หลังเซี่ยฟางหวาดื่มยาแล้วก็ยังมิได้สติดังเดิม
เซี่ยอวิ๋นจี้เฝ้าที่ห้องนางร่วมหนึ่งชั่วยาม เห็นว่านางยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมา ตัวเขาก็ง่วงจนลืมตาไม่ขึ้นแล้วจึงไม่อยู่รออีกต่อไป เดินออกมาจากห้อง กลับไปนอนในห้องที่เซี่ยม่อหานจัดเตรียมไว้ให้ตนก่อนหน้านี้
พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อมิกล้าห่างกายเซี่ยฟางหวา อยู่เฝ้านางตลอดเวลา
ภายในจวนผู้ว่าการ ฉินอวี้กับเซี่ยม่อหานกำกับดูแลตั้งแต่ขั้นตอนตั้งหม้อและการต้มยา เหยียนเฉินคอยคุมระดับความร้อนของไฟขณะต้มยา ส่วนชูฉือกับทิงเหยียนนำผู้คุ้มกันและทหารไปแจกจ่ายยาที่ต้มเสร็จเรียบร้อยแล้วให้ประชาชนในแต่ละครัวเรือน
การป้องกันรอบเมืองหลินอันยังเข้มงวดดังเดิม ภายในเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อย ไร้ซึ่งเหตุวุ่นวาย
เมื่อฟ้าสว่าง ประชาชนในเมืองก็ได้ดื่มยารักษาโรคห่าแล้วครึ่งหนึ่ง ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น
เซี่ยอวิ๋นจี้หลับไปตื่นหนึ่ง แม้ไม่กี่ชั่วยามแต่ก็ขับไล่รอยคล้ำใต้ดวงตาได้ ดูมีชีวิตชีวาเต็มที่ หลังเขาตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาอย่างเกียจคร้านแล้วก็เดินออกจากห้องมาที่สนาม พบว่าทั้งฉินอวี้กับเซี่ยม่อหานต่างดูเหนื่อยล้า แต่เนื่องจากฉินอวี้มีพื้นฐานร่างกายดี ดังนั้นจึงแข็งแรงกว่าเซี่ยม่อหาน ย่อมอดทนต่อความทรมานได้ เขาจึงโบกมือไล่เซี่ยม่อหาน “เจ้าไปนอนเถอะ ข้าจะดูแลกำกับแทนเอง”
“จื่อกุยกลับไปพักผ่อนเถอะ หากฟางหวาฟื้นมาเห็นเจ้าในสภาพนี้คงเป็นห่วงแย่” ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยเร่งด้วย
“ท่านโหวรีบไปพักผ่อนเถอะ” ทิงเหยียนเองก็โน้มน้าวเช่นกัน “สุขภาพท่านสำคัญที่สุด หลังวิกฤตในเมืองหลินอันคลี่คลายแล้ว ท่านมิใช่ว่ายังต้องเดินทางไปพรมแดนม่อเป่ยอีกหรือ หากไม่พักผผ่อนจะทนไหวได้อย่างไร”
“ก็จริง” เซี่ยม่อหานไม่ฝืนต่อไป ลุกขึ้นบอกกับเซี่ยอวิ๋นจี้ “เช่นนั้นรบกวนอวิ๋นจี้แล้ว”
“พูดได้ดี” เซี่ยอวิ๋นจี้โบกมือไล่ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้
เซี่ยม่อหานมิได้รีบกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตนเอง หากแต่ไปที่ห้องของเซี่ยฟางหวาก่อน
“ฟางหวายังไม่ฟื้นอีกหรือ” ฉินอวี้เอ่ยถามคนข้างกาย
“กระหม่อมจับตามองการเคลื่อนไหวภายในห้องคุณหนูฟางหวาตลอดเวลา ยังมิได้ยินว่าฟื้นขึ้นมาแล้ว น่าจะยังไม่ฟื้นพ่ะย่ะค่ะ หากคุณหนูฟางหวาฟื้นแล้ว จะมีคนรีบมารายงานฝ่าบาท” คนข้างกายส่ายหน้า
ฉินอวี้พยักหน้า
“เจ้าเป็นห่วงฟางหวาขนาดนี้ทำไมกัน” เซี่ยอวิ๋นจี้พลันหันไปมองฉินอวี้
“ฟางหวาหาสมุนไพรดำม่วงจำนวนมากเจอ คลี่คลายวิกฤตการณ์ในเมืองหลินอัน ถือว่าเป็นขุนนางที่สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงให้บ้านเมืองหนานฉิน เรียกได้ว่าเป็นคุณงามความดียิ่งใหญ่ มิฉะนั้นบางทีเมืองหลินอันแห่งนี้อาจกลายเป็นเมืองร้าง ผลลัพธ์ไม่อาจจินตนาการได้ เจ้าว่าข้ามีฐานะเป็นรัชทายาท ควรเป็นห่วงนางหรือไม่” ฉินอวี้หันไปมองเขาเช่นกัน
“วาจาของรัชทายาทมีเหตุผลน่ายกย่อง แต่ถ้อยคำแบบนี้เก็บไว้พูดกับคนอื่นดีกว่า ไม่จำเป็นต้องพูดกับข้าหรอก ข้าไม่เชื่อ เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าเจ้ามิได้เห็นแก่ตัวเอง” เซี่ยอวิ๋นจี้หรี่ตาลง
“ข้าเลื่อมใสฟางหวามิใช่แค่วันสองวันแล้ว มิได้ปิดบังผู้ใด” ฉินอวี้ยิ้มบาง มิได้ปฏิเสธเช่นกัน
“ตอนนี้นางเป็นสตรีที่ถูกหย่าร้าง องค์รัชทายาทมีฐานะสูงศักดิ์ ในเมื่อเป็นถึงรัชทายาทของบ้านเมือง เช่นนั้นก็น่าจะทราบว่าไม่ควรเป็นห่วงนางเกินหน้าเกินตา เรื่องขุนนางสร้างคุณูปการแก่บ้านเมืองก็อีกเรื่อง เรื่องอื่นควรแยกแยะให้ชัดเจน” เซี่ยอวิ๋นจี้เลิกคิ้ว
“แม้เป็นเรื่องขุนนางสร้างคุณูปการแก่บ้านเมืองก็จริง แต่เรื่องอื่นก็ไม่จำเป็นต้องแยกแยะให้ชัดเกินไป” ฉินอวี้กล่าว
“องค์รัชทายาทกำลังบอกข้าว่า ความจริงแล้วเจ้ามิได้มีเจตนาดีต่อน้องสาวข้าหรือ เจ้าอย่าลืมว่าตนเองมีคู่หมั้นอยู่แล้ว คุณหนูหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวากับเจ้าได้รับสมรสพระราชทานร่วมกัน เสนาบดีฝ่ายขวาเป็นขุนนางอาวุโส วางมาดบริสุทธิ์น่าศรัทธาเสมอมา มีลูกศิษย์กระจายทั่วใต้หล้า ทั้งมีบทบาทสำคัญ มีหรือรับพระราชโองการแล้วแต่ฝ่าฝืนมิกล้าแต่ง” เซี่ยอวิ๋นจี้แค่นหัวเราะ
“นี่มิใช่เรื่องที่พี่อวิ๋นจี้ต้องกังวล เสนาบดีฝ่ายขวาเข้าใจทุกอย่างดี เขารู้เจตนาของข้ามาตั้งแต่ต้น” ฉินอวี้กล่าว “ข้าย่อมมีวิธีทำให้จวนเสนาบดีฝ่ายขวาไม่มีปัญหา และมีวิธีทำให้บรรดาลูกศิษย์ไม่มีปัญหาเช่นกัน”
“ดูท่าเจ้าคงวางแผนไว้ก่อนแล้ว ไม่สนใจว่าฟางหวาจะถูกหย่าร้างหรือไม่ ไม่สนใจว่าตัวเจ้าเองมีคู่หมั้นอยู่แล้ว หรือว่าไม่สนใจชื่อเสียงร้อยปี การถูกจารึกชื่อในบันทึกประวัติศาสตร์พันปีด้วย” เซี่ยอวิ๋นจี้จุปาก
“ไม่สน ข้าไม่เหมือนกับเสด็จพ่อ ชื่อเสียงพันปีนั้นไม่สำคัญกับข้าเช่นเดียวกัน สิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงบ้านเมืองในการปกครองของข้าสงบสุข มีคนรู้ใจรักใคร่ปรองดองกันข้างกาย” ฉินอวี้แค่นหัวเราะ
“แล้วฟางหวาเล่า หัวใจนางล่ะ” เซี่ยอวิ๋นจี้คลี่ยิ้มเย็น “อย่าบอกว่าข้าว่านางก็มีใจให้เจ้าด้วย”
“ก่อนหน้านี้นางได้ตกลงแล้ว” ฉินอวี้ตอบ
“อะไรนะ” เซี่ยอวิ๋นจี้ตกใจ ผุดลุกขึ้นยืนพลางมองเขา “ข้ามิได้ฟังผิดกระมัง นางตอบตกลงแล้ว เมื่อไรกัน ไฉนข้าถึงไม่ทราบ”
“เมื่อวันก่อน เจ้าย่อมมิทราบ” ฉินอวี้มองเซี่ยอวิ๋นจี้ แย้มยิ้มบางกล่าว “พี่อวิ๋นจี้ แม้เจ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ ของนาง แต่ไม่จำเป็นต้องก้าวก่ายเกินเหตุ จื่อกุยเป็นพี่ชายแท้ๆ ของนาง หากรู้ว่านางตอบตกลงคงไม่สอดปากสอดคำ”
“นางรับปากอันใดกับเจ้า เหตุใดถึงตอบตกลง” เซี่ยอวิ๋นจี้เบิกตากว้าง
“นางรับปากว่าขอเพียงคลี่คลายวิกฤตการณ์ในเมืองหลินอันแล้ว ข้าถอนหมั้นกับจวนเสนาบดีฝ่ายขวาได้ นางก็จะยอมรับการสู่ขอจากข้า มาเป็นชายาของข้า เป็นฮองเฮาในอนาคต” ฉินอวี้กล่าว “ส่วนเพราะเหตุใด สองวันนี้เราอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ความรู้สึกเพิ่มพูนมากขึ้น อีกอย่างในใจนางมีบ้านเมือง ข้ามีฐานะเป็นรัชทายาท ด้วยเหตุนี้แล้วเมื่อมีเจตนาตรงกัน มีใจเพื่อบ้านเมืองและการปกครอง ทำให้หนานฉินเจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง ทำให้ราชวงศ์กับตระกูลเซี่ยยุติความบางหมาง ฉินเซี่ยปรองดองกัน”
เซี่ยอวิ๋นจี้ตกตะลึง มองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ
“พี่อวิ๋นจี้ดูไม่เชื่อ” ฉินอวี้ยิ้มบาง
เซี่ยอวิ๋นจี้ยืนนิ่งพักหนึ่ง ก่อนหย่อนกายนั่งเชื่องช้า แค่นหัวเราะขึ้น “เจ้าสู่ขอนาง สิ่งที่เหนี่ยวรั้งพวกเจ้าคือหัวใจดวงเดียวกันหรือความปรองดองของฉินเซี่ยกันแน่”
“แล้วต่างกันอย่างไร” ฉินอวี้ยิ้มกล่าว “เมื่อก่อน นางรังเกียจข้า ขยะแขยงข้า ทั้งหมดเพียงเพราะตระกูลฉินกับตระกูลเซี่ยไม่ลงรอยกัน ตระกูลฉินวางแผนการเบื้องหน้า แต่ตระกูลเซี่ยก็ไม่เคยยอมอยู่ข้างหลัง หลายปีที่ผ่านมา ตระกูลฉินเหนื่อย ตระกูลเซี่ยก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน ข้ามีฐานะเป็นผู้สืบทอดในราชวงศ์ เป็นเสาหลักของตระกูลฉิน ฟางหวาเป็นบุตรีแห่งจวนจงหย่งโหว นางรักและอยากปกป้องท่านปู่ พี่ชาย และคนในครอบครัว ไม่อยากให้ตระกูลเซี่ยต้องสลายกลายเป็นเม็ดทรายไปตามกาลเวลา เราจึงเกี่ยวดองเป็นสามีภรรยากัน มีหรือจะทำมิได้”
เซี่ยอวิ๋นจี้กลอกตา
“พี่อวิ๋นจี้เป็นโอรสของฮ่องเต้เป่ยฉีกับฮองเฮา เดือนก่อนข้าได้รับข่าวว่า เจ้ากลับไปยังเมืองหลวงเป่ยฉีและทำการยืนยันฐานะตนเองที่กำแพงวังหลวง เนื่องด้วยเจ้ามีหน้าตาละม้ายคล้ายกับฮ่องเต้เป่ยฉีกับฮองเฮาทุกส่วน ดังนั้นขุนนางเป่ยฉีจึงให้การยอมรับฐานะของเจ้าอย่างดีเช่นกัน อีกทั้งถ้อยคำน่าคับแค้นใจว่าตำหนักกลางไร้โอรสธิดาที่มีมาตลอดหลายปีก็จางหายไปด้วย หลายปีมานี้ฮองเฮาอบรมสร้างอำนาจของตนเองในเป่ยฉี ฮ่องเต้และฮองเฮาเป่ยฉีมีใจรวมเป็นหนึ่งหลายปี จนถึงบัดนี้ยังไม่มีการแต่งตั้งรัชทายาทแห่งเป่ยฉี หากเจ้าเป็นรัชทายาทคงได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้เป่ยฉี ฮองเฮา และขุนนางส่วนใหญ่ในราชสำนักง่ายดายอย่างยิ่ง ตระกูลอวี้แม้เดือดดาลนึกก้าวก่าย แต่ก็คงมิได้ลำบากนัก” ฉินอวี้มองเขา
“ข้าจึงไม่อยากเป็นรัชทายาทอันใดนั่น ข้าแค่อยากดื่มด่ำความสุข ชมโฉมสะคราญ ทัศนาจรทั่วใต้หล้า มีอิสระไร้กฎเกณฑ์ ใครจะอยากเอาแต่อ่านฎีกาบ้าๆ นั่นทุกวันกัน” เซี่ยอวิ๋นจี้เอ่ยขัด
“ต่างคนต่างปณิธาน” ฉินอวี้หลุดยิ้ม
เซี่ยอวิ๋นจี้แค่นเสียงในลำคอแผ่วเบา
“แม้พี่อวิ๋นจี้ไม่ต้องการตำแหน่งนั้น ทว่าตระกูลอวี้กับฉีเหยียนชิงคงไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ ที่ผ่านมาเป่ยฉีมีองค์ชายเพียงคนเดียว ในสายตาของคนตระกูลอวี้กับเขา ราชบัลลังก์ต้องเป็นของเขาเท่านั้น แต่ตอนนี้จู่ๆ เจ้าก็โผล่ออกมา ทั้งยังเป็นทายาทแท้ๆ ของฮ่องเต้กับฮองเฮา อีกอย่างเจ้าก็กลับไปยืนยันฐานะตนเองที่เป่ยฉีแล้ว ดังนั้นถึงแม้เจ้าอยากมีอิสระ แต่เกรงว่าคงทำมิได้เช่นกัน” ฉินอวี้กล่าว
“มิได้แล้วอย่างไร ภายภาคหน้าอย่างมากข้าก็แค่ติดตามน้องฟางหวา นางอยู่ที่ไหนข้าก็อยู่ที่นั่น ด้วยความสามารถของนาง ใครจะกล้าทำอันใดข้า” เซี่ยอวิ๋นจี้กล่าวอย่างเกียจคร้าน
“ก็จริง ด้วยความสามารถของนาง ย่อมไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้” ฉินอวี้ยิ้มขำ
“อย่าพูดจาเหลวไหลเลย จนกว่าเจ้าจะได้แต่งกับนางกลายมาเป็นน้องเขยของข้าจริงๆ ค่อยว่ากัน แม้ข้าไม่ชอบท่าทางไม่เอาจริงเอาจัง อวดดีไม่สนใจใครของฉินเจิง แต่ข้าก็คร้านจะมองใบหน้าจิ้งจอกปลิ้นปล้อนที่แสร้งอ่อนโยนละมุนละม่อมของเจ้าเช่นนี้ หากเจ้ามิได้นำสิ่งใดมาขู่บังคับนาง หรือพวกเจ้ามิได้มีข้อตกลงร่วมกัน ทำให้นางออกเรือนกับเจ้า ถึงตีจนตายข้าก็ไม่เชื่อ ฟางหวามักทำทุกสิ่งโดยมีขอบเขต สิ่งใดทำได้ สิ่งใดทำมิได้ มีขอบเขตในใจเสมอมา” เซี่ยอวิ๋นจี้โบกมือปัด
ฉินอวี้อมยิ้มแล้วพยักหน้า มิได้โต้กลับเช่นกัน “ใช่แล้ว นางมิใช่สตรีธรรมดา ดังนั้นเรื่องความรักดั่งสายลมดุจเมฆา” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “อีกอย่าง สิ่งที่ข้าปรารถนามีไม่มาก นางให้ได้แค่เล็กน้อยก็พอใจแล้ว”
เซี่ยอวิ๋นจี้หมดคำจะกล่าว