บทที่ 834 วิชาหลอมดาราพิภพทมิฬ!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

“อย่างแรก เรือบินรบทำลายตัวเอง…” หวังเป่าเล่อพึมพำขณะนั่งลงในเรือบินรบเวท หลังจากระบุเส้นทางให้เรือบินรบเวทเสร็จ เขาก็นวดหน้าผาก ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัว

พวกเขาต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะกลับไปถึงระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ ดูจากระยะทางที่พวกเขาเดินทางออกมา น่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือนในการเดินทางกลับ ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับชายหนุ่มในการสร้างคลังแสงกลับมาใหม่

สร้างเรือบินรบทำลายตัวเองนั้นง่าย ข้ามีหุ่นเชิดมากมายให้สั่งการ สิ่งสำคัญที่สุดคือทำให้การระเบิดทำลายตัวเองแต่ละครั้งสร้างความเสียหายได้สูงสุด แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องยากเหมือนกัน ถ้าใช้วัสดุคุณภาพดีขึ้นในการสร้าง พลังระเบิดก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

*อีกอย่าง ข้ายังมีโล่สวรรค์พิพากษาอยู่อีก…*หวังเป่าเล่อหรี่ตา หลังจากตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอะไร เขาก็เริ่มงาน ด้วยการเรียกหุ่นเชิดมากมายออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ และกลับเข้าสู่การถือสันโดษ

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เรือบินรบใหม่เอี่ยมขนาดเล็กหลายร้อยลำปรากฏขึ้นด้านหลังเรือบินรบเวท กองเรือบินรบนี้มีสีดำ พวกมันแผ่พลังวิญญาณที่ค่อนข้างแข็งแกร่งออกมา แต่ละลำนั้นแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์

วันคืนผ่านไป จำนวนของเหล่าเรือบินรบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อัตราการผลิตก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากไม่กี่ร้อยลำขยับไปเป็นไม่กี่พันลำในทุกๆ วัน

สองสัปดาห์ผ่านไป กองทัพเรือบินรบกว่าหมื่นลำลอยตามหลังเรือบินรบเวท แต่ละลำมีโล่สวรรค์พิพากษาติดตั้งไว้ ดูแล้วช่างเป็นภาพอันน่ายำเกรงนัก เหล่านักเดินทางจากอารยธรรมอื่นต่างสั่นกลัวเมื่อเห็นกองเรือบินรบ พวกเขารีบไปซ่อนตัวและหวังว่ากองเรือบินรบนั้นจะไม่สังเกตเห็น

การกระทำของคนเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร…นอกจากเรือบินรบขั้นจุติวิญญาณสุดแข็งแกร่งกว่าหมื่นลำแล้ว หวังเป่าเล่อยังทุ่มผลึกสีชาดพันก้อน…เพื่อสร้างเรือบินรบสมรรถนะสูงอีกพันลำที่สามารถปล่อยพลังขั้นเชื่อมวิญญาณออกมาเมื่อระเบิดทำลายตัวเอง!

เรือบินรบเหล่านี้มีลักษณะไม่ต่างจากเรือบินรบลำอื่นๆ ในกองทัพของหวังเป่าเล่อ ถ้าไม่ดูให้ละเอียดก็ไม่ทางแยกออกได้ เมื่อเรือบินรบพวกนี้มารวมกันเป็นกองทัพใหญ่ก็ย่อมถือเป็นภัยคุกคามต่อทุกคนในพื้นที่

กองเรือบินรบของหวังเป่าเล่อในปัจจุบันดูแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ แข็งแกร่งกว่ากองทัพในตอนเริ่มต้นของเขาเสียอีก นอกจากนี้ ชายหนุ่มยังมีเกราะมหาจักรพรรดิที่ช่วยเสริมพลังให้เทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ เหล่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นทั่วไปไม่มีทางเทียบชั้นเขาได้ ถึงคู่ต่อสู้จะมีเรือบินรบเวทก็ไม่ได้รับประกันว่าจะล้มชายหนุ่มลงได้หรือไม่

ถ้าคู่ต่อสู้ไม่มีเรือบินรบ หวังเป่าเล่อก็พร้อมสู้ด้วยมือเปล่า แม้ว่าคู่ต่อสู้จะอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางก็ตาม อย่างไรเสีย เขาก็มีแผ่นหยกที่ปรมาจารย์แห่งไฟผนึกคำสาปไว้ก่อนจะมอบให้

ทุกสิ่งรวมกันทำให้ชายหนุ่มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ คงจะเกินเลยไปถ้าจะบอกว่าเขาสามารถครองจักรวาลได้โดยง่าย จะพอดีกว่าถ้าเรียกว่าเป็นดาวรุ่งในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์

เขาหลอมโล่สวรรค์พิพากษาขึ้นมาใหม่ด้วยเช่นกัน เพื่อกันไม่ให้เกิดเรื่องเหมือนในอดีตขึ้น หวังเป่าเล่อจึงใช้วัตถุดิบจำนวนมากไปเพื่อหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสำหรับใช้งานส่วนตัว ชายหนุ่มหลอมขึ้นมาร้อยชิ้นในทีเดียว!

“ด้วยอำนาจของเงินตรา!” หวังเป่าเล่อหัวเราะหลังจากพบว่าตอนนี้ตนแข็งแกร่งเพียงใดจากคลังอาวุธและวัตถุเวทที่มี เจ้าลาร้องขึ้นมา เริ่มขอของกิน มันร้องดังขึ้นอีกหลังจากได้ศิลาวิญญาณขั้นสูงสุดจากหวังเป่าเล่อมาจำนวนหนึ่ง

ส่วนเจ้าอู๋น้อยนั้นยังคงมึนงงอยู่ ดวงตาของเขาดูเลื่อนลอย เหมือนกำลังพิจารณาชีวิตว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน ตอนนี้กำลังจะไปไหน

เจ้าเด็กนี่…ช่างน่าสงสารหวังเป่าเล่อถอนหายใจและหันมองเจ้าอู๋น้อย เขาตระหนักว่าตนโหดร้ายกับเด็กหนุ่มเกินไป แต่ชีวิตคือการฝึกตน ต้องผ่านความยากลำบากเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

เด็กน้อย ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อเจ้า เจ้ายังต้องฝึกฝนอีกมาก ไม่เป็นไร บิดาจะคอยช่วยเจ้าเองหวังเป่าเล่อกระแอมกระไอและหันมองไปทางอื่น หลังจากคำนวณว่าต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่ในการเดินทางกลับเสร็จ เขาก็หยิบมือครึ่งซีกของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นออกมา

บนมือมีนิ้วอยู่เพียงสามนิ้วซึ่งกลายเป็นสีดำไปหมดแล้ว แต่ก็ไม่ได้เน่าเปื่อยแต่อย่างใด ยังคงมีพลังระดับดาวพระเคราะห์เอ่อล้นอยู่ภายใน แค่มองมือที่ว่าก็ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกหายใจไม่ออก ถึงจะไม่ได้แย่เท่าตอนประจันหน้ากับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ แต่ก็ยังถือว่าแย่เลยทีเดียว

*แต่ละส่วนของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์แข็งแกร่งเช่นนี้หรือไม่นะ…*หวังเป่าเล่อศึกษามือครึ่งซีกอย่างจริงจัง เขาคิดจะหลอมมันเข้ากับเกราะมหาจักรพรรดิเพื่อที่อาจจะได้พลังระดับดาวพระเคราะห์มาเสริมสักเล็กน้อย

แต่วิธีที่ว่าไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย ถือเป็นการใช้มือครึ่งซีกไปอย่างเปล่าประโยชน์ หวังเป่าเล่อไม่รู้จะทำเช่นไร หลังจากครุ่นคิดสักพักก็วางมือครึ่งซีกลงและหยิบแหวนคลังเวทออกมา

ข้าต้องบรรลุไประดับดาวพระเคราะห์ก่อนหรือจึงจะสามารถปลดผนึกสิ่งนี้ได้ จะมีของล้ำค่าอยู่ข้างในจริงไหม…ถ้าไม่มีทางอื่นแล้ว ข้าน่าจะถามวิธีคลายผนึกได้จากเซี่ยไห่หยางหวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว เขาปล่อยหัวให้โล่ง ขณะที่กำลังจะเริ่มศึกษาแหวนอย่างละเอียดก็ได้ยินเสียงหายใจถี่หนัก ชายหนุ่มเงยหน้ามองอย่างแปลกใจและเห็นเจ้าลายืนอยู่ใกล้ๆ มันกำลังจ้องแหวนคลังเวทในมือเขาอยู่ตาไม่กะพริบ

น้ำลายไหลเยิ้มลงพื้นจนเป็นแอ่ง…

ดวงตาของเจ้าลาแดงก่ำ มันพุ่งใส่หวังเป่าเล่อทันใด ก่อนจะอ้าปาก หมายกัดกินแหวนคลังเวท

เสียงสนั่นดังขึ้นเมื่อเจ้าลากัดอากาศเข้าไป!

ถ้าหวังเป่าเล่อตอบสนองไม่ทันกาลคงจะโดนเจ้าลากัดมือไปแล้ว คิดได้เช่นนั้นเขาก็ขุ่นเคืองขึ้นมา ขณะกำลังจะลุกยืนขึ้น เจ้าลาก็พุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มอีกครั้ง ตอนนี้มันสนใจแค่แหวนคลังเวท พร้อมจะสู้เพื่อแหวนอีกสักครา

“เจ้าจะแข็งข้อกับข้าอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มเตะอัดเข้าที่ท้องของเจ้าลา มันกรีดร้องลั่นขณะกระเด็นออกไปไกล

อาจจะดูเหมือนเป็นลูกเตะที่รุนแรง แต่หวังเป่าเล่อก็คุมพลังตัวเองไว้อยู่ ตั้งใจจะทำให้มันแค่ถอยห่างออกไป ไม่ได้หมายจะทำร้ายอะไร ลูกเตะของเขาเหมือนช่วยเรียกสติเจ้าลากลับมาได้ มันหมอบกับพื้นและมองชายหนุ่มด้วยแววตาน่าสงสาร เหมือนจะตระหนักแล้วว่าตนเองได้ทำอะไรไม่ดีไป ถึงกระนั้น…น้ำลายก็ยังไหลออกจากปากไม่หยุด

หวังเป่าเล่อเหลือบมองเจ้าลา จากนั้นก็ก้มมองแหวนคลังเวทในมือ แววผิดแปลกฉายวาบขึ้นในตา เขารู้นิสัยเจ้าลาดี มันเขมือบวัตถุดิบมามากมายตั้งแต่ยังเล็กและเริ่มเลือกกินมากขึ้น นอกจากนี้ยังดมกลิ่นวัตถุดิบชั้นสูงได้ดีมาก พฤติกรรมตะกละตะกลามเมื่อครู่บ่งบอกว่า…มีของล้ำค่ามากๆ อยู่ในแหวนคลังเวท

ข้าได้ของดีมาอย่างนั้นหรือหวังเป่าเล่อหายติดขัด จากนั้นก็เงยหน้าจ้องเจ้าลา เขาขยายสัมผัสวิญญาณไปสื่อสารกับมัน

เจ้าลาอธิบายรายละเอียดสิ่งของข้างในแหวนไม่ได้ แต่หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของมัน มีพลังบางอย่างด้านในแหวนที่ทำให้เจ้าลาคลุ้มคลั่ง เป็นพลังที่ทำให้มันขาดสติและดึงเอาสัญชาตญาณดิบออกมา ทำให้มันกล้าอวดดีกับบิดาผู้นำสหพันธรัฐผู้หล่อเหลาและเยี่ยมยอด

“พอแล้ว ยังจะมาประจบประแจงอีก ช่างตะกละเสียจริง!” หวังเป่าเล่อแค่นเสียงใส่ เขาตัดสินใจว่าคงเอาแหวนให้เซี่ยไห่หยางไม่ได้ ทางที่ปลอดภัยที่สุดคือคลายผนึกแหวนด้วยตัวเองตอนที่แข็งแกร่งขึ้นแล้ว เขากำลังจะเก็บแหวนและมือระดับดาวพระเคราะห์เข้ากระเป๋าคลังเวท แต่เจ้าอู๋น้อยที่มึนงงอยู่เงียบๆ ก็พูดขึ้นก่อน

“บิดาข้า ข้ารู้วิธีหลอมมือนี้ให้กลายเป็นวัตถุเวททรงพลัง สามารถปลดปล่อยพลังเทียบเท่าการโจมตีของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ ข้าบอกท่านได้ แต่ข้าอยากให้ท่านทำอะไรให้ข้าอย่างหนึ่งเป็นการแลกเปลี่ยน…”

“หืม” หวังเป่าเล่อหันไปทางเจ้าอู๋น้อยและหรี่ตามองทันที เขาพยายามเดาภูมิหลังของเด็กหนุ่ม ลองค้นในวิญญาณก็ไม่เจอความทรงจำอะไร ที่รู้ก็คือเคล็ดวิชาหลอมที่เจ้าอู๋น้อยให้มานั้นเป็นเคล็ดวิชาที่แกร่งกล้ามาก

หรือว่าจะเป็นองค์ชายจากที่ไหนสักแห่งจริงๆหวังเป่าเล่อกะพริบตา แต่ก็คงไม่เป็นเช่นนั้นหรอก องค์ชายควรมีลักษณะเหมือนหวังเป่าเล่อต่างหาก

“เจ้าอู๋น้อย เป็นเด็กดีแล้วบอกบิดามา ข้าสัญญาณว่าต่อไปจะไม่ขังเจ้าไว้อีกแล้ว” หวังเป่าเล่อผุดยิ้มเมื่อคิดเช่นนั้น เขามองเจ้าอู๋น้องอย่างอ่อนโยนและพูดกับอีกฝ่าย

เจ้าอู๋น้อยมองใบหน้ายิ้มแย้มของหวังเป่าเล่อด้วยความลังเลใจ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กัดฟันตอบ “บิดาข้า เคล็ดวิชาหลอมอาวุธเวทนี้มีชื่อว่าวิชาหลอมดาราพิภพทมิฬ!”

“ว่ากันตามทฤษฎีแล้วสามารถใช้หลอมดาวเคราะห์และดวงดาวได้…” อู๋น้อยยื่นมือขวาหยิบแผ่นหยกออกมา เด็กหนุ่มลงผนึกไว้และโยนให้หวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรับแผ่นหยกมาและใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจดู ดวงตาของเขาเบิกกว้างทันใด ความตื่นตะลึงถาโถมเข้าใส่ห้วงความคิด เขาเงยหน้ามองเจ้าอู๋น้อย

“เจ้าอยากให้ข้าทำสิ่งใด”

“สัญญาว่าจะส่งข้ากลับบ้านตอนที่ข้าร้องขอท่าน!”

…………………………….