ตอนที่ 187 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 187 ความโกลาหล (1)

             วันต่อมา อี้เป่ยซีไปที่มหาวิทยาลัยโดยไม่สนใจคำโน้มน้าวของอี้เป่ยเฉิน นั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ สมุดบันทึกเต็มไปด้วยทุกคำที่อาจารย์พูด ทั้งที่สำคัญและไม่สำคัญ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับชั้นเรียนและที่ไม่เกี่ยวข้อง ตัวอักษรที่สวยงามแต่ล่องลอยเล็กน้อยนั้นถูกบันทึกอยู่ด้านบนอย่างละเอียดยิบ

            สุดท้ายเสียงออดหมดคาบดังขึ้น อี้เป่ยซีจึงมองดูเพื่อนนักเรียนที่เก็บกระเป๋าพลางหยอกล้อกันด้วยความเลื่อนลอย ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรต่อไป

            เธอกำปากกา ยังคงมองตัวหนังสือบนกระดานดำที่เหมือนบนสมุดบันทึกไม่มีผิดเพี้ยน ไม่รู้ว่าต้องเติมอะไรลงไปบ้าง แต่รู้สึกเหมือนกับว่า เหมือนกับว่าขาดอะไรบางอย่างที่สำคัญมากไป

            “อี้เป่ยซี!” หลิงจื่อเซี่ยเดินเข้ามาหาเธอด้วยความเกรี้ยวกราด โยนข้าวของบนโต๊ะลงพื้น

            “เธอเป็นบ้าอะไร?” อี้เป่ยซีเก็บปากกาของตัวเอง ลุกขึ้นยืนต้องการจะเก็บสมุดบันทึกของตัวเองโดยไม่มองเธอเลย

            “อี้เป่ยซี อย่านึกว่าทำดีกับพ่อแม่แล้วพี่จื่อหานจะขอเธอแต่งงานนะ จะบอกเธอให้ว่าเธอไม่คู่ควรกับเขาเลย”

            อี้เป่ยซีปิดสมุดบันทึกพร้อมยิ้มเย็นชา “หลิงจื่อเซี่ย เธอทำความเข้าใจซะใหม่นะ ฉันอี้เป่ยซีต่างหากที่เมินใส่ลั่วจื่อหาน”

            “เธอ เธอมีสิทธิ์อะไรพูดแบบนี้ ถ้า ถ้าเธอไม่ได้มีแผนสำหรับลั่วจื่อหานจริงๆ ทำไมเธอต้องไปหาพ่อกับแม่ด้วย ทำไมถึงต้องไปทำดีกับพวกเขา แล้วทำไมถึง…” เธอมองท้องของอี้เป่ยซีอย่างเกลียดชัง “ทำไมถึงมีลูกกับลั่วจื่อหาน”

            “เธอเป็นใคร? ทำไมฉันต้องคุยกับเธอเรื่องพวกนี้ด้วย” อี้เป่ยซีเก็บกระเป๋าด้วยความคล่องแคล่ว “หลิงจื่อเซี่ย เธอนี่คืนทุกอย่างที่เธอเรียนรู้ให้กับอาจารย์ของเธอจริงๆ ท่าทางเธอแบบนี้เหมือนกับผู้ดีมีเงินที่โอ้อวดตัวเองงั้นเหรอ?”

            “ลั่วจื่อหานจะชอบใครมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ ถึงยังไงก็ไม่มีวันชอบเธอ เธอจะโมโหไปทำไม ถ้าไม่มีฉันอี้เป่ยซีก็อาจจะมีฉินเป่ยซี จางเป่ยซี ถึงยังไงก็ไม่ตกมาถึงเธอ”

            “อย่าโมโหไปเลย ปกติก็ดูเหมือนคนใกล้จะสามสิบอยู่แล้ว ครั้งนี้ดูยังกะสาววัยกลางคนจริงๆ อย่าว่าแต่ลั่วจื่อหานเลย ใครก็ไม่ชอบเธอหรอก”

            “อี้เป่ยซี!” หลิงจื่อเซี่ยเงื้อมมือขึ้นต้องการจะตบเธอ แต่ถูกเธอคว้าข้อมือไว้อย่างแรงกลางคัน

            อี้เป่ยซีปล่อยมือ ดึงทิชชู่เปียกออกจากกระเป๋า เช็ดๆ มือ แล้วเดินจากไป

            อย่าไปชนกับคนอื่นเมื่อกำลังโกรธได้หรือเปล่า เรื่องของอารมณ์น่ะ เมื่อมันขึ้นมาแล้วก็ควบคุมได้ยากมาก

            รถที่คุ้นตาจอดอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัย อี้เป่ยซีสูดหายใจลึก เปิดประตูฝั่งที่นั่งคนขับ “พี่อยู่คณะเอกมารับฉันเหรอ”

            อี้เป่ยเฉินพยักหน้า สตาร์ทรถอย่างใจลอยเล็กน้อย

            ครึ่งเดือนต่อมา ชีวิตน่าเบื่อหน่ายราวกับน้ำเปล่า ไร้ความรักและไร้ความขุ่นหมอง

            อี้เป่ยซีมองไปยังพื้นหลังของเดสก์ท็อปที่พร่ามัว ดึงไอคอนลงมาแล้วเปลี่ยนเป็นรูปทิวทัศน์รูปหนึ่ง หรือพูดให้ถูกต้องคือจิตรกรรมภูมิทัศน์ อี้เป่ยซีอดไม่ไหวเอื้อมมือลูบตราประทับสีแดง ถอนหายใจ

            บางทีเธอเองก็ไม่เข้าใจว่าเธอกำลังยึดติดกับอะไรอยู่ คิดอย่างละเอียดแล้วก็ไม่มีอะไร แต่มักจะคิดไม่ตกสักที

            รู้สึกว่าเมื่อพูดกับเขาก็รู้สึกอึดอัดมาก เมื่อเห็นเขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วน

            ราวกับว่าเธออยู่ในหอคอยงาช้างตลอดเวลา แต่หลังจากนั้นคนที่สร้างหอคอยงาช้างเพื่อเธอก็บอกเธอว่า เธอต้องจัดการเรื่องภายนอกทั้งหมดด้วย

            ในเมื่อต้องการจัดการเรื่องภายนอก แล้วทำไมถึงปล่อยให้เธอฝัน และยังให้สถานที่เธอฝันด้วย

            ลั่วจื่อหาน ลั่วจื่อหาน…พวกเราควรจะเดินต่อไปยังไงกันแน่

            อี้เป่ยซีกำลังครุ่นคิด ข่าวสีแดงก็ปรากฏขึ้นที่หน้าจอ

            ดวงตาของเธอเบิกกว้าง มือกดโทรออกเป็นพัลวัน

            “หลานฉือเซวียน…”

            “เป่ยซี นี่น้าเอง”

            อี้เป่ยซีกลืนน้ำลาย “คุณน้า แล้วหลานฉือเซวียนล่ะคะ?”

            ทางนั้นถอนหายใจ “เป่ยซี เธอรู้เรื่องนี้นานแล้วใช่ไหม?”

            อี้เป่ยซีเม้มปาก ไม่พูดจา

            “เธอรู้แล้วทำไมไม่บอกน้า ทำไมไม่กล่อมเสี่ยวเซวียน”

            “คุณ คุณน้า ที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พวกเขาทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เอง เดี๋ยวนี้เรื่องแบบนี้ก็ธรรมดามากไม่ใช่เหรอคะ คุณน้าก็…”

            อี้เป่ยซียังพูดไม่จบ เสียงทะเลาะทางนั้นดังขึ้น คนปลายสายก็วางหูแล้ว อี้เป่ยซีฟังเสียงสายที่ตัดไปอย่างงุนงง

            หลานฉือเซวียนทะเลาะกันคนที่บ้านแล้ว…

            ใครกันนะที่เปิดโปงเรื่องนี้ พวกพี่น้องผู้มั่งคั่งเหล่านี้ ใครเป็นอย่างไรต่างรู้อยู่แก่ใจดี เรื่องของหลานฉือเซวียนนั้นเป็นเพราะอะไรมันก็เห็นได้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว

            แต่ว่าจะเป็นใครกัน? ตั้งแต่ไหนแต่ไรหลานฉือเซวียนเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เคยทำผิดต่อใคร และไม่ว่าใครก็ต่างชื่นชมเขามาก

            หรือว่าจะเป็นศัตรูของเซี่ยเช่อ?

            เป็นไปไม่ได้ ทุกคนต่างรู้เรื่องของเซี่ยเช่อดี อีกอย่าง เส้นทางของเขาก็ไม่ได้อยู่ที่ประเทศ C ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ มันไม่มีอิทธิพลอะไรต่อเขาเลย

            ยืมการทำร้ายหลานฉือเซวียนเพื่อมาทำร้ายเซี่ยเช่อ…มีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้นที่เป็นไปได้ เซี่ยเช่อที่ปกติมักมีท่าทีดูถูกคนอื่น คนที่ไม่ชอบใจเขาก็มีมาก

            อี้เป่ยซีพยักหน้า โทรศัพท์หาเซี่ยเช่อทันที ปลายสายนั้นยังคงมีเสียงดังเล็กน้อย

            “ฮัลโหล เซี่ยเช่อนายอยู่ที่ไหน? ใครกำลังทะเลาะกัน?”

            เซี่ยเช่อหัวเราะ “จะมีใครอีกล่ะ พ่อตาของฉันกับลูกชายสุดที่รักของเขาไง”

            “สารเลว ใครเป็นพ่อตาแก”

            “เซี่ยเช่อ นายพูดให้มันน้อยหน่อย”

            อี้เป่ยซีกระพริบตา “นาย อยู่บ้านหลานเหรอ?”

            น้ำเสียงทางนั้นเปี่ยมด้วยความมั่นใจราวกับว่ามันพึงจะต้องเป็นเช่นนั้น “ใช่สิ มีอะไรน่าแปลกล่ะ ฉันรู้สึกว่าแปลกซะอีกว่าทำไมประเทศ C ของเธออนุรักษ์นิยมจังเลย เรื่องแบบนี้ยังเป็นพาดหัวข่าวได้”

            “ไม่คุยกับเธอแล้ว พวกเราทางนี้ยังมีเรื่องต้องจัดการ เธอสบายดีก็ดีแล้ว” พูดจบก็วางสาย

            เซี่ยเช่อมอง “พ่อตา” ที่สีหน้าแดงก่ำเพราะความโกรธและความตื่นเต้น รวมถึง “แม่ยาย” ที่น้ำตาคลออยู่ด้านข้าง และหลานฉือเซวียนที่ยังคงคุกเข่าตัวตรงอยู่บนพื้น อดไม่ได้ที่จะยกปากยิ้ม

            สมกับเป็นคนที่ตัวเองชอบ แม้แต่ตอนคุกเข่าก็ยังหล่อเหลาแบบนี้

            หลานหมิงเจิ้งตบโต๊ะอย่างแรง “แกเตรียมตัวสำหรับงานแถลงข่าววันมะรืนให้ดี เดี๋ยวจะให้ผู้ช่วยเอาสิ่งที่แกต้องพูดมาให้”

            “พ่อ ผมไม่อยากโกหก”

            “แกไม่อยากโกหก? แกไม่อยากโกหกแต่อยากบีบพ่อแกให้ตายใช่ไหม! หลานฉือเซวียน แกนี่มัน…” เขาคว้าแก้วบนโต๊ะแล้วขว้างไปที่หลานฉือเซวียนทันที หลานฉือเซวียนไม่หลบ เซี่ยเช่อต้องการจะบังแต่ก็บังไม่อยู่  แก้วร่วงลงจากร่างกายของหลานฉือเซวียนลงบนพื้นปุกปุยจนน้ำหกซึมเลอะเทอะ

            “ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ” คุณแม่หลานช่วยเขาสงบอารมณ์อยู่ข้างๆ พร้อมมองค้อนเซี่ยเช่อ “เสี่ยวเซวียนเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยแปดเปื้อนกับอะไรทั้งนั้น ครั้งนี้อาจเป็นเพราะถูกพวกผู้ไม่หวังดีกล่าวหาเลื่อนลอยก็เท่านั้นเอง”

            “กล่าวหาเลื่อนลอยเหรอ คุณดูรูปพวกนั้นสิ ต่อให้เป็นการกล่าวหาเลื่อนลอย! มันก็ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะทำใจให้ชินได้ ทำเรื่องน่าอดสูต่อบ้านหลานของผมแบบนั้น”

        “การอยู่กับคนที่คุณไม่รักคือสไตล์ของบรรพบุรุษบ้านพวกคุณงั้นเหรอ?”  เซี่ยเช่อเลิกคิ้ว ยืนอยู่ด้านหน้าหลานหมิงเจิ้ง บุคลิกที่เป็นธรรมชาติให้ความรู้สึกที่เหนือกว่า

————