ตอนที่ 337 แส่ไม่เข้าเรื่อง / ตอนที่ 338 บังอาจ!

ยอดรักชายาอัปลักษณ์

ตอนที่ 337 แส่ไม่เข้าเรื่อง

 

 

สาวใช้ทยอยจากไป บนหิมะขาวเหลือเพียงรอยเท้ากระจัดกระจาย ท่ามกลางความเงียบ คนผู้หนึ่งค่อยๆ ก้าวออกมาจากหลังภูเขาจำลอง เสียงเท้าย่ำลงไปบนพื้นหิมะดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ รอยยิ้มบนหน้าหนิงอวี้หายใปจนสิ้น

 

 

“มาหาข้าด้วยเรื่องใด” เดิมทีคิดว่าเมื่อบอกลาที่ชายแดนครั้งนั้นคงไม่มีวันได้พบกันอีก คิดไม่ถึงว่าเขาจะกลับมาเป็นทูตถึงราชวงศ์ใต้

 

 

ครั้งแรกที่หนิงอวี้พบเขา คิดว่าเขาคงวิปลาสไปแล้ว หากถูกคนอื่นจับได้ว่ามู่หรงเหยียนคือนายน้อยขุนพลหนิงในอดีต เช่นนั้นบิดาจะมิต้องถูกครหาว่าทรยศบ้านเมืองหรอกหรือ

 

 

“เจ้าอยู่ดีหรือไม่” มู่หรงเหยียนเห็นนางไม่ยอมหันกลับมามองหน้าก็เผยความผิดหวังเล็กน้อย “ข้าได้ยินว่าเจ้าตอนที่ให้กำเนิดจงเอ๋อร์นั้นคลอดยาก จนเกือบ…”

 

 

 “ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”

 

 

หนิงอวี้พูดตัดบทด้วยความโกรธ ในเมื่อเป็นห่วงนางเช่นนี้ ไยตอนแรกนั้นจึงกักขังนางไว้

 

 

 “ข้าแค่เพียง อยากรู้ว่าเจ้าอยู่ดีหรือไม่”

 

 

หนิงอวี้แววตาเกรี้ยวกราด เมื่อเห็นเขามีแววตาเศร้าโศกก็รู้สึกตัวได้ว่ากำลังเสียกิริยา นางสะบัดแขนเสื้อหันกายกลับแล้วพยายามพูดอย่างสงบนิ่ง “เจ้าเป็นบุตรบุญธรรมของท่านพ่อ แต่มิใช่พี่ชายข้าอีกต่อไป”

 

 

“มู่หรงเหยียน ชาตินี้ข้าและเจ้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีกแล้ว” ชายกระโปรงสีแดงชาดลากผ่านพื้นหิมะไปช้าๆ ทิ้งไว้เพียงกลีบดอกไม้สีแดงเป็นจุดๆ

 

 

มู่หรงเหยียนยืนกับที่อยู่นาน แล้วค่อยๆ ปลดหน้ากากเขียวเขี้ยวโง้งออกมา เขามองเหม่อไปยังหน้ากาก นานเท่าใดแล้วที่ไม่ได้ถอดหน้ากาก

 

 

เขาละทิ้งทุกสิ่งอันล้ำค่า สุดท้ายทำได้เพียงนั่งบนบัลลังก์มังกรแล้วสวมหน้ากากอันจอมปลอมไปชั่วชีวิตเท่านั้นหรือ เสด็จพ่อบอกว่าจะสละราชบัลลังก์ในไม่ช้า แต่ในใจเขากลับไม่ได้ยินดีแม้แต่น้อย

 

 

ในวันที่สายลับที่ราชวงศ์ใต้แจ้งข่าวมาว่านางคลอดยากนั้น เขาคลุ้มคลั่งรีบตามพระผู้ใหญ่นับพันมาสวดภาวนา เขาคุกเข่าต่อหน้าพระ ในใจภาวานาเพียงเพื่อนางแต่ผู้เดียว

 

 

ชั่วขณะที่โศกเศร้ากังวลจนถึงที่สุดนั้น มือเขาสั่นเทิ้มไม่หยุด วินาทีนั้นเอง เขาก็รู้สึกตัวได้ฉับพลันว่าตนยังมีชีวิตอยู่

 

 

เรื่องส่งทูตมาราชวงศ์ใต้ เดิมกำหนดให้เป็นผู้อื่นแต่เขาเข้ามาก้าวก่าย ยอมเสี่ยงกับการถูกเสด็จพ่อเคลือบแคลงใจดึงดันเดินทางมาให้ได้ ได้พบหน้าสักครั้งก็ยังดี ให้แน่ใจว่านางยังอยู่อย่างมีความสุข

 

 

มู่หรงเหยียนยกมุมปากขึ้น เหยียดยิ้มอันเยือกเย็นหนึ่งทีพลางสวมหน้ากากแล้วหันกายเดินจากไป เรื่องราวมาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่มีทางที่ให้ถอย ไม่มีเรื่องที่ต้องเสียใจอีกต่อไป

 

 

จังหวะก้าวสุขุมนิ่ง แววตาเยือกเย็น บนพื้นหิมะที่ตกไปทั่ว ประทับด้วยรอยเท้าสี่ทาง สองทางแต้มด้วยดอกบ๊วยแดงที่ร่วงหล่นกระจาย อีกสองทางกลับแต้มไปด้วยรอยเลือดแดงเป็นจุดๆ

 

 

——

 

 

“แม่นางจิ้นอิน ท่านมาแล้ว! แต่ว่าฮองเฮามีเรื่องอันใดหรือ”

 

 

หัวหน้าขันทีสะบัดแส้ในมือ ก้าวเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันสอพลอ

 

 

จิ้นอินค้อมกายก้มหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้องทรงอักษรโดยเร็ว พวยควันธูปยาวเฟื้อยจากกระถางกำยานสีเงินลอยออกมา ลอยขึ้นกลางอากาศแล้วพลันหายไป

 

 

 “ข้าน้อยถวายบังคมฮ่องเต้เพคะ”

 

 

เว่ยหยวนวางพู่กันขนเพียงพอนลงแล้วเอนหลังลงบนบัลลังก์มังกร

 

 

 “วันนี้ฮองเฮาหลังเสร็จพิธีฉลองครบหนึ่งเดือนพระราชโอรสแล้วก็เสด็จไปยังอุทยานหลวงชมดอกบ๊วยแดงเพคะ…”

 

 

“อืม คลุมเสื้อคลุมกันหนาวหรือไม่”

 

 

“คลุมแล้วเพคะ ตอนที่ชมดอกบ๊วยเห็นมีชายเสื้อสีม่วงโผล่ออกมาจากหลังภูเขาจำลอง ฮองเฮาก็รับสั่งให้พวกข้าน้อยออกมา”

 

 

เว่ยหยวนได้ยินก็ชะงักเล็กน้อย นึกถึงชายเสื้อของมู่หรงเหยียนขึ้นมาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

 

 

บรรยากาศราวกับหยุดนิ่ง จิ้นอินก้มหน้าลงแล้วพูดเสียงเบายิ่งขึ้น “ข้าน้อยแอบอยู่ที่ลับยังไม่ได้ไปจากที่นั่น แต่ ด้วยไอกำลังภายในของฮองเฮาที่แผ่ซ่านเลยไม่กล้าเดินเข้าไป ดังนั้นจึงฟังทั้งสองคนพูดได้ไม่ชัด”

 

 

เว่ยหยวนยื่นมือออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ลูบไปบนหยกประดับ นิ้วมือร้อนผ่าว หยกประดับเนียนลื่น พอทำให้เขาสงบใจลงได้บ้างแม้จะรู้สึกฝืนใจก็ตาม

 

 

ครู่หนึ่งเขาก็ได้สติกลับมา เห็นจิ้นอินที่กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้นจึงส่ายมือ

 

 

ทำไมนางจึงยอมพูดคุยกับเขา เว่ยหยวนพยายามสงบอารมณ์ ทว่าเส้นเอ็นบนมือทั้งสองกลับปูดโปนขึ้น แพทย์หลวงบอกว่าสาเหตุหลักของการคลอดยากเป็นเพราะนางต้องผจญความลำบากระหว่างตั้งครรภ์

 

 

เดิมทีเขาตั้งใจจะเฉลยความข้องใจของนาง จึงได้ตามคนที่รู้จักที่มาของมู่หรงเหยียนในตอนนั้นมา ดูไปแล้ว ช่างเป็นการแส่ไม่เข้าเรื่องเสียจริง

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 338 บังอาจ!

 

 

เมื่อฝนวสันต์ห่าแรกตกลงมา หนิงอวี้นั่งอยู่บนชิงช้ามองดูนกนางแอ่นบินผ่าน สายฝนปรอยๆ ตกลงมา หนิงอวี้ลุกขึ้นยืนรับอันเอ๋อร์มาจากมือแม่นมแล้วจับนิ้วชี้เขายื่นไปรองน้ำฝน

 

 

“อันเอ๋อร์ เจ้าดูสิ นี่คือฝนวสันต์”

 

 

อันเอ๋อร์กระพริบตา มองยังนางพลางยิ้มหวาน ครั้นแล้วก็หดมือกลับหัวเราะคิกคัก หนิงอวี้เห็นเขาหัวเราะอย่างสำราญใจ ก็อดไม่ได้ที่ยิ้มน้อยๆ

 

 

“ฮองเฮาเพคะ งานเลี้ยงรับฝนวสันต์จะเริ่มแล้วเพคะ”

 

 

หนิงอวี้ลุกขึ้นยืนตรง ปล่อยให้จิ้นอินช่วยจัดระเบียบเครื่องแต่งตัว วันนี้นางสวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อน เพื่อสื่อถึงสรรพสิ่งหวนคือสู่ฤดูใบไม้ผลิ

 

 

จัดการทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว หนิงอวี้ก็วางมือลงบนมือจิ้นอิน ค่อยๆ เดินไปยังประตูตำหนัก ประตูตำหนักเปิดออก เว่ยหยวนในชุดสีเหลืองทองยืนอยู่ที่ปากประตู

 

 

“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”

 

 

เว่ยหยวนยื่นมือไปประคองนางไว้ก่อนที่นางจะค้อมกายลงคำนับ เขายื่นมือขึ้นแหวกม่านแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ระวังศีรษะนะ”

 

 

เพียงครู่เดียว ราชรถก็เคลื่อนมาจอดนิ่งยังอุทยานหลวง กลางอุทยานหลวงจัดแจงปลูกดอกไม้สดไว้มากมายแต่เนิ่นแล้ว พวกมันกำลังแข่งกันเบ่งบานต่างยื้อแย่งกันประชันความงาม

 

 

ทว่า ต่อให้ดอกไม้เบ่งบานสีสันสดใสเพียงใดก็ยังเทียบไม่ได้กับเหล่าสาวงามสะคราญร้อยพันนาง รอยยิ้มบนหน้าหนิงอวี้ยังคงอยู่ แต่มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกลับกำหมัดเอาไว้แน่น

 

 

“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี”

 

 

“ถวายบังคมฮองเฮา ขอจงทรงพระเจริญพันปีพันๆ ปี”

 

 

“ลุกขึ้นเถอะ”

 

 

วันนี้หงหลิงสวมเสื้อจีนป้ายกระดุมข้างสีอ่อน ใบหน้ากลับมีน้ำมีนวล นางเดินไปด้านหน้าสองสามก้าวรับมือหนิงอวี้ไว้อย่างคล่องแคล่วแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “รอพระองค์อยู่นานเลยเพคะ”

 

 

ความหม่นหมองในใจหนิงอวี้พลันจางหาย ใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม

 

 

“ไปอยู่เป็นเพื่อนข้าที่ตำหนักข้าเร็วหน่อยดีกว่า ไปพร้อมกันเลยก็ได้นะ”

 

 

นั่งลงกินอาหาร เพียงแค่ขนมสองสามชิ้นจัดวางบนใบไม้สีเขียวสดประดับด้วยดอกไม้สดช่วยขับดุนให้เด่น ดูแล้วงดงามน่าประทับใจไม่น้อย

 

 

หนิงอวี้ยื่นมือไปหยิบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วกัดคำเล็กหนึ่งคำ แม้ขนมรสชาติจะอร่อย แต่ใจนางกลับไม่ได้เอามาใส่ใจโดยสิ้นเชิง ไม่รู้ด้วยเหตุใด นับแต่พิธีฉลองครบหนึ่งเดือนพระราชโอรสมา เว่ยหยวนดูจะเย็นชาต่อนางอยู่บ้าง นางคิดอย่างถี่ถ้วนแต่ก็หาเหตุผลไม่ได้เลย

 

 

ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งลุกขึ้นยืน หนิงอวี้กินขนมไปพลางประเมินเขาและบุตรีอยู่เงียบๆ ไปพลาง นางอดไม่ได้ที่จะแอบทอดถอนใจกับตัวเอง ขุนนางผู้ใหญ่คนนี้พุงย้วย ทั้งยังหัวล้าน บุตรสาวเขากลับเป็นหญิงงามชดช้อยชวนหลงไหล ทุกท่วงท่าทุกรอยยิ้มงามตรึงใจคนยิ่งนัก

 

 

หลังจากพูดสร้างบรรยากาศให้กับผู้คน หญิงสาวผู้นั้นก็ออกมาร่ายรำ แขนเสื้อยาวดั่งสายน้ำสะบัดพลิ้ว ไม่ได้ดูงามประณีตชดช้อยเสียเท่าไร แต่กลับมีเสน่ห์น่าหลงใหลไปอีกแบบ

 

 

ครั้งสุดท้ายที่ตวัดแขนเสื้อ แขนเสื้อยาวปลิวกระทบลงหน้าโต๊ะของเว่ยหยวน แขนเสื้อสีชมพูเฉียดกราบเบาๆ งามจับใจคนมากไม่น้อย เว่ยหยวนสีหน้ายังคงเดิม เขาก้มหน้าลงคีบขนมขึ้นมาให้หนิงอวี้

 

 

หนิงอวี้สีหน้าไม่ยินดี อยากจะแสดงความโกรธออกมาแต่เพราะหงหลิงส่ายหน้าให้นางจึงได้อดทนเอาไว้ นางโกรธถึงขีดสุด ชั่วพริบตาเดียวก็กลับกลายเป็นความระทมเศร้า

 

 

“หม่อมฉันด้อยสามารถน่าละอายเพคะ”

 

 

หญิงสาวเงยหน้ายิ้มหนึ่งทีแล้วสะบัดแขนเสื้อยาวสองสามที หนิงอวี้หันหน้าไปยิ้มตอบกลับอย่างงามสง่า

 

 

“จับตัวไว้!”

 

 

ในขณะที่ทุกคนบนที่นั่งกำลังต่างตกตะลึง เว่ยหยวนกลับพูดขึ้นอย่างสุขุมนิ่งว่า “ฟังคำสั่งฮองเฮา” ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าว องครักษ์นับไม่ถ้วนก็ถลาเข้าไป จับหญิงสาวผู้บอบบางอ่อนแอตรึงเอาไว้

 

 

“หม่อมฉันบริสุทธิ์เพคะ! ฝ่าบาท ทรงช่วยหม่อมฉันด้วย” หญิงสาวหน้าซีดไร้สีเลือด ยื่นมือพยายามดิ้นให้หลุด “ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันทำผิดอันกันหรือเพคะ”

 

 

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา แม่สาวน้อยนางทำผิดอะไรกันหรือ ของพระองค์ตรัสอย่างเป็นธรรมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ทุกคนบนที่นั่งจดจ้องยังหนิงอวี้ด้วยความเงียบ หนิงอวี้เหยียดปากยิ้มอย่างดูถูกหนึ่งที

 

 

“ท่านขุนนางทั้งหลายคงเห็น ว่าแขนเสื้อยาวร่วงลงหน้าโต๊ะฮ่องเต้ มีโทษละเมิดเบื้องสูง หรือว่าข้าใส่ร้ายนางกัน”