บทที่ 1312 ขอขมาโทษ โดย Ink Stone_Fantasy
เรื่องบางอย่างเศร้าโศกไปก็ไม่มีประโยชน์ ทุกคนต้องรับผิดชอบในเรื่องที่ตัวเองทำผิด ปี้เยว่ฮูหยินพยามควบคุมอารมณ์ตัวเอง ถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าไม่กลัวข้าจะฆ่าเจ้าเหรอ?”
“ในเมื่อข้ากล้านำสินค้ามาขายต่อหน้าฮูหยิน ก็แสดงว่าข้าเตรียมตัวไว้แล้ว ถ้าข้าไม่สามารถรอดชีวิตกลับไปได้ เรื่องของฮูหยินก็จะแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว!” เหมียวอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แต่ในน้ำเสียงที่เยือกเย็นนั้นกลับแฝงความรู้สึกที่ทำให้คนตัวสั่น ชัดเจนแล้ว นี่เป็นการขู่เข็ญอย่างโจ่งแจ้ง
เป็นแบบนี้จริงๆ ด้วย! ในใจปี้เยว่ฮูหยินเต็มไปด้วยความรู้สึกไร้ความสามารถ นั่งลงอย่างช้าๆ แล้วถามว่า “บอกมา! เจ้าต้องการอะไร?”
เหมียวอี้ตอบอย่างมีพลังว่า “ข้าไม่ต้องการอะไรหรอก แค่อยากให้ต่อไปนี้ฮูหยินดูแลข้าสักหน่อย อย่าผลักข้าลงไปในหลุมกับดักไฟอีก อย่ามองเห็นข้าเป็นลูกน้องแค่ตอนจะใช้ประโยชน์ พอตอนไม่จำเป็นต้องใช้ก็ถีบหัวส่ง คำขอนี้คงไม่ถือว่ามากเกินไปหรอกใช่มั้ย?”
ถึงแม้จะรู้ว่าเหมียวอี้หมายถึงอะไร แต่คำพูดแบบนี้ก็ยังทำให้ปี้เยว่ฮูหยินอับอายจนเหงื่อแตก คนเราเมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะใช้ความถูกผิดของมาตรฐานศีลธรรมมาแก้ไขปัญหาได้ทุกเรื่อง ปี้เยว่ฮูหยินถามว่า “ไม่เกินไปจริงๆ แต่ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าจะไม่เปิดโปงเรื่องนี้?”
“ถ้าข้าคิดจะเปิดโปง ก็คงไม่มายื่นเสนอเงื่อนไขกับฮูหยินที่นี่หรอก ข้าล่วงเกินคสไว้เยอะขนาดนั้น ถ้าเปิดโปงเรื่องของฮูหยินก็ไม่ส่งผลดีอะไรกับข้า ไม่สู้นำมาแลกกับการปกป้องจากฮูหยินดีกว่า ถ้าเปลี่ยนให้ฮูหยินมายืนอยู่ในจุดของข้า ก็คงจะเลือกแบบนี้เหมือนกัน” เหมียวอี้กล่าว
คำพูดนี้ทำให้อารมณ์ของปี้เยว่ฮูหยินค่อยๆ สงบลง เพราะเป็นแบบนี้จริงๆ ถ้าเอาเรื่องของนางไปขาย เขาก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรกลับมาจริงๆ ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อยิ่งต้องการที่พึ่งอย่างนาง นางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ข้าต้องแน่ใจก่อนว่าลูกสาวของข้าปลอดภัยหรือเปล่า!”
“ฮูหยินสามารถไปตรวจสอบที่ดาวเทียนหยวนได้ทุกเมื่อ” เหมียวอี้กล่าว
ถึงตอนนี้ ปี้เยว่ฮูหยินนับว่าสงบใจอย่างถึงที่สุดแล้ว ในใจนางรู้สึกโชคดีไม่หยุด ยังดีที่ลูกสาวตกอยู่ในมือคนที่ไม่มีทางหนีทีไล่อย่างเหมียวอี้ ถ้าตกไปอยู่ในมือคนอื่นก็คงจะยุ่งยากแล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือ สุดท้ายลูกสาวก็ยังปลอดภัย ไม่เกิดเรื่องอะไรกับนาง
แต่พอคิดดูอีกทีก็แอบแค้นจนกัดฟันกรอด เจ้าเวรนี่อยู่ดีไม่ว่าดี อุตส่าห์บอกแล้วว่าไม่ต้องไปรับ แต่ดึงดันจะไปประจบนางให้ได้ ตอนนี้โดนบีบจุดอ่อนแล้ว เจ้าเวรนี่ล่วงเกินคนไว้มากมายขนาดนั้น ตัวนางเองจะต้านทานไหวเหรอ?
เมื่อใจเย็นแล้วครุ่นคิดพิจารณาปัญหา ปี้เยว่ฮูหยินก็กลับสู่สภาพความเป็นจริง “เรื่องที่ตำหนักประชุมเมื่อครู่นี้ เจ้าทำเกินไปรึเปล่า ถ้าข้าไม่ตอบโต้อะไรเลยสักนิด จะไม่ทำให้พวกเขาสงสัยเหรอ แล้วในภายหลังข้าจะปกป้องเจ้าได้ยังไง?”
พูดแบบนี้แสดงว่าตอบตกลงกับเงื่อนไขแล้ว เหมียวอี้ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “เรื่องนี้จัดการง่าย ข้าจะให้คำอธิบายกับฮูหยินทันที ฮูหยินหักค่าจ้างของน้าน้อยนิดหน่อยก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่เดี๋ยวกลับไปรบกวนฮูหยินช่วยหลบเลี่ยงให้สักหน่อย บัญชีแค้นในปีนั้น ข้าน้อยต้องการสะสางกับพวกเขาทีละคน!”
“เจ้าอย่าทำซี้ซั้วนะ!” ปี้เยว่ฮูหยินกล่าวเสียงต่ำ
เหมียวอี้จึงบอกว่า “ฮูหยินวางใจได้ ข้าไม่ถึงขั้นลงมือฆ่าพวกเขาหรอก แต่ในปีนั้นพวกเขาสร้างความอัปยศให้ข้ายังไงบ้าง ข้าจะต้องเอาคืน!” พูดจบก็ไม่รอให้ปี้เยว่ฮูหยินตอบตกลง ถลันตัวออกมาข้างนอกโดยตรง เอาแผ่นหลังชนบนภูเขาจำลองลูกหนึ่งอย่างแรง
บึ้ม! เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ภูเขาจำลองโดนชนจนพังกระจัดกระจาย เสื้อผ้าด้านหลังเหมียวอี้ฉีกขาก เขาร่ายอิทธิฤทธิ์บีบให้ตัวเองกระอักเลือดออกมา ย้อมจนมุมปากและคอเสื้อเป็นสีแดง จากนั้นก็กระเด็นถอยหลังตกลงบนพื้น
ปี้เยว่ฮูหยินพูดไม่ออก แอบกัดฟันเงียบๆ แอบด่าว่าเจ้าพันธุ์ชั่วนี้ ต่ำช้าไร้ยางอายจริงๆ ด้วย
เสียงความเคลื่อนไหวดังขนาดนี้ ทำให้คนที่อยู่ในตำหนักด้านหน้าตกใจจนถลันตัวเข้ามาทันที รวมทั้งทหารยามที่เฝ้าจวนแม่ทัพภาคด้วย พวกเขาประกฎตัวพร้อมกัน
หลันเซียงมาถึงก่อน พอเห็นภาพในที่เกิดเหตุ นางก็เหาะไปเหยียบลงข้างกายปี้เยว่ฮูหยิน แล้วถามอย่างตกใจว่า “ฮูหยิน เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ?”
จ้านหรูอี้และคนอื่นๆ มองไปทางเหมียวอี้ที่คลานขึ้นมาจากสวนดอกไม้ด้วยสภาพสะบักสะบอม แล้วก็มองดูปี้เยว่ฮูหยินที่นั่งสง่าอยู่ในศาลา เห็ดได้ชัดมากว่าปี้เยว่ฮูหยินลงมือแล้ว
เซี่ยโห้วหลงเฉิงแอบเดาะลิ้น แอบทอดถอนใจ น้องหนิวเอ๊ย เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ บุรุษอาชาไนยสามารถยอมลดราวาศอก เจ้าจำเป็นต้องลำบากขนาดนี้มั้ย
พวกเหยียนซู่ย่อมแอบสะใจกับความทุกข์ของคนอื่นอยู่แล้ว
ปี้เยว่ฮูหยินโบกมือให้หลันเซียงถอยออกไป แล้วยืนขึ้นช้าๆ เดินออกมาจากศาลา จ้องเหมียวอี้ที่สีหน้าไม่ดีพร้อมเตือนอย่างเย็นเยียบว่า “วันนี้ให้เจ้าจดจำบทเรียนไปยาวๆ ถ้ายังมีครั้งหน้าอีก ข้าไม่ปล่อยไปไปง่ายๆ แน่ หักค่าจ้างเจ้าหนึ่งร้อยปี เจ้ามีความเห็นแย้งอะไรมั้ย?”
ในใจนางไม่สบอารมณ์กับละครฉากนี้สุดๆ เป็นเขาที่ให้นางแสดง ที่จริงนางอยากจะทำร้ายให้เหมียวอี้บาดเจ็บๆ ใจจะขาดอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่การบาดเจ็บนี้ไม่ใช่ฝีมือของนาง
เหมียวอี้ปากไม่ตรงกับใจอย่างชัดเจน ตอบเสียงต่ำว่า “ข้าน้อยไม่กล้ามีความเห็นแย้งอะไรขอรับ”
ปี้เยว่ฮูหยินหันกลับมาบอกใบ้หลันเซียง “เตรียมการหน่อย ข้าจะไปดูที่ดาวเทียนหยวนว่าวุ่นวายเพราะเขาไปขนาดไหนแล้ว”
หลันเซียงอึ้งไปชั่วขณะ นางคิดในใจว่าท่านเตรียมจะย้ายที่แล้ว ยังจะถ่อไปทำอะไรที่ดาวเทียนหยวนอีก เวลานี้ยังจำเป็นต้องสร้างปัญหาอีกเหรอ คำพูดนี้นางได้แต่เก็บไว้ในใจ ภายนอกยังคงเอ่ยรับ “ค่ะ!”
ไม่จำเป็นต้องกลับเข้าตำหนักประชุมอีกแล้ว คนมาที่นี่แล้ว ปี้เยว่ฮูหยินสั่งให้ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสิบรายงานสถานการณ์ในอาณาเขตตัวเองตรงนั้นเลย
หลังจากเสร็จเรื่อง ปี้เยว่ฮูหยินก็ไม่รั้งทุกคนไว้อีก ให้ทุกคนต่างคนต่างกลัอาณาเขตตัวเองไป นางเหลือบมองเหมียวอี้ที่บอกให้ตัวเองหลบเลี่ยงไป แล้วเรียกพวกหลันเซียง อุ้มจิ้งจอกสีชมพู แล้วนำไปตรวจสอบที่ดาวเทียนหยวนก่อน ไม่มีท่าทีว่าจะให้เหมียวอี้ร่วมทางไปด้วย ดูเหมือนไม่พอใจเหมียวอี้มาก
ขณะที่มองดูท่านแม่ทัพภาคจากไป เหยียนซู่ก็รู้สึกคับแค้นเล็กน้อย เพราะนางรู้สึกว่าปี้เยว่ฮูหยินลงโทษเหมียวอี้เบาเกินไปหน่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าปี้เยว่ฮูหยินจะไปดูที่ดาวเทียนหยวนก่อนแล้วค่อยคิดบัญชีกับเหมียวอี้หรือเปล่า
ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสิบคนเพิ่งเดินออกจากประตูใหญ่ของจวนแม่ทัพภาค “ถุย!” จู่ๆ เหมียวอี้ที่เดินตามหลังมาก็ถ่มน้ำลายที่ปนกลิ่นคาวเลือด ทำให้ทุกคนกันกลับมามองพร้อมกัน นอกจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ทำท่าเหมือนเป็นห่วง คนที่เหลือก็หันกลับมามองเหมือนเยาะเย้ย ความโกรธแค้นในดวงตาเหยียนซู่ก็ยิ่งชัดเจน
“ทุกคนหยุดยืนอยู่ตรงนั้นแหละ!” จู่ๆ เหมียวอี้ก็กล่าวสิ่งที่ทำให้คนตกใจ
ทุกคนหยุดแล้วหันตัวมา เห็นเพียงเหมียวอี้เดินประชิดเข้ามาหาเหยียนซู่ เหยียนซู่ขวัยผวาทันที ถอยหลังพร้อมบอกว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ดูจากท่าทางของเจ้าแล้ว ดูเหมือนจะไม่ค่อยยอมแพ้นะ!” เหมียวอี้กล่าว
จ้านหรูอี้ก้าวขึ้นมาแทรกทันที มาขวางหน้าเหยียนซู่ แล้วจ้องเหมียวอี้พร้อมเตือนว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าอย่ารังแกกันเกินไปนัก!”
“ข้ารังแกเกินไปเหรอ?” เหมียวอี้แสยะยิ้ม แล้วบุ้ยปากใส่พวกเขา “ในปีนั้นตอนที่พวกเขาตามอำเภอใจโดยไม่ต้องเกรงกลัวใครอยู่ที่นี่ เจ้าลองถามพวกเขาสิว่ารังแกกันเกินไปรึเปล่า?”
จ้านหรูอี้หันซ้ายหันขวา เรื่องราวนีนั้น นางก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน ตอนนั้นคนกลุ่มนี้สร้างความอับอายให้เหมียวอี้อย่างรุนแรงมากจริงๆ
เหมียวอี้พูดต่อไปว่า “เพราะในปีนั้นกำลังจะไปทดสอบ ข้าเลยคิดว่าถ้าทนสักหน่อยเดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว หวังว่าตอนทดสอบพวกเขาจะใจกว้างไม่ถือสา แต่ผลเป็นยังไงล่ะ? แต่ละคนต้องการเล่นงานข้าให้ถึงตาย ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว กับพวกชาติสุนัขที่อาศัยอำนาจรังแกคนอื่นแบบนี้ ต่อให้อดทนยังไงก็ไร้ประโยชน์ วิธีการที่ดีที่สุดก็คือต้องตายกันไปข้าง!”
พวกเหยาสิ้งได้ยินแล้วหวาดระแวงกลัว ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่
“หนิวโหย่วเต๋อ ข้าจะเตือนเจ้าเอาไว้นะ ทางที่ดีอย่าทำซี้ซั้ว!” จ้านหรูอี้กล่าวเสียงต่ำ
เหมียวอี้จึงบอกว่า “ข้าไม่ทำซี้ซั้วหรอก ข้ามีสติสัมปชัญญะมาก ข้าก็แค่อยากจะให้พวกเขาขอขมาโทษ แต่ถ้าไม่ยอม งั้นก็มาสู้ตายกันสักตั้ง ก่อนข้าตาย ข้าจะต้องลากพวกเจ้าให้เป็นแพะรับบาปก่อน!”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ปาดเหงื่อนิดหน่อย สู้ตายสักตั้งที่นี่เหรอ?
เขาอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองจวนแม่ทัพภาคที่อยู่ข้างหลัง จากนั้นก็พูดไม่ออก ปี้เยว่ฮูหยินเหมือนจะพาคนออกไปแล้ว ช่างเป็นเวลาที่ดีสำหรับการลงมือจริงๆ ถ้าต่อสู้กันขึ้นมา ก็เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่สามารถต้านทานเจ้าคนบ้าที่ตะลุยอยู่ในทัพใหญ่หนึ่งล้านได้ ถ้ารอให้ปี้เยว่ฮูหยินกลับมา ดีไม่ดีอาจจะมีคนตายไปเป็นแพะรับบาปก่อนแล้วก็ได้
จ้านหรูอี้แสยะยิ้ม แล้วหันตัวโบกมือ “อย่าไปสนใจเขา พวกเราไปกันเถอะ!”
“ไปเหรอ?” เหมียวอี้หัวเราะหึหึ “ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าพวกเจ้าจะไปได้เร็วกว่า หรือธนูดาวตกของข้าจะไปเร็วกว่า!”
ทุกคนหยุดชะงักทันที ตอนนี้เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าในมือเจ้าเวรนี่ยังมีของเล่นที่ยิงทีเดียวก็สังหารนักพรตบงกชรุ้งตายมาแล้ว ตอนนี้ก้าวเท้ายากจริงๆ อยากจะไปแต่ก็ต้องชั่งน้ำหนักสักหน่อย เจ้าเวรนี่กล้าลงมือในตำหนักประชุมด้วยซ้ำ ไม่ต้องสงสัยความเป็นไปได้ในการลงมือครั้งนี้เลย
จ้านหรูอี้หันขวับไปชี้หน้าเหมียวอี้พร้อมตะคอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าอย่าทำเกินไปนัก!”
เหมียวอี้จึบอกว่า “ที่นี่ไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว เห็นแก่หน้าของตระกูลอิ๋ง ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่ามายุ่งเรื่องนี้จะดีกว่า นี่คือความแค้นส่วนตัวระหว่างข้ากับพวกเขา! ถ้าเจ้าเข้ามายุ่ง ข้าก็บอกได้เพียงคำเดียวว่า ข้ามีเรื่องกับผู้มีอำนาจมาทั้งราชสำนักแล้ว ถึงอย่างไรก็เหลือแค่ทางตายมาตั้งนานแล้ว ไม่ถือสาที่จะลากคนมารับกรรมด้วยกันอีกสักคน”
ในตอนนี้ เอะอะเขาก็พูดว่า ‘มีเรื่องกับผู้มีอำนาจมาทั้งราชสำนักแล้ว’
ภาพเหตุการณ์นี้ ก็น่าสนุกอยู่นะ! เซี่ยโห้วหลงเฉิงเอามือลูบคาง เลิกคิ้วที่เข้มหนาแล้วเบะปาก แอบเดาะลิ้นในใจไม่หยุด ไม่ไว้หน้าแม้แต่อ๋องสวรรค์อิ๋ง!
เจ้าเวรนี่แทบจะเข้าไปก้มกราบเหมียวอี้แล้ว ลักษณะท่าทางที่ไร้เหตุผลของเหมียวอี้ถูกรสนิยมของเขามาก!
จ้านหรูอี้สีหน้าเย็นเยียบ วันนี้นางนับว่าเข้าใจแล้วถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนใส่รองเท้า’
ที่นางเป็นฝ่ายมาที่นี่ก่อน เดิมทีก็เพราะอยากหาโอกาสระบายความโกรธใส่เหมียวอี้เพื่อกู้หน้าตัวเองกลับมา ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะยอมแลกทุกอย่างแล้ว อีกฝ่ายไม่สนใจภูมิหลังของนาง จะใช้กำลังกับนางโดยตรง นางเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน เพราะนางไม่ได้มาเพื่อสู้ตายกับเหมียวอี้ ที่สำคัญคือถ้าลงมือขึ้นมา นางก็ไม่มีข้อได้เปรียบอะไร ดีไม่ดีอาจจะเป็นการสร้างความอับอายให้ตัวเอง
นี่คือสิ่งที่นางได้เห็นมากับตาตัวเอง ที่แท้คำว่า ‘ความสามารถ’ ที่ตัวเองเคยเรียกล้วนสร้างขึ้นมาได้เพราะมีตระกูลอิ๋งหนุนหลัง ตอนนี้นางอับอายแล้ว
จ้านหรูอี้กับเหมียวอี้สบตากัน จ้านหรูอี้เองก็วู่วามอยากจะยอมแลกทุกอย่างเช่นกัน เป็นปัญหาเรื่องหน้าตาศักดิ์ศรี บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ผู้บัญชาการใหญ่ติงเจ๋อเฉวียนที่อยู่ข้างๆ พลิกมือ ในมือถือระฆังดาราอันหนึ่ง เตรียมจะติดต่อปี้เยว่ฮูหยิน
มีเสียงมังกรคำรามดังขึ้น ทวนเกล็ดย้อนพลันปรากฏในมือเหมียวอี้ เขาชี้ไปที่ติงเจ๋อเฉวียน พร้อมแสยะยิ้มบอกว่า “ถ้าไม่กลัวตาย เจ้าก็ลองดู!”
ทวนด้ามนี้ฆ่าคนที่แดนอเวจีมาเป็นพันๆ แล้ว คนที่เคยเห็นล้วนจำได้
“เจ้าจะให้พวกเขาขอโทษเจ้าเรื่องในปีนั้นยังไง พวกเจ้าคิดว่ายังไง?” จ้านหรูอี้หันกลับมาถาม นางตัดสินใจจะยอมถอยหนึ่งก้าว ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือจวนแม่ทัพภาค เหมียวอี้สามารถยอมแลกทุกอย่างโดยไม่สนกฎได้ แต่นางกลับทำซี้ซั้วไม่ได้ มิหนำซ้ำตัวเองก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่ได้เปรียบ เรื่องที่รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าเสียเปรียบ ถ้ายังทำก็แสดงว่าเป็นคนโง่ บัญชีแค้นนี้นางเตรียมจะให้ยอดฝีมือมาสะสางบัญชีกับเหมียวอี้ทีหลัง ไม่ได้มีแค่เหมียวอี้ที่ใช้กำลังได้
เมื่อได้ยินแบบนี้ ผู้บัญชาการใหญ่ที่เหลือก็รู้แล้วว่าจ้านหรูอี้ยอมอ่อนให้แล้ว และรู้ด้วยว่าถ้าสู้กันขึ้นมา จ้านหรูอี้ก็อาจจะต้านทานเหมียวอี้ไม่ไหว ใช่ว่าทุกคนจะไม่รู้ว่าตอนอยู่แดนอเวจีจ้านหรูอี้เกือบจะตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้
“ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ขออภัย!”
ติงเจ๋อเฉวียนที่ถูกทวนชี้เก็บระฆังดารา แล้วกุมหมัดกล่าวขอโทษด้วยเสียงอู้อี้
“ขออภัย ในปีนั้นข้าผิดไปแล้ว”
“ขออภัย!”
แต่ละคนทยอยกันกล่าวขอขมาโทษ เหยียนซู่ที่โดนสั่งสอนไปหนึ่งทีกลับต้องเป็นฝ่ายขอโทษ รสชาติแบบนี้มีเพียงนางที่รู้ชัด
เหมียวอี้รอให้พวกเขากล่าวขอโทษทีละคนจนครบ แล้วถึงได้พูดเหยียดว่า “ในปีนั้นหนิวรับความอัปยศอย่างใหญ่หลวง แค่พูดปากเปล่าอย่างขอไปทีก็ถือว่าเรื่องผ่านไปแล้วเหรอ ทุกคนขาดความจริงใจเกินไปแล้ว หรือกำลังล้อข้าเล่นล่ะ?”
…………………………