ตอนพิเศษ 2-17 ยอน ชิน

วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์

“ตรงนั้น! ทางนั้น!” 

 

 

เสียงเท้าคนกลุ่มหนึ่งเลยผ่ายหน้าซอยพร้อมเสียงตะโกนดังวุ่นวาย จากนั้นไม่นาน บุรุษผู้หนึ่งก็ยื่นหัวออกมาจากช่องแคบเล็กๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้าเป็นชุดกับรองเท้าของคนสูงศักดิ์ ดวงตาแหลมคมมาพร้อมกับหางตาชี้ขึ้นเล็กน้อย แม้จะดูห่างไกลคำว่าวิ่งหนี แต่เขากำลังวิ่งหนีอยู่จริงๆ ถึงมันจะไม่เข้ากับเขาเลยก็ตาม 

 

 

“ใครกันวะ จริงๆ เลย” 

 

 

หลังจากสังเกตความเคลื่อนไหวด้านนอก ชินก็บ่นพึมพำและออกมาจากช่องแคบๆ นั้นด้วยการเดินหันข้าง ในหัวก็คาดคะแนด้วยว่าข้าราชบริพารคนใดไปฟ้องเรื่องหนีออกมาข้างนอกกับเสด็จพ่อ 

 

 

มันอยู่แถวๆ นี้แหละ ชินส่องแผนที่ขนาดเล็กใต้แสงจันทร์อันเลือนรางและหาตามซอย หลังจากเดินเตร่สักพักก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านชั้นเดียวเล็กๆ หลังหนึ่ง ขณะเดียวกันก็มีเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากดังขึ้นจากซอยข้างๆ ชินกัดริมฝีปาก ก่อนจะกระโดดข้ามกำแพงเตี้ยแทนการเคาะประตูหน้าบ้าน 

 

 

“กรี๊ด!” 

 

 

สตรีที่ออกมาลานหน้าบ้านพอดีเห็นเขาและกรีดร้องด้วยความตกใจ ไม่แปลกใจที่นางทำเช่นนั้น ในเมื่อมีผู้ชายที่ไหนไม่รู้กระโดดกำแพงเข้ามากลางค่ำกลางคืน 

 

 

“มีเสียง! ด้านนู้น!” 

 

 

เสียงฝีเท้าตรงมาทางนี้อย่างชัดเจนพร้อมกับเสียงตะโกน ดูเหมือนว่านางคงจะกรี๊ดออกมาอีกเป็นแน่ ชินจึงรีบดึงนางเข้ามาในวงแขนและปิดปาก 

 

 

“อื้อ อื้อ!” 

 

 

หลังจากถูกปิดปากและถูกดึงเข้าไปหาโดยไม่ทันคาดคิด หญิงสาวจึงเบิกตาโพลงและสะบัดแขน 

 

 

“เงียบๆ ข้าจะปล่อยหลังจากพวกนั้นไปแล้ว” 

 

 

ชินกระซิบกระซาบอย่างเบามากๆ การขัดขืนอย่างสุดแรงจึงหยุดลงราวกับโกหก เสียงฝีเท้าของคนจำนวนมาก เสียงตะโกนและเสียงพูดคุยปรึกษาหารืออะไรบางอย่างผสมกันไปหมดอย่างวุ่นวายก่อนจะไกลออกไปอีกครั้ง 

 

 

“เฮ้อ” 

 

 

เขาถอนหายใจพร้อมกับคลายแรง แต่ยังไม่ปล่อยตัวอีกฝ่าย ยังกอดนางจากด้านหลังต่อไป ซึ่งหญิงสาวเองก็ไม่ได้พยายามจะขัดขืนออกมา 

 

 

ผ่านไปสักพัก นางจึงหันกลับมามองข้างหลังช้าๆ ใบหน้าของทั้งสองใกล้จนแทบจะติดกันภายใต้ความมืดมิดที่ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์ 

 

 

“องค์ชาย?” 

 

 

เสียงเต็มไปด้วยความตกใจ ความดีใจและความหวั่นไหว สัมผัสอันอ่อนโยนแตะลงบนใบหน้าของชินที่ยืนอยู่อย่างนั้นโดยไม่ตอบอะไร 

 

 

“องค์ชายใช่ไหมเพคะ แค่ฟังเสียงหม่อมฉันก็จำได้แล้ว องค์ชายจริงๆ ใช่หรือไม่” 

 

 

“โซฮี” 

 

 

ก้อนเมฆปกคลุมเต็มท้องฟ้าถูกสายลมดันออกจนเปิดพื้นที่ให้แก่แสงจันทร์ แม้จะเป็นแสงอันเลือนราง แต่ก็พอแล้วสำหรับการยืนยันใบหน้าของกันและกัน 

 

 

“หาเจอแล้ว” 

 

 

ชินยิ้มแย้มพลางลูบใบหน้าหญิงสาว 

 

 

เขาตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกพบยามออกเที่ยวนอกวังกับคังเมื่อหนึ่งปีก่อน แต่นางยังเป็นคีแซงเด็กที่กำลังฝึกฝนอยู่ในสำนักหอนางโลม ชินปลอมตัวและเข้าๆ ออกๆ หอนางโลมมียอนหลายครั้งเพื่อไปหาคีแซงเด็กคนนั้นจนถูกควบคุมตัว และในวันเกล้าผมของนาง เขาก็แอบหนีออกมาจากวังอย่างลำบากยากเย็นและได้ใช้เวลาคืนแรกกับโซฮี ทว่าข่าวแฮงซูมาบอกเขาโดยอาศัยช่วงการเฝ้าระวังอ่อนลง เนื่องจากการเตรียมพิธีอภิเษกสมรสของยอน กลับเป็นข่าวร้ายที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน 

 

 

[หลังจากจ่ายค่าไถ่ตัวเอง โซฮีก็ออกจากที่นี่พร้อมน้องสาวพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่านางไปอยู่ที่ใด] 

 

 

แม้จะตกตะลึง แต่ก็ใช่ว่าจะยอมแพ้ ชินคัดเลือกคนรอบตัวที่ไว้ใจได้และเริ่มไล่ตามร่องรอยของโซฮี เขาวาดภาพเหมือนของนางด้วยตัวเองและโปรยทั่วเมืองหลวง รวมถึงตามหาที่หอนางโลมอื่นด้วยเช่นกัน แอบหนีออกมาทำเช่นนั้นจนถูกจับได้ลากกลับเมืองหลวงหลายต่อหลายรอบ กว่าจะได้มาถึงบ้านโซฮีที่หายากหาเย็นก็ไม่ง่ายเลย แต่ถึงอย่างไรเขาก็มาถึงแล้ว และในที่สุดก็ได้พบกัน 

 

 

“เสด็จมาหาหม่อมฉันหรือเพคะ” 

 

 

โซฮียังคงไม่อยากจะเชื่อและเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง เราเป็นเพียงแค่ความสนุกชั่วข้ามคืน บุรุษสูงศักดิ์ถึงเพียงนั้นคงไม่ได้จริงใจกับนางโลมหรอก นางคิดเช่นนั้นแทนที่จะไม่พอใจทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่มาหาอีกเลยหลังจากวันเกล้าผม 

 

 

“นอกจากเจ้าแล้ว มีใครอยู่ที่นี่อีกหรือไม่” 

 

 

“มีน้องสาวของหม่อมฉัน แต่ตอนนี้นางหลับอยู่เพคะ” 

 

 

คำตอบตรงไปตรงมาและคาดไม่ถึงทำให้ชินหัวเราะ นางมักจะเป็นแบบนี้เสมอ โซฮีซื่อตรงและไร้การสร้างภาพราวกับดอกหญ้าอยู่ท่ามกลางหมู่นางโลมสง่างามเฉกเช่นดอกฝิ่น 

 

 

“ได้ยินมาว่าเจ้าจ่ายค่าไถ่ตัวแล้ว เอาเงินนั่นมาจากไหน” 

 

 

เขากังวลใจมาหลายวันแล้วว่าหรือจะมีชายอื่นมอบให้ เด็กที่เพิ่งจะได้เกล้าผมไปหมาดๆ จะหาเงินเยอะไม่ใช่แค่พุนสองพุนมาจากไหนกัน ความอับอายและความไม่สบายใจยามหอบเหรียญเงินมาไถ่ตัวโซฮีนั้นเกินคำบรรยาย 

 

 

“มันคือวันถัดมาหลังจากพระองค์เสด็จกลับเพคะ” 

 

 

โซฮีพูดเรื่องราวในวันนั้นออกมาอย่างช้าๆ ชินยิ้มเมื่อนางเล่าว่าออกไปข้างนอกเพื่อซื้อชุดให้น้องด้วยเงินที่ตนให้ และรู้สึกโมโหเมื่อได้ยินว่าเจอกับเจ้าองค์รัชทายาทอุนกุกนั่นโดยบังเอิญ เจ้าบ้านั่น น่าจะฆ่าให้ตายซะตั้งแต่ตอนรู้ว่าพูดโม้โอ้อวดว่าเป็นราชบุตรเขยของแทซากุก 

 

 

“แล้วท่านจอมยุทธ์คนนั้นก็มอบให้เป็นค่าข้อมูลเพคะ หม่อมฉันรู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรบอก แต่ไม่มีอะไรที่หม่อมฉันจะทำให้ผู้มีพระคุณได้เลย…” 

 

 

นางน้ำตาคลอขึ้นมาตอนท้ายประโยค ชินใช้มือข้างหนึ่งเช็ดให้อย่างอ่อนโยนแทนการตำหนิ เพราะรู้ว่าท่านจอมยุทธ์ที่โซฮีพูดถึงคือใคร ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ 

 

 

“อย่าออกไปไหนมาไหนข้างนอกสักระยะหนึ่งนะ ถ้ามีใครมาถามเกี่ยวกับข้าก็ตอบว่าไม่รู้อย่างเดียว ส่วนนี่ก็เอาไปซื้อของจำเป็นให้น้องนะ” 

 

 

ชินควักถุงเงินออกมาจากหน้าอกและวางบนพื้น มันคือเงินที่เขาพกติดตัวเพื่อไถ่ตัวนาง หากได้พบเจอว่าอยู่หอนางโลมที่ไหนอีก 

 

 

“เท่านี้ก็น่าจะทำให้ไม่มีปัญหาในการใช้ชีวิตไปสักระยะหนึ่ง” 

 

 

“ไม่ ไม่เพคะ หม่อมฉันมีทั้งเงินที่ท่านจอมยุทธ์ให้และเงินที่เก็บสะสมไว้เองแล้ว หม่อมฉันรับไว้ไม่ได้หรอก” 

 

 

“ใครบอกว่าให้เฉยๆ กันเล่า ข้าไม่ได้ให้เปล่าๆ ฉะนั้นรับไว้ซะ” 

 

 

ชินทำตัวแข็งกระด้างหนึ่งครั้งโดยไม่จำเป็น ก่อนจะหันหลังกลับไปทางประตูหน้าบ้าน 

 

 

“จะเสด็จกลับแล้วหรือเพคะ” 

 

 

“ถ้าข้าอยู่ต่อ เจ้าจะลำบากเอา” 

 

 

เขาจับห่วงประตูหลังจากสอดส่องด้านนอกประตู แต่ในเมื่อนางเป็นคนรักที่ตนเฝ้าตามหามานาน คงแปลกหากเดินออกไปอย่างง่ายดาย สุดท้ายก็หันกลับมาอีกครั้งและดึงโซฮีเข้ามากอดเต็มอก ความร้อนของค่ำคืนในฤดูร้อนลุกโชนออกมาระหว่างริมฝีปากของทั้งสองยามประกบกันช้าๆ  

 

 

“เดี๋ยวข้ามารับ รอก่อนนะ” 

 

 

กระซิบเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับปล่อยตัวโซฮีออก 

 

 

 

 

 

ชินกลับมาที่วังหลวง ทำการบุกเข้าไปในวังกอนของและคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นพ่ออย่างเด็ดเดี่ยวก่อนพระอาทิตย์ของวันถัดไปจะขึ้นเสียอีก 

 

 

“กระหม่อมมีคนรักแล้วพ่ะย่ะค่ะ หลังจากพิธีอภิเษกสมรสของยอนเสร็จสิ้น โปรดทรงอนุญาตให้กระหม่อมพาเด็กคนนั้นเข้ามาในวังด้วยเถิด” 

 

 

ฮอนมองดูลูกชายคนโตแล้วส่ายหัว สถานการณ์แบบนี้ดูคุ้นเคยอย่างไรไม่รู้ 

 

 

“เป็นบุตรสาวของครอบครัวใดล่ะ” 

 

 

“เป็นแค่ชนชั้นกลางพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ชนชั้นกลางงั้นหรือ” 

 

 

หากเป็นชนชั้นกลางก็สามารถเป็นนางสนมขององค์ชายได้ อีกทั้งหากให้กำเนิดลูกหลานของราชวงศ์ก็ยังสามารถขึ้นเป็นจองบีได้อีกด้วย ดังนั้นฮอนจึงนึกสงสัยชินขึ้นมาว่าเรื่องแค่นั้น ถึงกับต้องคุกเข่าขอร้องกันเลยหรืออย่างไร 

 

 

“บอกมาตรงๆ เด็กคนนั้นทำมาหากินอะไร” 

 

 

“เคยเป็น……นางโลมพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ออกไปซะ” 

 

 

ไม่มีอะไรต้องฟังอีก ฮอนหันหน้าจดจ่อกับเอกสารอีกครั้งโดยไม่คิดสนใจ 

 

 

“โปรดฟังกระหม่อมก่อนพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ” 

 

 

“มัวทำอะไรอยู่ ยังไม่ลากตัวองค์ชายออกไปอีก” 

 

 

“เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ! ฟังกระหม่อมก่อน! ตอนนี้นางไถ่ตัวออกมาแล้ว!” 

 

 

เสียงร้องตะโกนของชินที่ถูกลากออกไปด้วยทหารคุ้มกันกับเหล่าขันทีสั่นสะเทือนวังกอนชองที่เงียบสงบ วันต่อมา วันต่อมาและวันต่อมา ชินก็ตามไปทุกที่ไม่ว่าฮอนจะอยู่ที่ไหนโดยไม่รู้จักเหนื่อย ส่วนฮอนก็เรียกทหารคุ้มกันให้ไล่เขาออกไปทุกครั้ง 

 

 

“ทำได้ดีนี่ท่านพี่” 

 

 

ยอนมาดูชินถูกไล่ออกมานั่งเท้าคางกับโต๊ะและยิ้มหวาน ดูเหมือนข่าวลือที่ว่าทำแม้กระทั่งประท้วงอดอาหารจะไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ดูจากใบหน้าอันหล่อเหลาซูบผอมลงแล้ว จริงๆ ก็น่าสงสารอยู่นิดหน่อย 

 

 

“ถ้าจะมากวนประสาทก็ไปซะเถอะ” 

 

 

“อันที่จริงข้ามาช่วยนะ แต่ไปก็ได้” 

 

 

ชายเสื้อของยอนที่ลุกพรวดขึ้นและกำลังจะหันกลับไปถูกคว้าไว้ด้วยปลายนิ้ว 

 

 

“จริงหรือ แล้วจะช่วยอย่างไร” 

 

 

จริงสิ นางปัดมือชินออกอย่างเย็นชาทั้งๆ ที่หัวเราะอยู่ภายใจ 

 

 

“ตอนนี้บุตรของราชวงศ์มีค่าเป็นอย่างมากเพคะท่านพี่” 

 

 

ได้ยินมาว่าการเฝ้าระวังตรงประตูเล็กๆ ที่ผ่านไปยังภูเขาด้านหลังอ่อนลงด้วย พูดเสริมราวกับแอบบอกให้รู้ก่อนจะออกจากห้อง หลังจากนั้นหกเดือน ชินก็พาโซฮีที่อุ้มท้องป่องเข้าวังด้วยความดื้อรั้น เวลานั้นฮอนเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากอนุญาต เจ้านี่ดื้อรั้นเหมือนใครกันนะ พร้อมบ่นเหมือนกับที่่พ่อของเขาเคยทำมาก่อน 

 

 

 

 

 

[ตอนพิเศษยอน, ชิน จบ]