ตอนที่ 581 ผู้ใช้ค่ายกล

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ในฐานะผู้พิทักษ์ของซากปรักหักพัง แม้ว่าอสูรตัวน้อยจะยอมรับในตัวของฉินอวี้โม่และเหล่าสหาย ทว่าพวกนางก็ยังต้องผ่านบททดสอบของซากปรักหักพังให้ได้เสียก่อน

ภายในซากปรักหักพังแห่งนี้เต็มไปด้วยกลไกกับดักทั้งเล็กใหญ่หลากหลายชนิด มันหวังว่าฉินอวี้โม่และทุกคนจะสามารถไขปริศนาของกลไกเหล่านั้นได้ เมื่อถึงตอนนั้น มันจะได้มั่นใจว่าพวกนางคู่ควรแก่การเป็นผู้สืบทอดสมบัติล้ำค่าของซากปรักหักพังแห่งนี้อย่างแท้จริง หากเจ้าของซากปรักหักพังมองลงมาจากบนสวรรค์ชั้นฟ้า คนผู้นั้นจะได้โล่งใจและวางใจได้

ฉินอวี้โม่และทุกคนมีไหวพริบชาญฉลาดไม่น้อย แน่นอนว่าพวกนางคาดเดาความคิดและจุดประสงค์ของอสูรน้อยได้ ทว่าทุกคนไม่ได้คิดมากจนเกินไปและเพียงแต่ก้าวลงไปอย่างระมัดระวังมากขึ้น

กล่าวกันว่าศาสตร์ที่หายสาบสูญไปนานอย่างศาสตร์การวางค่ายกลกับดักเป็นศาสตร์ที่สามารถเทียบได้กับศาสตร์การวางข่ายอาคม นางและคนอื่น ๆ ก็ต้องการทดสอบเช่นกันว่าศาสตร์ด้านนี้จะทรงพลังเพียงใด

อวิ๋นซื่อเทียนซึ่งเดินอยู่ข้างหน้าสุดของกลุ่มเป็นผู้ที่ตื่นตัวมากที่สุดขณะแผ่พลังวิญญาณออกไปรอบตัวเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมรอบ ๆ

หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่จับมืออยู่เคียงข้างกันและปรับเปลี่ยนตำแหน่งของคนในกลุ่มใหม่โดยเถียนเข่อเอ๋อร์ซึ่งเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มนี้ได้ถูกสลับไปอยู่ในจุดที่ปลอดภัยที่สุดซึ่งก็คือตรงกลางระหว่างทุกคน

การกระจายตำแหน่งตามความเหมาะสมเช่นนี้ หากเกิดภยันตรายใด ๆ ขึ้นมา พวกเขาก็จะสามารถหลีกเลี่ยงได้ทันเวลา

หลังจากเดินลงไปตามทางบันไดทอดยาวเป็นระยะหนึ่ง ทุกคนก็รู้สึกได้ว่าน่าจะอยู่ต่ำกว่าระดับพื้นดินอย่างน้อยประมาณสามจั้งแล้ว

ฟิ้ววว !

ทว่าจู่ ๆ ก็เกิดความเคลื่อนไหวบางอย่างผ่านอากาศอย่างฉับพลันและรูโหว่ขนาดเล็กจำนวนมากปรากฏขึ้นในกำแพงทั้งสองฝั่งอย่างกะทันหัน จากนั้นก็มีเข็มแหลมขนาดเล็กเท่าขนวัวพุ่งออกมาจากรูเล็ก ๆ เหล่านั้นและพุ่งตรงเข้าหากลุ่มคนทั้งห้าอย่างรวดเร็ว

หากถูกทิ่มแทงโดยเข็มเล็กแหลมนับพันนับหมื่นเล่มเหล่านี้ มันก็เพียงพอที่จะทำให้บาดเจ็บสาหัสจนปางตายได้

ทั้งอวิ๋นซื่อเทียนและหานโม่ฉือเป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตนภาเซียนและมีพลังวิญญาณที่ทรงพลังอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ได้ยินเสียงบางอย่างพุ่งผ่านอากาศ ม่านป้องกันก็ปรากฏขึ้นทั้งสองข้างทางของบันไดอย่างทันท่วงทีและห่อหุ้มคุ้มกันทุกคนไว้ภายใน

กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง…

เข็มเล็กเหล่านั้นพุ่งกระทบม่านป้องกันจนเกิดเสียงดังอย่างต่อเนื่อง และด้วยจำนวนที่มากมายนับไม่ถ้วนของมัน แม้แต่ม่านป้องกันที่สร้างขึ้นโดยหานโม่ฉือและอวิ๋นซื่อเทียนก็ยังอ่อนกำลังลงเรื่อย ๆ และอาจพังทลายได้ในไม่ช้า

ทว่าเข็มแหลมจำนวนมากยังไม่หยุดเพียงแค่นั้นและยังคงโจมตีต่อไปอย่างต่อเนื่องราวกับมันไม่มีวันหมดสิ้น

เมื่อเห็นเข็มแหลมจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยังคงพุ่งตรงเข้ามา เถียนเข่อเอ๋อร์และเถียนหมิงก็มีใบหน้าถอดสีเล็กน้อย หากมิใช่เพราะอีกสามคน ร่างกายของพวกนางก็คงถูกเจาะจนกลายเป็นตะแกรงรูพรุนเสียแล้ว

“จิ๊จิ๊ ! ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ หากพลังมายาไม่แกร่งกล้ามากพอ เมื่อใดที่ม่านป้องกันนี้พังทลายลง คาดการณ์ได้ว่าเราคงเผชิญกับจุดจบที่ไม่ดีนัก”

อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความตึงเครียดหรือกังวลใด ๆ อย่างไรก็ตาม นางสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับสิ่งนี้อยู่ไม่น้อยและจู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว

“อวี้โม่ เจ้าคิดว่าสิ่งนี้ดูเหมือนอาวุธลับที่เรียกว่าพายุเข็มดอกสาลี่ในชีวิตก่อนรึไม่”

นางหันไปกล่าวกับฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ และหมายมั่นตั้งใจไว้ว่าหลังออกไปจากที่นี่ นางจะศึกษาการประดิษฐ์อาวุธดังกล่าวอย่างแน่นอน

ฉินอวี้โม่เพียงหยิบเกราะป้องกันระดับวิจิตรขั้นพิภพซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานการหลอมของตนออกมาและโยนออกไปข้างหน้า เมื่อเห็นว่าเกราะดังกล่าวถูกเจาะทะลุจนเต็มไปด้วยรูเข็มเล็ก ๆ ในชั่วพริบตา นางก็คล้อยตามคำพูดของอวิ๋นซื่อเทียน

“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ หากออกไปแล้วท่านศึกษามันได้สำเร็จ อย่าลืมส่งมาให้ข้าด้วยล่ะ”

นางกล่าวตอบขณะแผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจความเปลี่ยนแปลงรอบตัว

ในเมื่อเข็มเล็กแหลมจำนวนมากเหล่านี้ปรากฏขึ้นมา นั่นก็หมายความว่าพวกนางน่าจะสัมผัสโดนตัวปุ่มเปิดกลไกบางอย่าง ตราบใดที่ปิดมันได้ กลไกแรกนี้ก็จะไม่เป็นอันตรายอีกต่อไป

พลังวิญญาณทรงพลังของนางก็แผ่ออกไปสำรวจรอบตัวอย่างละเอียดทว่ายังไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด เมื่อเป็นเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็ถอนพลังวิญญาณกลับคืนมาและใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว

หากปราศจากตัวปุ่มเปิดปิดของกลไก นั่นก็หมายความว่าค่ายกลนี้สามารถทำงานได้เองโดยที่ปราศจากปุ่มเปิดปิด ทว่านั่นถือเป็นสิ่งที่ประหลาดยิ่งนัก

ยิ่งไปกว่านั้น รูเข็มเหล่านั้นก็ไม่ได้มีเพียงด้านทั้งสองฝั่งของบันไดเท่านั้น ทว่าไม่ว่าจะข้างบนและล่างรอบตัวก็ล้วนมีเข็มเล็กแหลมจำนวนมหาศาลที่พุ่งโจมตีพวกนางอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว หากมิใช่เพราะม่านป้องกันที่ครอบคลุมของหานโม่ฉือและอวิ๋นซื่อเทียน นางและคนอื่น ๆ ก็คงไม่สามารถยืนอยู่อย่างไร้รอยขีดข่วนเช่นนี้ได้

ฉินอวี้โม่กวาดสายตามองทุกคนและจู่ ๆ นางก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา

“ทุกคนฟังข้า ข้าจะนับหนึ่งถึงสามและทุกคนต้องใช้พลังมายาเพื่อลอยตัวขึ้นจากพื้น จงจำไว้ว่าอย่าลอยตัวสูงเกินไปและอย่าออกจากขอบเขตที่ม่านป้องกันจะปกป้องเราได้”

ฉินอวี้โม่ต้องการทดสอบว่าข้อสันนิษฐานของตนถูกต้องหรือไม่

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็พยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงกันทันที พวกเขาไม่เข้าใจกลไกเหล่านี้และทำได้เพียงแค่เชื่อฟังคำพูดของฉินอวี้โม่

“หนึ่ง !”

“สอง !”

“สาม !”

 ……

ทันทีที่กล่าวจบ คนทั้งห้าก็ลอยตัวขึ้นอย่างช้า ๆ และพยุงตัวกลางอากาศ

ม่านป้องกันที่หานโม่ฉือและอวิ๋นซื่อเทียนสร้างขึ้นมายังไม่หายไปและมันยังปกป้องคุ้มกันทุกคนจากเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้อยู่

แกร๊ก !

เสียงประหลาดดังขึ้นและเข็มเหล่านั้นราวกับสูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะ อย่างไรก็ตาม พวกมันไม่ร่วงหล่นลงพื้นในทันทีทว่าดูเหมือนมีดวงตามองเห็นและย้อนกลับเข้าไปที่กำแพงอีกครั้ง

“ช่างเป็นกลไกที่ประหลาดยิ่งนัก !”

แม้อวิ๋นซื่อเทียนมีความรู้กว้างขวางรอบด้าน นางก็อดถอนหายใจให้กับความชาญฉลาดล้ำเลิศของกลไกนี้ไม่ได้ กลไกนี้ยอดเยี่ยมอย่างที่สุด นับประสาอะไรกับในดินแดนนี้ แม้แต่ในชีวิตก่อนนางก็ไม่เคยพบเห็นกลไกที่ล้ำเลิศเช่นนี้มาก่อน

ตู้มมม !

ฉินอวี้โม่หยิบแร่ก้อนหนึ่งขึ้นมาและโยนมันตรงไปใต้เท้าของตน

และนางก็พบว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดเกิดขึ้น เข็มเล็กแหลมเหล่านั้นไม่ปรากฏให้เห็นแม้แต่เล่มเดียว

ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อครู่นางเพียงคิดว่าขั้นบันไดใต้ฝ่าเท้าของตนอาจจะเป็นตัวกระตุ้นการทำงานของกลไก อย่างไรก็ตาม เมื่อโยนแร่ก้อนนั้นลงไปกลับไม่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหรือปฏิกิริยาใด ๆ

หลังจากไตร่ตรองดูครู่หนึ่ง นางก็ลดระดับลงไปและลองใช้ปลายเท้าสะกิดไปที่พื้นอย่างรวดเร็ว

และแล้วเสียงวัตถุพุ่งผ่านลมก็ดังขึ้นขณะกลไกเริ่มทำงานอีกครา

“ข้าเข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าขั้นบันไดนี้จะสัมผัสกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตได้ มีเพียงสิ่งมีชีวิตเท่านั้นที่จะกระตุ้นให้กลไกทำงานโดยอัตโนมัติ ทว่าหากเป็นวัตถุไร้ชีวิต กลไกจะไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย”

เมื่อเข้าใจกลไกกับดักนี้อย่างคร่าว ๆ ฉินอวี้โม่ก็ยกเท้าขึ้นมาและอยู่ภายในม่านป้องกันเช่นเดิม

เมื่อสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตบนขั้นบันไดหายไป เข็มเหล่านั้นก็ไม่ได้โจมตีอีกต่อไปและกลับเข้าสู่กำแพงอย่างรวดเร็วราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

“ถ้าเช่นนั้นเราจะทำอย่างไรต่อไป เราจะลอยตัวอยู่เช่นนี้ไปตลอดไม่ได้ !”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของฉินอวี้โม่และเหลือบมองบันไดทอดยาวที่ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด เถียนเข่อเอ๋อร์ก็ถึงกับกลืนน้ำลายและกล่าวด้วยความสงสัย

“โอ้ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ ฮ่า ๆ ๆ ถ้ำแห่งนี้ประหลาดพิกลจนเกินไป การฟื้นฟูพลังมายาในร่างของเราจะล่าช้ากว่าโลกภายนอกมากนัก หากเราใช้พลังเพื่อลอยตัวลงไปเรื่อย ๆ คาดว่าเราคงหมดพลังก่อนไปถึงสุดทาง”

ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ และกล่าวอธิบาย แน่นอนว่าพวกนางจะเดินทางต่อไปข้างหน้าในสภาวะเช่นนี้ไม่ได้ แม้ว่านางมีคฤหาสน์เฟิงหัวและทุกคนสามารถเข้าไปในนั้นเพื่อขับเคลื่อนลงต่อไปข้างล่างได้ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อซากปรักหักพังแห่งนี้เป็นสมบัติของผู้ใช้ค่ายกล นางก็อยากรู้ว่าข้างล่างจะมีกลไกประเภทใดรออยู่ เพราะเหตุนั้น ความคิดที่จะใช้คฤหาสน์เฟิงหัวจึงถูกปัดทิ้งไปโดยปริยาย

“ค่อย ๆ ลงไปอย่างช้า ๆ กันเถอะ กลไกนี้คงไม่มีอยู่ทั่วทุกมุมหรอก ตราบใดที่เราลงไปได้ระยะหนึ่ง มันก็คงจะไม่มีปัญหา”

อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวกับทุกคน นางไม่เชื่อว่าที่นี่จะมีกลไกอยู่ทั่วทุกมุมทุกพื้นที่ตั้งแต่ข้างบนนี้ไปจนถึงสุดทางข้างล่าง เพราะหากเป็นเช่นนั้น มันก็คงจะน่าสะพรึงกลัวจนเกินไป

กลุ่มคนทั้งห้าก็ลอยตัวลงไปอย่างช้า ๆ ดุจดั่งผีสางล่องลอย หานโม่ฉือและอวิ๋นซื่อเทียนยังคงรักษาระดับม่านป้องกันไว้เช่นเดิมส่งผลให้พลังของพวกเขาลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว

หลังจากมุ่งหน้าต่อไปอีกหลายสิบขั้น ฉินอวี้โม่ก็ทำการทดสอบเช่นเดิมอีกครั้งและไม่มีความผิดปกติใดเกิดขึ้นอีก พวกนางก็ทราบได้ทันทีว่าพวกนางผ่านกลไกแรกมาได้แล้ว

….

ในเวลานี้ ณ จุดสิ้นสุดของขั้นบันไดทอดยาวคือห้องโถงที่กว้างขวางแห่งหนึ่ง และภายในห้องโถงนั้นมีกระจกใหญ่บานหนึ่งซึ่งมีภาพของฉินอวี้โม่และอีกสี่คนปรากฏอยู่ แม้จะไม่ได้ยินเสียงออกมาจากกระจก ทว่าภาพการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นก็ปรากฏอย่างชัดเจน

และข้างหน้ากระจกนั้นก็เป็นเจ้าอสูรตัวน้อยที่กำลังนอนเล่นอย่างสบายอกสบายใจขณะมองดูการเคลื่อนไหวของทุกคน

“ฮ่า ๆ ๆ นึกอยู่แล้วเชียวว่าพ่อแม่ของเจ้าหนูทั้งสองนั่นต้องไม่ธรรมดาแน่”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และทุกคนผ่านกลไกแรกมาได้ อสูรน้อยก็อดหัวเราะชอบใจไม่ได้ มันทราบดีว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมิใช่คนธรรมดา ๆ และกลไกเหล่านี้ก็ทำอะไรพวกนางไม่ได้

ซากปรักหักพังนี้เป็นสมบัติที่ทิ้งไว้โดยผู้ใช้ค่ายกลที่เก่งกาจ หากต้องการครอบครองสมบัติและมรดกของที่แห่งนี้ ฉินอวี้โม่จะต้องไขปริศนาผ่านกลไกเหล่านั้นให้ได้ทั้งหมดโดยไม่ใช้วิธีการพิเศษใด ๆ

ยกตัวอย่างเช่นคฤหาสน์เฟิงหัวก็นับเป็นหนึ่งในวิธีการพิเศษเช่นกัน หากฉินอวี้โม่ตัดสินใจใช้มัน นางจะไม่ได้สมบัติที่นี่ไปครองอย่างแน่นอน

อสูรน้อยรู้สึกถูกชะตากับเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่เป็นอย่างยิ่ง มันเฝ้าคุ้มกันที่นี่มานานนับร้อยนับพันปี แน่นอนว่ามันต้องการออกไปท่องโลกกว้างข้างนอกอย่างสบายใจและหวังว่าจะมีบุคคลที่คู่ควรได้ครอบครองสมบัติเหล่านี้ไป เพราะเหตุนั้น มันจึงเอาใจช่วยให้ฉินอวี้โม่และสหายไขปริศนากลไกเหล่านี้ไปตลอดรอดฝั่งในขณะที่ตัวมันจะรออยู่ที่ปลายทาง

ทว่าในเวลานี้ ภาพในกระจกก็แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จากนั้นฉินอวี้โม่และทุกคนก็ตกอยู่ท่ามกลางกับดักกลไกอีกครั้ง

มันคือพื้นที่ขุ่นมัวที่เต็มไปด้วยหมอกพิษ ภายในพื้นที่ดังกล่าว คนทั้งห้าไม่สามารถมองเห็นกันและกันได้ ทว่าเจ้าอสูรน้อยที่มองผ่านกระจกนี้ก็สามารถมองเห็นคนเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน

หานโม่ฉือมองไม่เห็นฉินอวี้โม่เช่นกันทว่าเขายังไม่ปล่อยมือจากนางและจับไว้แน่นตลอดเวลา

“ทุกคนระวังด้วย นี่คือหมอกพิษ”

ท่ามกลางกลุ่มหมอกหนา ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วมุ่นและสัมผัสได้ถึงพิษในหมอกรอบตัวจึงเอ่ยเตือนทุกคน

ทุกคนพยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงก่อนปิดจมูกและปากของตนเพื่อป้องกันการสูดพิษเข้าในร่างกาย

เวลานี้พวกนางอยู่บนแท่นสูงบางอย่างซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่นักและมันปรากฏขึ้นบนขั้นบันไดอย่างกะทันหัน และทันทีที่ก้าวลงบนนั้น หมอกพิษและความมืดหม่นเหล่านี้ก็เข้าปกคลุมทันที

ทุกคนพยายามลอยตัวเหนือพื้นเช่นเดิมทว่ามันไม่เกิดผลใด ๆ แม้แต่น้อย หมอกพิษยังคงปกคลุมรอบด้านจนเริ่มรู้สึกอึดอัด

อย่างไรก็ตาม จอมยุทธ์ทั้งห้าไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่าม หมอกนี้ราวกับเกาะติดกับพวกเขาและไม่ยอมสลายหายไป แม้ใช้ไข่มุกราตรีหรือจุดไฟขึ้นมาก็ไม่สามารถส่องสว่างได้และยังคงมีเพียงความมืดสนิท

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พยายามไตร่ตรองศึกษามัน ทว่ายังไม่พบหนทางใด กลไกนี้ซับซ้อนและเหนือชั้นกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก มันครอบงำผู้คนเข้าไปในความมืดมิดและค่อย ๆ กัดกร่อนโดยหมอกพิษรอบด้าน หากไม่มีพลังวิญญาณที่แกร่งกล้ามากพอ คนผู้นั้นจะหมดสติในไม่ช้า

หลังจากไตร่ตรองเป็นเวลานานและไม่พบทางออก ทุกคนก็เริ่มกังวลขึ้นมา

.