EG บทที่ 863****จบเห่แน่ถ้าไม่ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี
ล้มละลาย?!
ผู้อำนวยการฝางตกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้จากเฝิงหยู่
เฝิงหยู่พูดเรื่องอะไรกัน? เพจเจอร์จะล้าสมัยภายใน 5 ปีหลังจากนี้? มันจะเป็นไปได้ยังไง?
ตอนนี้อุตสาหกรรมเพจเจอร์กำลังขยายตัว เมื่อปีที่แล้วมีคนลงทะเบียนเปิดใช้งานใหม่มากกว่า 16 ล้านคนในประเทศจีนและมีการจัดตั้งศูนย์เพจเจอร์ทั่วประเทศจีน เป็นไปได้ยังไงที่เพจเจอร์จะล้าสมัยใน 5 ปี?
“เฝิงหยู่ คุณกำลังจะบอกว่าโทรศัพท์มือถือจะเข้ามาแทนที่เพจเจอร์งั้นหรอ?” ผู้อำนวยการฝางถามขณะที่เห็นเฝิงหยู่มองไปที่โทรศัพท์มือถือของเขาบนโต๊ะ
“นี่คือเรื่องจริงครับ ทำไมคนถึงใช้เพจเจอร์? ก็เพื่อให้สามารถติดต่อกันได้เวลาอยู่ข้างนอกและโทรศัพท์มือถือก็สามารถแก้ปัญหานี้ได้ คุณคิดว่าค่าโทรศัพท์แพงใช่มั้ย? แต่ค่าส่ง SMS ถูกมากและคนจะหันมาส่ง SMS มากกว่า แทนที่จะต้องโทรไปที่ศูนย์เพจเจอร์เพื่อส่งข้อความ”
“ไม่จริงอ่ะ…ราคาเพจเจอร์ลดลงเหลือต่ำกว่า 2,000 หยวนและราคาโทรศัพท์มือถือที่ถูกที่สุดในตลาดก็อยู่ที่ประมาณ 6,000 หยวน”
“ผู้อำนวยการฝางครับ ตอนที่เพจเจอร์ราคา 4,000 ถึง 5,000 เงินเดือนเฉลี่ยต่อปีของพวกเราอยู่ที่ประมาณ 1,000 หยวน นั่นหมายความว่าพนักงานธรรมดาคนหนึ่งต้องเก็บออมเงินเดือนทั้งหมดเป็นเวลา 4 ปีเพื่อซื้อเพจเจอร์ แต่ทำไมตอนนี้คนจำนวนมากถึงสามารถซื้อเพจเจอร์ได้? เพราะราคาของเพจเจอร์ลดลงหรือเงินเดือนเฉลี่ยของคนเพิ่มขึ้น? เศรษฐกิจของประเทศเราดีขึ้นอย่างรวดเร็วและเรามีครอบครัวที่มีรายได้ปานกลางมากขึ้น หากมีอุปกรณ์โทรคมนาคมที่ดีกว่านี้ แล้วพวกเขาจะไม่ใช้หรอ? อีกอย่าง คุณจะรู้ได้ยังไงว่าราคาโทรศัพท์มือถือจะไม่ต่ำกว่า 2,000 หยวนเหมือนเพจเจอร์ในอนาคต?”
“อะไรนะ? ราคาโทรศัพท์มือถือจะต่ำกว่า 2,000 หยวนงั้นหรอ?!” ผู้อำนวยการฝางเบิกตาโต ต้นทุนการผลิตโทรศัพท์มือถือตั้งเท่าไหร่? ผลตอบแทนจากโทรศัพท์มือถือนั้นสูงมาก!
“ผมกำลังพูดถึงอนาคต ดูแค่เพจเจอร์เป็นตัวอย่าง ตอนที่เราพัฒนาเพจเจอร์ ต้นทุนการผลิตอยู่ที่ประมาณ 2,000 ถึง 3,000 หยวน แต่ตอนนี้ต้นทุนการผลิตไม่ถึง 1,000 หยวน เฉพาะต้นทุนการผลิตของสินค้าล่าสุดของเรา เพจเจอร์รุ่นตัวอักษรจีนความเร็วสูง คือมากกว่า 2,000 หยวน ต้นทุนการผลิตเพจเจอร์จะลดลงได้อีกมากภายใน 2 ถึง 3 ปี แล้วทำไมต้นทุนการผลิตของโทรศัพท์มือถือจะลดลงบ้างไม่ได้ล่ะครับ?”
“แต่เมื่อไม่กี่วันมานี้ รัฐมนตรีจ้าวจากของกระทรวงโทรคมนาคมเพิ่งรายงานว่าผู้ใช้เพจเจอร์ในประเทศของเราจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 15 ล้านคนหรือมากกว่านั้นต่อปีในอีกสองปีข้างหน้า”
“ผมเชื่อนะครับว่าจะมีผู้ลงทะเบียนใหม่สมัครใช้งานเป็นจำนวนมาก แต่อย่าลืมนึกถึงคนที่ยกเลิกใช้บริการเพจเจอร์ด้วยนะครับ” เฝิงหยู่ยิ้มและมองไปที่ผู้อำนวยการฝาง
ผู้อำนวยการฝางตะลึงและจำได้ว่าเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่ยกเลิกใช้บริการเพจเจอร์เหมือนกัน ตัวเลขที่กระทรวงโทรคมนาคมรายงานไม่ถูกต้อง ซึ่งก็เหมือนกับการรายงานเกี่ยวกับจำนวนประชากร อาจมีทารกเกิดใหม่จำนวนมาก แต่ก็อาจมีผู้เสียชีวิตมากขึ้นเช่นกัน
ผู้ที่ยกเลิกใช้บริการเพจเจอร์น่าจะเปลี่ยนมาใช้โทรศัพท์มือถือแทน นั่นหมายความว่าอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือมีศักยภาพสูงกว่าเพจเจอร์!
ใช่แล้ว รัฐบาลจะต้องเลิกให้ใบอนุญาตการเข้าถึงเครือข่ายของเพจเจอร์ และสนับสนุนบริษัทอื่นให้ได้รับสิทธิ์การเข้าถึงเครือข่ายของโทรศัพท์มือถือแทน หากผู้ใช้เพจเจอร์ส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้โทรศัพท์มือถือ ก็จะกลายเป็นตลาดที่ใหญ่มาก เฝิงหยู่ไม่สามารถเอาส่วนแบ่งทั้งหมดไปได้หรอก และรัฐบาลก็ไม่ควรปล่อยให้บริษัทต่างชาติพวกนั้นมาฉวยโอกาสรับประโยชน์จากเรื่องนี้ด้วย
“เป็นอะไรไปครับ? คงไม่ใช่ว่ากำลังคิดที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือหรอกนะครับ?” เฝิงหยู่หัวเราะและถาม
“ถูกต้อง การผลิตของบริษัทของคุณไม่น่าจะสูงพอที่จะตอบสนองความต้องการในประเทศของเราได้หรอก จริงมั้ย?” ผู้อำนวยการฝางพูดอย่างไร้ยางอาย เขากำลังทำสิ่งนี้เพื่อประเทศ ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตัวของเขา
“ก็ถูกครับ คงจะดีถ้ามีบริษัทโทรศัพท์มือถือมากขึ้น เราจะได้เปิดตลาดเร็วขึ้นด้วย แต่ถ้าบริษัทเพจเจอร์เปลี่ยนมาผลิตโทรศัพท์มือถือ พวกเขาอาจทำเงินได้บ้างในช่วงแรก แต่หลังจากนั้น บริษัทจะต้องปิดตัวลง” เฝิงหยู่ตอบ
ผู้อำนวยการฝางไม่พอใจที่จะได้ยินแบบนี้ “คุณกำลังบอกว่าบริษัทของคุณเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดได้และคนอื่นๆ ทำไม่ได้งั้นหรอ? ผมยอมรับว่าบริษัทของคุณเจ๋งมาก แต่คุณก็ไม่ควรดูถูกคนอื่น”
บริษัทพวกนั้นล้วนเป็นรัฐวิสาหกิจและได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่น พวกเขาจะล้มเหลวได้อย่างไร? ปิดตัวลงหลังจากระยะเริ่มต้นเนี่ยนะ? ไม่มีทาง!
“ผู้อำนวยการฝางครับ คุณสังเกตมั้ยครับว่าบริษัททั้งหมดของผมมีอะไรที่เหมือนกัน?” เฝิงหยู่ถาม
“เหมือนกันเรื่องอะไร? ผู้บริหารของแบรนด์หรอ?” ผู้อำนวยการฝางเดา
“ถูกต้องครับ แต่การสร้างแบรนด์ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด บริษัทผมให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีของเราอยู่เสมอ นักวิจัยและวิศวกรของเราได้รับค่าตอบแทนมากกว่าผู้บริหารระดับกลาง คุณน่าจะยังจำสิ่งที่ ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ พูดเอาไว้ได้ เทคโนโลยีคือผลผลิตที่ดีที่สุด! บริษัทพวกที่ชอบทำตามกระแสสนใจเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีกันด้วยหรอ?” เฝิงหยู่ถาม
“ทำไมจะไม่สนล่ะ? พวกนั้นก็จ้างผู้เชี่ยวชาญมาพัฒนาเทคโนโลยีเหมือนกัน” ผู้อำนวยการฝางเถียงกลับ คุณคิดว่าเฉพาะบริษัทคุณเท่านั้นที่มีผู้เชี่ยวชาญหรือไง?
“ผมรู้ว่าพวกเขามีผู้เชี่ยวชาญและผู้เชี่ยวชาญบางคนมีเก่งกว่านักวิจัยของเราซะอีก แต่บริษัทพวกนั้นมีผู้เชี่ยวชาญกี่คนหรอครับ? ทีมพัฒนาของพวกเขามีกันกี่คน? แค่ศาสตราจารย์และนักศึกษาของเขาสองสามคนหรอ? คุณรู้หรือเปล่าว่าไอว่า อิเล็กทรอนิกส์ มีนักวิจัยและวิศวกรกี่คน? แค่ในประเทศจีนเพียงประเทศเดียวมีเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคมากกว่า 100 คน แถมเรายังมีเจ้าหน้าที่จากอดีตสหภาพโซเวียตและญี่ปุ่นด้วย ตอนที่เราพัฒนาโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ เรายังคงขอความช่วยเหลือจากบริษัทอื่นๆ ของผมด้วยและมีพนักงานประมาณสองสามร้อยคนในแผนกวิจัยและพัฒนาของบริษัทพวกนั้น นักวิจัยและวิศวกรมากกว่า 1,000 คนมีส่วนร่วมในการพัฒนาโทรศัพท์มือถือนี้”
“ก็แค่โทรศัพท์มือถือ ไปซื้อจากตลาดมาเครื่องนึงแล้วเอามาชำแหละทำวิศวกรรมย้อนกลับก็ได้ละ ทำไมต้องใช้คนเยอะแยะอะไรขนาดนั้น?” ผู้อำนวยการฝางไม่เชื่อในสิ่งที่เฝิงหยู่พูด
ก็แค่อุปกรณ์ขนาดเล็กและไม่น่าจะต้องใช้กำลังคนมากมายในการพัฒนา เฝิงหยู่จำเป็นต้องโกหก
เฝิงหยู่พูดโกหก แต่สิ่งที่เขาพูดก็ไม่ผิดเช่นกัน บริษัทเฟิงหยู่ อิเล็กทรอนิกส์ บริษัทไอว่า อิเล็กทรอนิกส์ บริษัทเฟิงหยู่อุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน และบริษัท ไอว่า อุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน ฯลฯ มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนามากกว่า 2,000 คน แต่มีเพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้นที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ พวกเขาส่วนใหญ่กำลังปรับปรุงเทคโนโลยีที่มีอยู่เพื่อให้สามารถแข่งขันได้และเหนือกว่าบริษัทในต่างประเทศ
“บริษัทพวกนั้นก็คิดเหมือนคุณนั่นแหลครับ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมบริษัทพวกนั้นจึงได้แต่ของเหลือเดน บริษัทผมจะได้กินแต่เนื้อสัตว์ ส่วนพวกนั้นก็ได้กินแค่น้ำซุปเท่านั้น เมื่อเราเปลี่ยนไปใช้เนื้อสัตว์อื่นแล้ว พวกนั้นก็ยังคงกินน้ำซุปจากชามเดิมอยู่เลย แม้ว่าน้ำซุปจะเริ่มเสียแล้ว แต่ก็ยังต้องกินต่อไปเพราะไม่มีอย่างอื่นให้กิน ผมเลี้ยงหมูและขายหมูเพื่อหาเงิน เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมอยากกินหมู ผมก็สามารถเชือดหมูเอามากินเองได้เลย บริษัทพวกนั้นก็ได้แต่รอของเหลือจากผมเท่านั้น”
เมื่อเห็นผู้อำนวยการฝางกำลังตั้งท่าจะพูด เฝิงหยู่ก็โบกมือและพูดต่อ “เคยมีคนพูดไว้ว่าเมื่อทำธุรกิจ “ให้ครอบครองในสิ่งที่คนอื่นไม่มี ถ้าคนอื่นมี เราก็ต้องมีสิ่งที่ดีกว่า ถ้าคนอื่นดีกว่า เราก็ต้องเปลี่ยน” บริษัท พกนั้นบรรลุเป้าหมายนี้แล้วหรือยัง? ถ้าพวกนั้นไม่ใช่บริษัทจีน ผมจะทำสงครามราคาและทำให้พวกนั้นกระอักเลือดไปเลย บริษัทพวกนั้นไม่มีเทคโนโลยีหรือเงินทุนเลย สิ่งที่พวกเขาทำเป็นอยู่อย่างเดียวรู้คือการใช้พนักงานขายเพื่อผลักดันสินค้าและยอดขายของตัวเอง คุณคิดว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จอะไรบ้าง? ผมไม่สามารถห้ามพวกเขาได้ แต่บริษัทในต่างประเทศพวกนั้นล่ะ? ถ้าบริษัทต่างชาติตัดสินใจที่จะยับยั้งพวกนั้น คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกนั้น?”
ทำไมเฝิงหยู่ถึงยอมให้บริษัทพวกนี้เข้ามาในตลาด? ก็เพราะว่าตลาดมีความสำคัญและเขาไม่จำเป็นต้องยับยั้งใครไม่ให้ขายสินค้าของเขา ในขณะเดียวกันเขายังได้ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้เพื่อเพิ่มสถานะของสินค้า แน่นอนว่าเขาต้องการสินค้าของบริษัทพวกนี้เพื่อเอามาลดผลกระทบจากสินค้านำเข้า
แต่เฝิงหยู่ไม่สามารถบอกผู้อำนวยการฝางเรื่องนี้ได้ เขาต้องทำตัวแสดงให้เห็นว่าเขามีน้ำใจต่อบริษัทพวกนั้นมากแค่ไหน!
ผู้อำนวยการฝางยังคงเงียบ เฝิงหยู่เป็นฝ่ายยอมบริษัทพวกนั้นมาโดยตลอด ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี ธุรกิจของบริษัทพวกนั้นดูเหมือนจะไปได้สวยในตอนนี้ แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจอมปลอมทั้งนั้น