บทที่ 1646 ผู้อมตะฟางเจิ้ง

Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน

บทที่ 1646 ผู้อมตะฟางเจิ้ง

 

ภาคกลาง

 

ท้องฟ้ามืดครึ้มไร้ลม

 

ฟางเจิ้งยืนอยู่บนยอดเขาและมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความประหม่าเล็กน้อยเมื่อนึกถึงภัยพิบัติของการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ

 

เมื่อตระหนักถึงอารมณ์ของตนเอง ฟางเจิ้งหัวเราะและคิด “เหตุใดข้าต้องประหม่า? นิกายกระเรียนอมตะควรเป็นฝ่ายประหม่าหรือกล่าวให้ถูกต้องมันควรเป็นวังสวรรค์ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา”

 

“ฉากหน้าอาจมีเพียงผู้อมตะระดับหกผู้เดียวที่ดูแลการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะของข้า แต่ในที่มืดต้องมีดวงตาหลายคู่กําลังมองข้าอยู่อย่างลับๆ มีคนเหล่านี้อยู่รอบๆ เหตุใดข้ายังต้องกังวล?”

 

แม้ฟางเจิ้งจะรู้เหตุผลที่วังสวรรค์สนับสนุนเขา แต่มันก็เป็นสิ่งยืนยันว่าเขายังมีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อคนเหล่านั้น

 

หากเป็นในอดีตเขาจะไม่ยอมตกเป็นตัวหมากเบี้ยเช่นนี้ ย้อนหลับไปที่ภูเขาชิงเหมา ฟางหยวนบอกเป็นนัยว่าเขาถูกลุงกับป้าใช้เป็นเครื่องมือในการแย่งชิงมรดก เรื่องนี้ทําให้ฟางเจิ้งโกรธมาก

 

แต่ตอนนี้ฟางเจิ้งไม่รู้สึกโกรธกับการตกเป็นเครื่องมืออีกต่อไป

 

สิบปีที่ผ่านมาฟางเจิ้งเผชิญหน้ากับสงครามที่โหดร้ายในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยามาต ลอดเพื่อสร้างเมล็ดพันธุ์อมตะ จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาผมดําไม่สนใจราคาที่ต้องจ่ายและทําให้เกิดสงครามที่รุนแรงในสามทวีป ฟางเจิ้งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

 

ฟางเจิ้งใช้ประโยชน์จากผู้คนรอบข้างด้วยอุบายและแผนการ การนองเลือดและสงคราม

 

เขาค่อยๆเข้าใจว่าบางครั้งการเป็นตัวหมากเบี้ยของบางคนและถูกใช้งานก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย อย่างน้อยที่สุดมันก็พิสูจน์ให้เห็นถึงคุณค่าของเขา หากคนผู้หนึ่งไม่มีค่าพอที่จะเป็นเครื่องมือ คนผู้นั้นก็จะตกอยู่ในอันตราย เขาจะถูกทําลายทิ้งเหมือนเครื่องมือที่ผิดพลาด

 

แม้ฟางเจิ้งจะเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับห้า แต่เขาก็มีประสบการณ์ในการถูกทอดทิ้งและทรยศ ในฐานะมนุษย์ที่อาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์ขน เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะถูกกีดกันและโดดเดี่ยว

 

“เราจะเริ่มเดี๋ยวนี้” เสียงของฟานซื่อหลิวดังขึ้นในหูของฟางเจิ้ง

 

ฟานซื่อหลิวเป็นผู้อมตะระดับหกที่ถูกส่งมาจากนิกายกระเรียนอมตะเพื่อสนับสนุนการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะของฟางเจ๋ง

 

ฟางเจิ้งพยักหน้าและสงบจิตใจลง

 

ทะเลวิญญาณนภาที่หนึ่งของเขาเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ แต่กําแพงคริสตัลกลับเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว คนผู้หนึ่งจะรู้สึกกังวลหากเห็นมัน รอยแตกร้าวมากมายเป็นปัญหาสําคัญสําหรับผู้ใช้วิญญาณ

 

แต่ฟางเจิ้งยังสงบ ความประหม่าของเขาหายไปแล้ว

 

ในความเป็นจริงระหว่างการต่อสู้ที่แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา เขาเคยใช้ทักษะต้องห้ามในสถานการณ์สิ้นหวัง แม้เขาจะรอดชีวิต แต่ทะเลวิญญาณของเขายังได้รับความเสียหายร้ายแรงและเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว พรสวรรค์นภาที่หนึ่งของเขาตกลงมาอยู่ในนภาที่สอง

 

หลังจากถูกนําตัวมาโดยฟงจิวเก้อ ภาคกลางช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเขาและทําให้พรสวรรค์ของเขากลับสู่นภาที่หนึ่งอีกครั้ง อย่างไรก็ตามรอยแตกร้าวบนกําแพงคริสตัลยังอยู่ ไม่ใช่ว่าวังสวรรค์ไม่สามารถรักษา แต่พวกเขาปล่อยมันไว้เพราะมันจะทําให้การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะของฟางเจิ้งง่ายขึ้น

 

ฟางเจิ้งตั้งใจมองทะเลวิญญาณของตน ครั้งหนึ่งเขาเคยภาคภูมิใจกับมัน แต่หลังจากผ่านประสบการณ์มากมาย เขาไม่สนใจเรื่องพรสวรรค์อีกต่อไป ตอนนี้ในสายตาของเขา รอยแตกร้าวบนกําแพงคริสตัลคือร่องรอยที่แสดงถึงความสําเร็จของเขา เขาได้รับมันมาจากการต่อสู้นองเลือดและสงครามที่โหดร้าย มันถือเป็นเกียรติของเขา

 

“ลาก่อน ทะเลวิญญาณของข้า” ฟางเจิ้งพึมพำ

 

ด้วยหนึ่งความคิด คลื่นน้ำพุ่งเข้าปะทะกําแพงคริสตัลที่อยู่รอบๆ

 

ในไม่ช้ารอยแตกร้าวก็ขยายใหญ่ขึ้นก่อนจะระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

 

ปราณสวรรค์พิภพปะทุขึ้น

 

ร่างของฟางเจิ้งถูกยกขึ้นสู่อากาศ

 

“เจตจํานงสวรรค์!” ฟานชื่อหลิวที่เฝ้ามองอยู่รู้สึกถึงเจตจํานงสวรรค์

 

ภัยพิบัติของฟางเจิ้งดึงดูดความสนใจของเจตจํานงสวรรค์ในระดับที่ผิดปกติ

 

ภัยพิบัติเริ่มก่อตัวขึ้น ปราณสวรรค์พิภพถูกเปลี่ยนเป็นปราณโลหิต เมฆดําบนท้องฟ้าถูกอาบย้อมด้วยแสงสีแดง

 

“ภัยพิบัติบนเส้นทางแห่งเลือด…” ดวงตาของฟานซื่อหลิวส่องประกายขึ้น ภัยพิบัติบนเส้นทางแห่งเลือดคือสิ่งที่ตัวตนระดับสูงต้องการเห็น

 

ปราณมนุษย์ของฟางเจิ้งปะทุออกมา

 

ฟานซื่อหลิวมองฟางเจิ้งและรู้สึกประหลาดใจ

 

ปราณมนุษย์ของฟางเจิ้งหนาแน่นมาก มันแสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ชีวิตและรากฐานของเขา

 

ปราณสวรรค์พิภพหลอมรวมกับปราณมนุษย์ของฟางเจิ้ง

 

ฟางเจิ้งแสดงออกอย่างเคร่งขรึมขณะที่เขาพยายามควบคุมปราณทั้งสามและทําให้มันเกิดสมดุล

 

ฟางเจิ้งได้รับคําแนะนําจากฟานซื่อหลิวมาแล้ว เขาเข้าใจเรื่องนี้

 

ภัยพิบัติมาถึงในที่สุด ฝนตกลงมา

 

มันเป็นฝนเลือด!

 

ฟางเจิ้งกระตุ้นใช้วิญญาณเพื่อต่อต้านฝนเลือด แต่ในไม่ช้าวิญญาณเหล่านั้นกลับเป็นฝ่ายตกตาย

 

นี่เป็นสาเหตุที่ผู้ใช้วิญญาณมักจะสูญเสียวิญญาณทั้งหมดของพวกเขาหลังจากก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ

 

แต่ฟางเจิ้งได้รับการสนับสนุนจากวังสวรรค์ เขาไม่ขาดแคลนวิญญาณ

 

เขาปกป้องตนเองโดยไม่ตื่นตระหนก

 

ในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา เขาเคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่อันตรายยิ่งกว่านี้มาแล้ว นอกจากนั้นเขายังเตรียมตัวมาอย่างเพียงพอ

 

แท้จริงแล้วฟานชื่อหลิวรู้สึกประหม่ามากกว่าฟางเจิ้ง

 

เขามองฟางเจิ้งโดยไม่กระพริบตา

 

ผู้ใช้วิญญาณระดับห้ามักพบปัญหามากมายระหว่างการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเพราะพวกเขาไม่เพียงต้องรับมือกับภัยพิบัติแต่พวกเขายังต้องควบคุมและรักษาสมดุลของปราณทั้งสาม

 

“ข้าสามารถปกป้องเจ้าจากภัยพิบัติฝนโลหิตได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่การปรับสมดุลของปราณทั้งสามขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง ก่อนหน้านี้ข้ามอบการฝึกฝนที่เพียงพอแก่เจ้าแล้ว เจ้าไม่สามารถล้มเหลวในช่วงเวลาสําคัญ” ฟานซื่อหลิวคิดกับตนเองขณะที่เขาเริ่มทําลายเมฆสีเลือด

 

แม้ภัยพิบัติฝนโลหิตจะดูรุนแรงแต่มันก็ไม่ร้ายแรงเกินไป ดูเหมือนเจตจํานงสวรรค์จะตั้งใจทําสิ่งนี้

 

การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะของฟางเจิ้งเป็นไปได้อย่างราบรื่นไม่ว่าจะเป็นภายในหรื

อภายนอก

 

ปราณทั้งสามหลอมรวมกันได้อย่างเหมาะสม ฉากในอดีตพุ่งผ่านจิตใจของฟางเจิ้งขณะที่เขาได้รับแรงบันดาลใจและความเข้าใจต่อสวรรค์พิภพ

 

เป็นเพียงเวลานี้ที่ฟางเจิ้งตระหนักว่าเส้นทางแห่งเลือดเหมาะสมกับเขาเป็นอย่างมาก

 

เมื่อเวลาผ่านไปปราณทั้งสามก็ควบแน่นและก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนพลังปราณ

 

ฟางเจิ้งเปิดเปลือกตาขึ้นและโยนวิญญาณระดับห้าบนเส้นทางแห่งเลือด เข้าไปในกลุ่มก้อนพลังปราณ

 

“บึม!”

 

กลุ่มก้อนพลังปราณระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงและก่อตัวเป็นมิติช่องว่างของผู้อมตะ

 

ฟางเจิ้งรู้สึกว่างเปล่าไปชั่วครู่ก่อนที่สติของเขาจะกลับคืน เขาเริ่มส่งวิญญาณหลักและวิญญาณดวงอื่นๆเข้าไปในมิติช่องว่าง วิญญาณดวงแรกที่เขานําเข้าไปคือวิญญาณอมตะเลือดล้างเลือด

 

มิติช่องว่างของเขาค่อยๆปรับสภาพและสร้างสมดุล

 

เห็นได้ชัดว่ามันเป็นมิติช่องว่างระดับสูง

 

ยังมีปราณสวรรค์พิภพหลงเหลืออยู่มากมาย

 

ฟางเจิ้งมีความสุขมาก ปราณสวรรค์พิภพเหล่านี้สามารถยกระดับวิญญาณบนเส้นทางแห่งเลือดของเขาให้เป็นวิญญาณอมตะ

 

แม้เรื่องนี้จะมีอันตรายและดึงดูดภัยพิบัติ แต่ฟางเจิ้งก็ยังเลือกที่จะทํา

 

“ฟางเจิ้ง ให้ข้าเข้าไปเร็ว ข้าจะช่วยเจ้าก้าวข้ามภัยพิบัติ!” ฟานซื่อหลิวถ่ายทอดเสียงมายังฟางเจิ้ง

 

“หือ?” ฟางเจิ้งขมวดคิ้วแสดงความไม่พอใจ มิติช่องว่างเป็นพื้นที่ส่วนตัวของผู้อมตะ แต่ฟานซื่อหลิวกลับต้องการเข้าไป นี่ทําให้ฟางเจิ้งรู้สึกโกรธ

 

อย่างไรก็ตามฟางเจิ้งกลับหยุดขมวดคิ้วอย่างกะทันหันและเปิดทางเข้ามิติช่องว่าง “แน่นอน ฟานซื่อหลิว เชิญเข้ามา”

 

ฟานซื่อหลิวรู้สึกประหลาดใจ ฟางเจิ้งพึ่งกลายเป็นผู้อมตะ กระบวนการทั้งหมดยังไม่จบสิ้น แต่เขาเปลี่ยนวิธีการพูดและทัศนคติไปแล้วอย่างเป็นธรรมชาติ

 

ดูเหมือนวังสวรรค์จะตั้งใจเลี้ยงดูฟางเจิ้งเพื่อจัดการฟางหยวนจริงๆ แท้จริงแล้วข้าค่อนข้างอิจฉา

 

หลายชั่วโมงต่อมาภัยพิบัติของฟางเจิ้งก็ผ่านพ้นไป ความอิจฉาของฟานชื่อหลิวพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง

 

นั่นเป็นเพราะฟางเจิ้งสามารถหลอมรวมวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งเลือดดวงที่สอง

 

วิญญาณอมตะเลือดเย็น!

 

ไม่กี่วันต่อมานิกายกระเรียนอมตะประกาศต่อโลกผู้อมตะว่าฟางเจิ้งประสบความสําเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ เขาเคยถูกทรมานโดยฟางหยวน โชคดีที่เขาได้รับการช่วยเหลือจากวังสวรรค์ ตอนนี้เขากลายเป็นหนึ่งในกองกําลังหลักในการจัดการปีศาจฟางหยวน

 

เนื่องจากการเผยแพร่ข่าวนี้เป็นเจตนาของวังสวรรค์ ดังนั้นมันจึงแพร่กระจายไปทั่วทั้งห้าภูมิภาคอย่างรวดเร็ว ชื่อเสียงของฟางหยวนถูกทําลายอีกครั้งโดยการทอดทิ้งครอบครัวและญาติสนิท ขณะที่ชื่อเสียงของวังสวรรค์พุ่งสูงขึ้นจากความเมตตาของพวกเขา

 

หลายวันต่อมา

 

“เทพธิดา ลาก่อน” บนก้อนเมฆ ฟานซื่อหลิวกล่าวกับจ้าวเหลียนหยุนด้วยรอยยิ้ม

 

จ้าวเหลียนหยุนยิ้มตอบ “ขอบคุณสําหรับการต้อนรับ”

 

นางได้ยินว่าฟางเจิ้งประสบความสําเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ ดังนั้นนางจึงมาแสดงความยินดีกับเขา น่าเสียดายที่ฟางเจิ้งไม่ได้ออกมาพบนาง เขาถูกกักตัวไว้โดยนิกายกระเรียนอมตะ

 

ฟานซื่อหลิวไม่กล้าหยาบคายต่อจ้าวเหลียนหยุน นางเป็นผู้นําคนปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ แม้นางจะเป็นผู้อมตะระดับหก แต่นางสามารถควบคุมวิญญาณแห่งความรักระดับเก้า

 

ฟานซื่อหลิวยืนยัน “ข้าจะมอบของขวัญของท่านให้ฟางเจิ้งด้วยตนเอง

 

จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้าขอบคุณก่อนจะบินจากไป