายเป็นที่ฝังกระดูกของเราแทน”
เซี่ยอวิ๋นจี้ตกใจ “หนักหนาถึงเพียงนี้เชียว” เขาถามอย่างไม่อยากเชื่อ “แล้วองครักษ์เงาเล่า ไปไหนกันหมด”
“ข้ามีอีกแผนการ ให้คุ้มครองนำสมุนไพรดำม่วงไปส่งที่เมืองหลินอันทางธาราคดเคี้ยวแล้ว” เซี่ยฟางหวาตอบ “สายลับทั้งหมดล้วนถูกส่งไปคุ้มกันสมุนไพรดำม่วงแทน”
“ตัวข้าแม้อยู่เป่ยฉี แต่ได้ยินมารางๆ ว่าความวุ่นวายในหนานฉินครั้งนี้เป็นฝีมือของปรมาจารย์ ปรมาจารย์ภูเขาลับมีใจออกห่างราชสำนักหนานฉิน ปรมาจารย์เป็นปีศาจคนเป็นที่บำเพ็ญตบะมาไม่น้อยกว่าพันปี ยากรับมือด้วยอย่างยิ่ง เจ้าเป็นแค่เด็กตัวน้อยไฉนถึงกล้าหาญเช่นนี้ หากอีกฝ่ายขนกันมามาก ด้วยลูกธนูเพียงเท่านี้ของพวกเจ้าจะรับมือไหวหรือ” เซี่ยอวิ๋นจี้ทำหน้าสิ้นหวัง
“รับมือไม่ไหวก็ต้องไหว” เซี่ยฟางหวากดเสียงต่ำลง เอ่ยเตือนขึ้น “ข้ายังเตรียมกลไกไว้ด้วย จากนี้ท่านควรรอตรงนี้อย่างเชื่อฟัง ประเดี๋ยวคอยส่งลูกธนูให้เรา”
“ข้าส่งลูกธนู” เซี่ยอวิ๋นจี้มองนางด้วยแววตาไม่พอใจ
“มิฉะนั้นก็ถือโอกาสกลับไปเสียตอนนี้” เซี่ยฟางหวาบีบบังคับ
เซี่ยอวิ๋นจี้เองก็ทราบเช่นกันว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าเข้มงวดมาก เดิมทีตอนที่นึกอยากมาร่วมสนุกด้วยก็คิดว่าพอจะช่วยอันใดได้บ้าง ทว่าไม่คิดเลยว่าหลังมาถึงจะทำได้แค่เป็นคนส่งลูกธนูให้ฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวา ยิ่งเห็นว่าเซี่ยฟางหวาแสดงท่าทางไม่ยอมให้ปฏิเสธ เขาจึงได้แต่ยอมจำนน “ก็ได้ ส่งลูกธนูก็ส่งลูกธนู ได้รับลูกธนูจากฝ่ามืออันสูงส่งของข้า นับว่าเป็นวาสนาที่สะสมมาหลักร้อยหลักพันปี พวกเจ้าสองคนต้องยิงให้แม่นยำ อย่าให้ข้าส่งให้โดยเสียแรงเปล่า”
“ไม่ทำให้พี่อวิ๋นจี้ต้องส่งมาเปล่าๆ แน่” ฉินอวี้ยิ้มบางพลางผงกศีรษะ
เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใด สายตาจับจ้องไปยังปากช่องแคบ นิ่งสังเกตการณ์อย่างมีสมาธิ
เซี่ยอวิ๋นจี้ก็สำรวมสีหน้าติดตลกไม่จริงจังเช่นกัน คิดว่าถึงแม้ตนเองเป็นผู้ช่วยส่งลูกธนู แต่เหตุการณ์ที่หาได้ยากเช่นนี้ ได้มีส่วนร่วมก็นับเป็นวาสนาแล้ว เขารวบรวมสมาธิ นิ่งรอเงียบๆ เช่นกัน