ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะมีวิธีป้องกันอย่างไรแต่สำนักศึกษาก็ยังเกิดเรื่องขึ้นจนได้ ในอดีตชาวบ้านไม่เคยต่อต้านเจ้าหน้าที่ คนจนไม่คิดสู้กับคนรวย พวกไร้สมองในสำนักศึกษาก็เลือกเดินทางนี้จนได้ หม่าโจวหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนฎีกาถวายฝ่าบาทเกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้คนที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักศึกษา
ในฎีกาแจกแจงเหตุผลการล่มสลายของแต่ละราชวงศ์ สุดท้ายเหตุผลอื่นๆ ก็ถูกลบล้างไปจนหมดสิ้น มีเพียงเหตุผลที่เป็นไปได้มากที่สุด ก็คือการแบ่งที่ดินไม่เท่ากัน กษัตริย์ พวกขุนนางชั้นสูง และราษฎรที่มีฐานะร่ำรวยร้อยละสิบครอบครองพื้นที่ไปแล้วถึงเก้าส่วน พวกเขาคิดว่าพวกขุนนางและผู้คนที่มีฐานะร่ำรวยสามารถมีที่ดินได้โดยไม่มีขีดจำกัด นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ราชวงศ์ถูกโค่นลง
ตอนนี้ต้าถังมีพื้นที่มากมาย ราษฎรก็ยังมีจำนวนไม่เยอะ ยังพอมีพื้นที่ให้ได้ครอบครองบ้าง แต่เมื่อถึงห้าสิบปีให้หลัง หลังจากที่ราษฎรมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ที่ดินก็จะไม่พอแบ่งกัน ถึงตอนนั้นเริ่มลงมือก็สายไปเสียแล้ว มีข้อเสนอว่ากษัตริย์ไม่ควรมอบที่ดินให้แก่ผู้ที่เป็นสายเลือดของกษัตริย์โดยไม่มีขีดจำกัด ขุนนางและเศรษฐีก็ควรมีขีดจำกัดในการแบ่งที่ดินด้วย และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือทุกคนที่ครอบครองที่ดินจะต้องมีการจ่ายภาษี ไม่ใช่ว่ายิ่งเป็นผู้ที่มีฐานะต่ำต้อยยิ่งจ่ายภาษีเป็นจำนวนมาก เช่นนี้ไม่ยุติธรรม ผู้มีฐานะร่ำรวยก็สมเหตุสมผลแล้วที่จะต้องรับผิดชอบมากกว่า
ในฎีกายังมีการโจมตีความไม่ยุติธรรมต่อราษฎรที่ถูกใช้แรงงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างอีกด้วย ทั้งยังวิจารณ์มาตรการการเก็บภาษีที่น่าภูมิใจของหลี่ซื่อหมินจนไม่เหลือชิ้นดี
จะว่าหลี่ซื่อหมินก็ไม่เป็นไร เขาเป็นคนหลงตัวเองว่าเป็นกษัตริย์ที่ฉลาด ชาวบ้านสามารถพูดถึงเขาได้โดยไม่มีความผิด แต่อย่างไรก็ไม่ควรเติมประโยคสุดท้ายลงไปในฎีกาว่า ‘หนูตกถังข้าวสาร’
ครั้งนี้เป็นการไปแหย่รังแตนเข้าให้แล้ว พูดแบบนี้หมายความว่าที่เมืองหงต้งไม่มีคนดี เพียงแค่เข้ารับราชการก็กลายเป็นทหารของหนูที่ตกถังข้าวสาร ตั้งตารอวันที่บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง แล้วเตรียมรอรับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่
ชาวบ้านสิบกว่าคนนั่งอยู่หน้าประตูวังหลวง ใส่ชุดสีครามแต่งตัวธรรมดา พร้อมกับอ่านหนังสือคำร้องเรื่องการเก็บภาษีที่ดินด้วยใบหน้าแสดงถึงความเคารพและจิตใจที่หนักแน่น
ตั้งแต่ราชวงศ์ในอดีตไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาก่อน ในฐานะแกนนำของราชสำนัก ไม่คิดว่าชาวบ้านจะสามารถออกความคิดเห็นได้อย่างอิสระเช่นนี้
คนที่มีอำนาจรองจากกษัตริย์อย่างฝางเสวียนหลิงก็ต้องอยู่แต่ในบ้านรอการตัดสินของฝ่าบาท กองทัพทหารม้าทั้งห้าก็ไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์ในตอนนี้อย่างไร ทำได้เพียงแค่ล้อมชาวบ้านเอาไว้ จับชาวบ้านเมืองฉางอันแยกออกจากกันเพื่อไม่ให้เกิดการรวมกลุ่ม
การอ่อนน้อมต่อชาวบ้านดูเหมือนจะใช้ไม่ได้กับสถานการณ์เช่นนี้ แต่ดูจากจุดมุ่งหมายของคนพวกนี้แล้ว พวกเขาดูเหมือนต้องการจะโจมตีพวกขุนนาง
ประตูวังหลวงถูกเปิดออก หม่าโจวมาถึงหน้าประตูแล้ว ไม่มีความเกรงกลัวต่ออาวุธที่อยู่ด้านหน้า นำฎีกาที่ตัวเองได้ประกาศไว้ส่งให้องครักษ์ ให้พวกเขาส่งให้แก่ฮ่องเต้ จากนั้นก็กลับไปนั่งคุกเข่าท่ามกลางเหล่าชาวบ้าน แล้วท่องขึ้นมาว่า “ขงจื๊อสอนให้ใช้ความกล้าหาญในการเสียสละ เพื่อผลักดันให้เกิดความเมตตากรุณา เมิงจื๊อสอนให้ตายเพื่อความชอบธรรม”
ตอนที่อวิ๋นเยี่ยได้รับข่าวนี้ เขากำลังหยอกล้ออยู่กับลูกชายของเขา ได้ทราบถึงการกระทำของพวกหม่าโจวแทบจะพยุงตัวไม่อยู่ วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันที่พวกลูกศิษย์ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ มีหลายสิบคนไปที่เมืองฉางอันนับว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะไปยื่นคำร้อง
จากประสบการณ์ที่อวิ๋นเยี่ยเคยประท้วงตอนเป็นนักเรียน เขารู้ว่าไม่เกิดประโยชน์อะไร ในบทความที่มีชื่อเสียงในช่วงราชวงศ์ซ่ง หัวหน้าผู้นำประท้วงของเหล่าลูกศิษย์อย่างเฉิงตงก็ไม่ได้รับผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกชาวบ้านที่อยู่ในยุคต่อมา
ผู้ปกครองจะไม่ยอมรับความคิดเห็นที่มาพร้อมกับความคับแค้นใจเช่นนี้ ตอนที่เขาเตรียมตัวเดินทางเข้าเมืองฉางอัน ก็มีข่าวร้ายเกิดขึ้นอีก พวกลูกศิษย์ที่เป็นชาวบ้านธรรมดาของสำนักศึกษาเมื่อได้ยินข่าวนี้เข้าก็พากันไปรวมตัวกันที่ประตูจูเชวี่ย นั่งคุกเข่าด้วยกันอยู่ข้างใน นับจำนวนคนดูแล้วราวๆ สองร้อยคนได้
อวิ๋นเยี่ยควบม้าอย่างรีบเร่ง ต้องไปพาลูกศิษย์กลับมาก่อนที่หลี่ซื่อหมินจะมีคำสั่งลงโทษ มิเช่นนั้นจะเดือดร้อนกันไปทั้งสำนักศึกษา
ที่หน้าประตู สวี่จิ้งจงที่มีสภาพอนาถไม่ต่างกัน ไม่รอให้อวิ๋นเยี่ยได้ถาม สวี่จิ้งจงก็พูดออกมาเสียงดังว่า “อาจารย์หลี่และคนอื่นๆ เข้าไปข้างในแล้ว”
ได้ยินเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็วางใจได้ครึ่งหนึ่ง ขอแค่หลี่กังมาทัน สถานการณ์ก็จะกลับมาสงบเช่นเดิม
แต่ใครจะไปรู้ว่าประโยคต่อไปของสวี่จิ้งจง เหมือนทำให้เขาตกลงไปในนรกชั้นที่สิบแปด “อาจารย์หลี่ อวี้ซัน หยวนจาง หลีสือ จ้าวเหยียนหลิง จินจู๋ และเหล่าอาจารย์ก็มาร่วมนั่งประท้วงด้วย”
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเวียนหัวจะเป็นลม พวกอาจารย์พวกนี้ พวกเขาคิดว่าเมื่อมีเหตุผลจะทำอะไรก็ได้ทุกอย่างเช่นนั้นหรือ
เหล่าจวงกระโดดลงจากม้า เข้าไปพยุงอวิ๋นเยี่ยที่พยุงตัวไม่อยู่ สวี่จิ้งจงก็รีบเข้ามาช่วย ทั้งสองคนพาอวิ๋นเยี่ยไปพักอยู่ที่เสาแล้วปฐมพยาบาลให้อวิ๋นเยี่ย
ผ่านไปสักครู่อวิ๋นเยี่ยก็อาการดีขึ้นแล้วกระโดดขึ้นม้า รีบควบม้าเข้าวังหลวง โดยไม่สนคำร้องด่าของผู้เฝ้าประตูเมืองเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้มีคนอยู่ในพระราชวังจำนวนมาก ฉางอันมักมีเรื่องครึกครื้นอยู่ตลอด ถนนมักติดขัดจนแทบเดินทางไม่ได้ พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหล่าลูกศิษย์ต้องการจะทำอะไร และไม่รู้ว่าเหล่าลูกศิษย์ทำเพื่อทวงผลประโยชน์และอำนาจให้แก่พวกเขา รู้แค่เพียงว่าอยากมาดูความครึกครื้น มีคนฉลาดเอาตะกร้าวางไว้บนหัวของตัวเองแล้วตะโกนขายผลไม้แห้ง จะดูความครึกครื้นก็ต้องมีกับแกล้ม
ความโศกเศร้าและความโกรธในใจได้ถึงขีดสูงสุดแล้วในตอนนี้ หม่าโจววางแผนนี้ไว้นานแล้ว เขาคาดการณ์ปฏิกิริยาของทุกฝ่ายไว้อย่างชัดเจน รวมไปถึงเหล่าอาจารย์ของเขาด้วย หากไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ อาจจะโดนเหล่าอาจารย์ตำหนิ หากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เหล่าอาจารย์ก็จะช่วยออกหน้ารับแทนพวกเขา ช่วยให้พวกเขาผ่านสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปให้ได้
ความกลุ้มใจของคนเราได้เริ่มขึ้นเมื่อรู้หนังสือ คำกล่าวนี้เป็นจริงที่สุด ยิ่งมีความรู้มากก็ยิ่งขัดแย้ง ดูเหมือนจะมีเหตุผล พวกเขารู้ว่าควรวางแผนอย่างไรจากการเรียนรู้ในสำนักศึกษา รู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ได้อย่างไร ยิ่งได้ผ่านการคัดกรองจากสมองอย่างรอบคอบ ในที่สุดก็เกิดสถานการณ์ที่ยากจะควบคุมอย่างเช่นตอนนี้ขึ้นมาได้
พวกเขาไม่มีความกลัวต่อความตายแม้แต่น้อย ขอแค่มีชื่อจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ คมดาบไม่ใช่สิ่งที่พวกเขากลัว
พวกเขามีความรู้ที่ชัดเจนต่อตัวเอง รู้ว่าราชสำนักปฏิบัติไม่ดีต่อพวกเขา ดังนั้นจึงอยากจะทวงความอำนาจและความชอบธรรมให้แก่ตัวเอง เพียงแต่พวกเขายังไม่เข้าใจว่าอำนาจทั้งหมดเป็นของฮ่องเต้ เขาจะได้รับแค่สิ่งที่ฮ่องเต้ให้ แต่เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะไปขอมันมาจากฮ่องเต้
หลี่กังที่มีผมสีขาวนั่งอยู่ด้านหน้าสุด มือสองข้างวางไว้บนหัวเข่า สีหน้าเรียบเฉย อาจารย์ทั้งสองท่านก็นั่งอยู่ข้างๆ เขา ปิดปากเงียบไม่พูดอะไร จ้าวเหยียนหลิงถึงขั้นหยิบกาน้ำชาที่ตัวเองรักออกมา ทำท่าทางฝึกรินน้ำชาเพื่อที่จะแสดงท่าทางที่สง่างามที่สุด
หลีสือกำลังวาดรูป จินจู๋กำลังเป่าขลุ่ย แม้แต่ซุนซือเหมี่ยวผู้ไม่สนโลกก็ยังหยิบพู่กันมาเขียนบนกระดาษไปเรื่อยเปื่อย เหล่ากงซูก้มหนาก้มตาสร้างแบบจำลองบ้านของตัวเอง สำหรับอาจารย์ท่านอื่นๆ ก็หยิบหนังสือที่ตัวเองพกมาออกมาอ่าน ข้างในห้องยังมีลูกศิษย์เข้ามาเพิ่มอีกไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ที่มีฐานะ หรือลูกศิษย์ที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ต่างก็พากันหาที่นั่ง หันหน้ามองไปทางวังหลวง
สวี่จิ้งจงถอนหายใจยาวแล้วแยกตัวออกไปนั่งอีกมุมหนึ่ง สถานการณ์เช่นนี้ควบคุมไม่ได้แล้ว ตัวเองเป็นผู้ดูแลลูกศิษย์ในสำนักศึกษาจึงไม่สามารถหลบหนีได้ ทำได้เพียงเข้าร่วมด้วย จึงจะเป็นทางเลือกที่ฉลาด ใบหน้าของเขาดูจะมีความมุ่งมั่นที่ในยามปกติแล้หาดูได้ยาก
สองปีในสำนักศึกษาเป็นประสบการณ์ที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของเขา ทุกอย่างที่ฝันไว้เป็นจริงแล้ว การได้รับความเคารพ การได้รับความรัก เงินทอง ตำแหน่ง เขามีครบทุกอย่าง ความเคารพจากลูกศิษย์ ความรักที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของตัวเอง เขาชอบเดินเอามือไขว้หลังไปทั่วเขตสำนักศึกษา ลูกศิษย์ทุกคนที่เจอเขาก็จะหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วทักทายเขาด้วยความเคารพ
บ้านของเขาอยู่ในสำนักศึกษา แต่เขากลับไม่เคยกินข้าวที่บ้านแล้วก็ไม่กินข้าวที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้อาจารย์ด้วย ไม่ใช่ว่าเสียดายเงิน ตั้งแต่นำเงินให้อวิ๋นเยี่ยจัดการ เงินที่หากลับมาได้ก็พอจะใช้ได้ทั้งชีวิต เขาชอบดูลูกศิษย์ต่อแถวซื้ออาหาร เพียงแค่ตัวเองเดินเข้ามา ลูกศิษย์ที่อยู่ที่อยู่แถวหน้าสุดก็จะหลีกทางให้เขา เขามักจะยิ้มแล้วปฏิเสธ แล้วเดินไปต่อแถวด้านหลัง
ถามความเห็นของลูกศิษย์เกี่ยวกับโรงอาหาร ตำหนิเรื่องความไม่สะอาดของเหล่าพ่อครัว ทุกครั้งจะได้รับเสียงไชโยจากลูกศิษย์ การเดินไปพร้อมกับเสียงไชโย ถือเป็นการเดินถือจานอาหารของตัวเองอย่างสง่างามเพื่อไปนั่งที่โต๊ะอาหารสำหรับอาจารย์
สำนักศึกษาเป็นเวทีของเขา หากเป็นไปได้เขาอยากจะทำการแสดงบนเวทีนี้ไปตลอดชีวิต
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกสิ้นหวัง การเลือกของสวี่จิ้งจงนั้นมีเหตุผล ในตอนนี้อยากจะพาพวกลูกศิษย์กลับไปนั้นคงเป็นไปไม่ได้แล้ว ในฐานะผู้นำของพวกเขา ทำได้เพียงรอหลี่ซื่อหมินเข้ามาตัดสิน ตอนนี้พวกเขานึกภาพออกแล้วว่าหลี่ซื่อหมินคงโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
ไม่ว่าหลี่ซื่อหมินจะโมโหแค่ไหน แต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตของตัวเอง เรื่องนี้ยังสามารถรับประกันได้ หากการนั่งประท้วงครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นก่อนจะทำศึกใหญ่ อวิ๋นเยี่ยก็จะไม่รู้สึกสิ้นหวังเช่นนี้ ก็แค่ผลักความรับผิดชอบไปให้ผู้ปกครองโรงเรียนอย่างหลี่ซื่อหมินก็พอแล้ว อาจจะโดนอัด แต่ว่าเมื่อเทียบกับสถานการณ์ในตอนนี้แบบนั้นดีกว่าเป็นพันเท่า
อวิ๋นเยี่ยเดินผ่านผู้คนไปนั่งอยู่ด้านหน้าสุด อาจารย์หลี่กังอายุมากแล้ว เคลื่อนไหวได้ไม่คล่องตัว คุณสมบัติและประสบการณ์ของสวี่จิ้งจงยังไม่พอให้เขาเป็นแพะรับบาป หากเหล่าสวี่เข้าร่วมสำนักศึกษามานานแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็จะไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะให้เขาเป็นแพะรับบาป ไม่ว่าเขาจะยอมหรือไม่ก็ตาม
อาจารย์หลี่กังมองอวิ๋นเยี่ยอย่างรู้สึกผิดแล้วพูดว่า “เหตุใดเจ้าต้องมาทุกข์ทรมานบุกน้ำลุยโคลนเช่นนี้ ก่อนที่ข้าจะมาข้าก็ไม่ได้บอกเจ้า เพราะไม่อยากให้เจ้าติดร่างแหไปด้วย ลูกศิษย์ทั้งหมดข้าเป็นคนสอน จะดีจะร้ายก็ให้ข้าเป็นคนรับผิดชอบเถิด”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มด้วยใบหน้าโศกเศร้าแล้วพูดว่า “ลูกธนูอยู่บนคันธนูแล้วจะไม่ยิงออกไปได้อย่างไร คำพูดของลูกศิษย์ที่ว่า ‘หนูตกถังข้าวสาร’ ก็ไปกระตุกต่อมความโกรธของเหล่าขุนนางเข้าแล้ว ความผิดครั้งนี้พวกเขายังรับผิดชอบเองไม่ไหว สวี่จิ้งจงก็ยังมีคุณสมบัติไม่พอ ท่านก็อายุมากกว่าเจ็ดสิบปีแล้วควรจะพักผ่อนเลี้ยงหลานอยู่ที่บ้านได้แล้ว ใช้ชีวิตให้มีความสุขกับครอบครัว เป็นเพราะข้าที่ยื้อท่านไว้ให้อยู่ในสำนักศึกษา เรื่องพวกนี้ให้ข้าเป็นคนแบกรับเอาไว้เถิด ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าสำนักศึกษามีความสำคัญกับราชสำนักมากแค่ไหน”
หลีสือเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าจงจำไว้ หากแบกรับไว้ไม่ไหวก็ให้โยนความผิดมาที่พวกเรา เจ้าไม่เป็นไร สำนักศึกษาก็จะไม่เป็นไร จำไว้ให้ดี ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าฉายเดี่ยว”
อวี้ซันและหยวนจางพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแล้วพูดว่า “พวกลูกศิษย์ไม่ได้พูดผิดอะไร แล้วก็ไม่ได้ทำผิดอะไรด้วย ต้าถังเป็นของตระกูลหลี่ แต่ก็เป็นของราษฎรด้วยเช่นกัน พวกเขาควรสามารถแสดงความคิดเห็นได้ ข้าชื่นชมที่เหล่าลูกศิษย์ทำเช่นนี้ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องที่จะตามมา”
อวิ๋นเยี่ยนั่งได้ไม่นาน หลี่ไท่ หลี่เค่อก็ออกมาจากวังหลวง แล้วมานั่งอยู่ข้างหน้าอวิ๋นเยี่ย
“หัวพวกเจ้าสองคนถูกลาเตะมาหรือ ตอนนี้สำนักศึกษากำลังกดดันฝ่าบาท พวกเจ้าไม่ไปช่วยพ่อของตัวเอง มานั่งหาเรื่องกันอยู่ได้ หรือเห็นว่าเรื่องมันยังใหญ่ไม่พอ”
“สมองของเจ้าสิถูกลาเตะมา ข้าดูฎีกาแล้ว ตามที่ฎีกาเขียนไว้ไม่มีผิด สมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก หากตระกูลข้าแบ่งพื้นที่ให้ญาติไปจนหมด พวกราษฎรก็จะต้องอดตาย ยิ่งกว่านั้น นี่ไม่ใช่การกบฏ เหล่าอาจารย์ของข้าและเพื่อนร่วมชั้นก็อยู่ที่นี่กันหมด หากข้าไม่มาจะถือว่าเป็นคนสำนักศึกษาได้อย่างไร ข้ารู้ว่าข้าเป็นลูกกษัตริย์ ไม่ใช่กษัตริย์ แต่ข้าก็มีความกล้ามากพอ”
หลี่ไท่พูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยความโอหัง
อวิ๋นเยี่ยค้นพบว่านี่คือโล่สองอันที่ตกลงมาจากฟ้า หากไม่ใช้ประโยชน์ก็คงรู้สึกผิดต่อการกระทำหยิ่งยโสของหลี่ไท่