ตอนที่ 225 ภาพฉากยังคงเหมือนเดิม

ลำนำสตรียอดเซียน

ในเมื่อหัวข้อการสนทนาได้เปลี่ยนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสร้างจิตวิญญาณแทน ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานหลายคนจึงปลดปล่อยความช่างพูดออกมาในที่สุด พวกเขาบินกลับไปยังภูเขาไท่คัง พร้อมกับพูดคุยกันไปตลอดทาง ความวิตกกังวลที่พวกเขามีในตอนแรกเริ่ม ว่าอาจมีบางสิ่งเกิดขึ้นที่สำนักก็ได้จางหายไป ความจริงแล้ว นอกจากบังเอิญพบกับลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่กำลังกลับไปยังสำนักแล้ว พวกเขาเองก็ไม่ได้เจอกับสิ่งแปลกประหลาดใดๆ ระหว่างทางเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นที่สำนักเสวียนชิงจริง เป็นไปได้ว่าคุนอู๋จะไม่เงียบงันดังเช่นในตอนนี้แน่นอน

 

 

โม่เทียนเกอได้ฟังข่าวคราวจำนวนมากตลอดทาง ดังนั้นในตอนนี้ อย่างน้อยนางก็รู้ว่าอาจารย์ของนางนั้นปลอดภัยดี ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์ลุงโส่วจิ้งของนาง ก็กำลังพยายามสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาในไม่ช้านี้ด้วย

 

 

การคิดถึงเรื่องนี้ทำให้นางนิ่งเงียบ เพราะนางไม่รู้ว่าตนเองควรจะรู้สึกเช่นไรดี นางกำลังจะสร้างขุมพลังของนาง แต่เขากำลังจะสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาในไม่ช้า ระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสองคนยังคงไกลดังเช่นเดิม…

 

 

ถึงกระนั้นก็ตาม นางไม่มีทางหมดความอดทนเพราะเรื่องแค่นี้แน่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ นางคอยจดจำสิ่งที่อาจารย์ของนางสอนเอาไว้ขึ้นใจเสมอ ตอนนี้นางได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะผู้มากด้วยพรสวรรค์ ฉะนั้น นางจึงไม่ต้องกังวลว่านางจะล้มเหลวในการบุกทะลวงดินแดนในช่วงอายุขัยของนาง มันจะเป็นการดีที่สุดหากนางสามารถเป็นได้อย่างอาจารย์ลุงเสวียนอิน ผู้ซึ่งยืนหยัดในการพัฒนาตนเองไปทีละก้าวอย่างมั่นคง แม้ว่าจะเก่งกาจอย่างล้นเหลือก็ตาม

 

 

ความรู้สึกเศร้าสร้อยนี้แล่นวาบเข้ามาในหัวใจของนางเท่านั้น แต่นางสามารถควบคุมมันได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับวิถีแห่งเต๋า ซึ่งกำหนดให้ต้องก้าวขึ้นไปสู่การเป็นเซียนอย่างแท้จริง ความรู้สึกเพียงน้อยนิดไม่ได้มีความสำคัญมากนัก อีกอย่าง ความสัมพันธ์ในลักษณะนั้น มักจะสร้างปมขึ้นภายในใจของนาง ในกรณีนั้น ทำไมนางจึงควรยืนหยัดในบางสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ตั้งแต่แรกเริ่มกัน

 

 

พวกเขายังคงเดินทางต่อเนื่องเหมือนเดิมทั้งวันทั้งคืน และหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน พวกเขาก็มาถึงภูเขาไท่คังในที่สุด

 

 

เบื้องล่างของนางคือแนวเทือกเขาที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา พร้อมด้วยยอดเขาสูงตระหง่านอันทรงพลัง และทะเลก้อนเมฆที่ราวกับผืนผ้าไหมทอง พลังวิญญาณปรากฏอยู่ทั่วทุกหนแห่ง และพลังเซียนก็คละคลุ้งไปทั่วทั้งอากาศ

 

 

ยอดเขาหลักที่ตั้งตระหง่านสูงหลายพันฟุตล้อมรอบไปด้วยยอดเขาหกแห่งที่ต่ำกว่าเล็กน้อย ทำให้กลุ่มก้อนของยอดเขาทั้งหมดดูคล้ายกับดอกบัวที่กำลังบาน กระเบื้องหลังคาและชายคาบ้านที่ยาวไร้จุดสิ้นสุดสามารถมองเห็นได้เป็นระยะๆ ผ่านช่องว่างในป่าภูเขา บรรดาลูกศิษย์ในชุดคลุมสีน้ำเงินและเสื้อนอกสีขาวล้วนแต่กำลังเดินทอดน่องอยู่ที่นี่และที่นั่น

 

 

หลังจากออกจากที่นี่ไปกว่ายี่สิบปี นางกลับมาแล้วในที่สุด

 

 

โม่เทียนเกอมองดูภาพฉากเบื้องล่างด้วยความรู้สึกคิดถึงอดีต ข้ามแผ่นดินกว่าหมื่นไมล์จากคุนอู๋ตะวันออก… สิ่งนี้ทำให้นางหวนนึกถึงปีนั้น ตอนที่นางยังไม่ได้สร้างฐานแห่งพลังของนาง จากสำนักอวิ๋นอู้ มันใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองเดือนเพื่อมาถึงสำนักเสวียนชิง คนผู้นั้นดูเย็นชา แต่เขากลับเอาใจใส่ผู้อื่นเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่านางไม่สามารถเดินทางข้ามวันข้ามคืนได้ เพราะระดับการฝึกตนของนางยังคงต่ำมาก ฉะนั้น…

 

 

“ศิษย์พี่ชายและหญิงทั้งหลาย” ผู้ฝึกตนที่กำลังออกลาดตระเวนอยู่นั้นเดินเข้ามา และประสานมือของเขาเข้าด้วยกัน เพื่อเป็นการทักทายทุกคน “ท่านคงจะเหนื่อยจากการเดินทาง ได้โปรดกลับยังถ้ำเซียนของท่านและพักผ่อนก่อนเถอะ”

 

 

ท่ามกลางพวกเขา ชายแก่แซ่เหยียนเป็นชายช่างจ้อเหลือเกิน ในตอนนั้น เขาดึงตัวของผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานที่กำลังนำทางไปยังสถานที่พักผ่อนเอาไว้ จากนั้นจึงถามออกไปว่า “ศิษย์พี่ ข้าขอถามหน่อย มีเรื่องสำคัญอันใดเกิดขึ้นที่ทำให้หน่วยต้องเรียกพวกเราทั้งหมดกลับมาเช่นนี้”

 

 

ผู้ฝึกตนที่เป็นนำทางส่ายศีรษะ “ปรมาจารย์จะเป็นคนอธิบายเรื่องนี้ที่ยอดเขาของท่าน มันไม่เหมาะสมที่ข้าจะพูดถึงเรื่องนี้มากนัก ต้องขออภัย แต่ได้โปรดกลับไปก่อนเถอะ”

 

 

เมื่อคำปฏิเสธของเขากระจ่างชัดเจน ชายแก่จึงทำอะไรไม่ได้อีก เขาได้แต่เข้าสู่ม่านพลังป้องกันขุนเขาไปพร้อมกับทุกๆ คน และผู้ฝึกตนแต่ละคนก็กลับไปยังยอดเขาของตัวเอง

 

 

โม่เทียนเกอหยุดอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง นางเลื่อนสายตาขึ้นไปมองยังม่านพลังป้องกันขุนเขา ซึ่งถูกเปิดใช้งานอยู่ในสภาวะป้องกันครึ่งหนึ่ง จากนั้นนางจึงมองลงไปยังภูเขาไท่คัง ซึ่งดูไม่ต่างอะไรจากเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ขณะที่นางกำลังมุ่งหน้าไปยังยอดเขาวสันต์กระจ่างนั้น นางพลันคิดภายในใจ ความรอบคอบเช่นนั้น… ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ชายแก่ผู้นั้นพูด ใครบางคนกำลังพยายามสร้างจิตวิญญาณใหม่ของพวกเขา

 

 

ถึงกระนั้นก็ตาม แม้ว่าสำนักจะมีผู้ฝึกตนพยายามสร้างจิตวิญญาณใหม่ของพวกเขา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเรียกผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งหมดกลับมา เมื่อย้อนกลับไปตอนที่อาจารย์ลุงเสวียนอินสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขา สำนักเองก็ได้รับการคุ้มกันอย่างใกล้ชิดมากกว่าปกติเล็กน้อย และนี่ก็เป็นเช่นนั้น

 

 

เมื่อไม่อาจหาเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ได้ โม่เทียนเกอจึงส่ายศีรษะ จากนั้นสลัดความคิดนี้ออกไปจากศีรษะ ไม่ว่าอย่างไร นางก็กลับมาแล้ว นางเพียงแค่ถามหาเหตุผลจากผู้คนแถวนั้นก็ได้ใช่หรือไม่ อาจารย์ที่น่าอับอายของนางคือปรมาจารย์แห่งยอดเขาวสันต์กระจ่าง แม้ว่าผู้อื่นจะไม่รู้เรื่องราวภายใน แต่นางจะต้องล่วงรู้อย่างแน่นอน

 

 

ขณะที่จิตใจของนางกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น นางก็มาถึงก่อนที่นางจะรู้ตัวเสียอีก โม่เทียนเกอเงยหน้าและมองไปรอบๆ ทั้งภูมิทัศน์และอาคารต่างๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ว่าผู้ฝึกตนที่เดินผ่านไปมานั้นล้วนแต่ไม่รู้จักนาง

 

 

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่นางถูกอาจารย์ของนางจับโยนไปทั่วทุกหนแห่ง นางเข้าไปบำเพ็ญตนอยู่ภายในโถงเหมิงเสวียเป็นเวลาหลายเดือน และมักจะไปที่ยอดเขาหลักเพื่อร่ายเวทอยู่เสมอ ฉะนั้น ลูกศิษย์การหลอมรวมพลังงานวิญญาณส่วนใหญ่ทั่วทั้งสำนักจึงรู้จักนาง หลังจากนางเข้าควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักซ่างชิงได้เป็นพิเศษ ทุกๆ คนตั้งแต่ระดับบนสุดจนถึงล่างสุดในยอดเขาวสันต์กระจ่าง ล้วนแต่เรียกนางว่า “ปรมาจารย์โม่” หรือ “อาจารย์โม่” ด้วยความเคารพนับถือทั้งสิ้น

 

 

อย่างไรก็ตาม บัดนี้ลูกศิษย์ทุกคนที่นางบังเอิญได้พบระหว่างทางขึ้นยอดเขาวสันต์กระจ่างนั้น เพียงแต่ประเมินนางด้วยความสงสัยใคร่รู้เท่านั้น และสายตาของพวกเขาเผยให้เห็นถึงความไม่รู้จัก เมื่อพวกเขาเห็นนางเดินผ่านไป พวกเขาเพียงแต่ยืนหลบอยู่ด้านข้าง เพื่อเปิดทางให้นาง และโค้งคำนับเพื่อเป็นการเคารพศิษย์พี่การสร้างฐานแห่งพลังงานเท่านั้น มีเพียงลูกศิษย์การหลอมรวมพลังงานเก่าเพียงไม่กี่คนที่จะเรียกนางว่า “ปรมาจารย์โม่” ด้วยความประหลาดใจ และการกระทำของพวกเขาพลันไปกระตุ้นสายตาอันตะลึงงันของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์วัยกว่าทั้งหลาย

 

 

รอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่เทียนเกอ ขณะที่นางเงยหน้ามองดูท้องฟ้าเหนือยอดเขาวสันต์กระจ่าง ยี่สิบปี…คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาแทนที่คนรุ่นเก่าเสียแล้ว ไม่มีลูกศิษย์เข้าใหม่คนไหน หรือลูกศิษย์เยาว์วัยคนไหน ผู้ซึ่งง่วนอยู่กับภารกิจต่างๆ ในยอดเขาวสันต์กระจ่าง รู้จักนางแม้แต่คนเดียว สำหรับลูกศิษย์ที่จำนางได้นั้น หากพวกเขาไม่ก้าวเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา พวกเขาก็คงรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว และยังคงอุทิศตนเพื่อการฝึกตนต่อไปเช่นเดียวกันใช่ไหม

 

 

สำหรับเหล่าผู้ฝึกตนระดับสูง ช่วงเวลายี่สิบปีอันแสนสั้น เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ฝึกตนแห่งการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ

 

 

“นั่น…ศิษย์พี่หรือ” ขณะที่นางกำลังเข้าไปในตำหนักซ่างชิง บรรดาลูกศิษย์ที่คุ้มกันประตูหยุดนางเอาไว้ พร้อมกับมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่ นี่คือถ้ำเซียนของปรมาจารย์จิ้งเหอ ท่านเข้าไปไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าท่านจะถูกเรียกตัว”

 

 

นางตกตะลึง แต่กลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาในอีกไม่กี่วินาทีให้หลัง ปรากฏว่านอกจากลูกศิษย์แห่งการหลอมรวมพลังงานวิญญาณจะไม่รู้จักนางแล้ว แต่แม้แต่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานก็ยังไม่รู้จักนางเช่นกัน

 

 

ถึงกระนั้นก็ตาม เสียงหัวเราะของนางทำให้ลูกศิษย์ผู้คุ้มกันประตูไม่พอใจ เขามีท่าทีเคร่งขรึมมากขึ้น จากนั้นจึงกล่าวออกมาว่า “ศิษย์พี่ อารมณ์ของปรมาจารย์ไม่ค่อยดีเท่าไร ท่านรีบกลับไปเสียเถอะ”

 

 

นางโบกมือของนาง ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก นางพลันได้ยินเสียงของใครบางคนเรียกนางด้วยความแปลกประหลาดใจ “อาจารย์โม่?”

 

 

เมื่อหันหน้าไปตามเสียงนั้น นางค้นพบว่ามันคือหมิงซย่าจริงๆ ผู้ที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายของประมุขเต๋าจิ้งเหอ และเป็นหนึ่งในลูกศิษย์หัวแก้วหัวแหวนของเขา

 

 

โม่เทียนเกอเผยให้เห็นรอยยิ้มออกมา “หมิงซย่า ไม่เจอกันเสียนานนะ”

 

 

การที่โม่เทียนเกอทักทายหล่อนอย่างสนิทสนมนั้น ทำให้หมิงซย่ารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ที่ตำหนักซ่างชิงก่อนหน้านี้ เพราะบรรดาสาวรับใช้พวกนั้นคิดว่าพวกนางมีอาจารย์คอยหนุนหลังอยู่ จึงปฏิบัติตัวด้วยความยโสโอหัง และอาศัยปัญญาชนทั้งสี่ในการวางแผนแกล้งนาง โม่เทียนเกอคุ้นชินกับการพูดอย่างตรงไปตรงมากับพวกเขา นางมักจะก่นด่าพวกเขาคราที่นางโมโหขึ้นมา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะว่านอนสอนง่ายในภายหลัง แต่นางกลับไม่ได้สนใจพวกเขาเท่าไรนัก ฉะนั้น นางจึงไม่ค่อยยิ้มให้พวกเขาเสียเท่าไร

 

 

หลังจากไม่ได้พบหน้ากันมายี่สิบปี จนได้มาเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของโม่เทียนเกออย่างกะทันหัน และได้ยินนางพูดด้วยน้ำเสียงที่แสนอ่อนโยนแบบนี้… เป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังเสแสร้งแกล้งทำอยู่

 

 

สิ่งที่นางไม่รู้คือ หลังจากที่ไปอยู่ข้างนอกมาเป็นเวลานานหลายปี โม่เทียนเกอได้ประสบพบเจอกับสิ่งต่างๆ มากมาย ตอนนี้ ขอบเขตความรู้ของนางจึงแผ่ขยายมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว นางไม่สนใจความขัดแย้งเล็กน้อยในอดีตอีกต่อไป นอกจากนั้น นางไม่ได้กลับมาที่นี่เสียตั้งนาน จนตอนนี้นางรู้สึกดีใจที่ได้เห็นต้นไม้ใบหญ้าที่สำนักเสวียนชิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมิตรสหายเก่าๆ เลย

 

 

“อะไร เจ้าจำข้าไม่ได้งั้นหรือ”

 

 

หมิงซย่ามองดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะมั่นใจในที่สุด พร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า “อาจารย์โม่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว! ปรมาจารย์กำลังบ่นเรื่องที่ท่านไม่ยอมส่งข่าวกลับมาตลอดหลายปีมานี้อยู่พอดี”

 

 

โม่เทียนเกอยิ้ม แต่ก่อนที่นางจะได้ตอบอะไร นางพลันเห็นลูกศิษย์ที่คุ้มกันประตูกำลังจ้องเขม็งนางด้วยความตะลึงงัน “อาจารย์… อาจารย์โม่หรือ”

 

 

“ถูกต้องแล้ว” หมิงซย่าตอบรับคนผู้นั้น “อาจารย์โม่คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของปรมาจารย์ของเรา ในที่สุด อาจารย์โม่ก็กลับมาแล้วหลังจากผ่านไปยี่สิบกว่าปี แต่กระนั้น เจ้ากลับหยุดนางเอาไว้ที่หน้าประตูอย่างนั้นหรือ”

 

 

ลูกศิษย์คนนั้นเกาศีรษะของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกอับอาย แต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด เขากลับคำนับนางด้วยความเคารพแทน และกล่าวว่า “ได้โปรดให้อภัยข้าด้วย อาจารย์โม่ ข้าไม่เคยพบท่านมาก่อน ข้าจึงจำท่านไม่ได้ ข้าหวังว่าอาจารย์โม่จะไม่ถือโทษโกรธข้า”

 

 

ลูกศิษย์คนนั้นมีกิริยาวาจาที่ช่างเหมาะสม นอกจากนั้น โม่เทียนเกอเองก็ไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย นางจึงไม่ได้รู้สึกรำคาญใจจนเกินไป นางกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร ทีนี้ข้าเข้าไปได้หรือยัง”

 

 

เขาพยักหน้าในทันที และหลบไปด้านข้างเพื่อเปิดทางให้นาง

 

 

โม่เทียนเกอปัดฝุ่นจากชายแขนเสื้อของนาง จากนั้นเดินเข้าไปในตำหนักซ่างชิงอย่างเชื่องช้า ซึ่งนางไม่ได้เข้ามานานกว่ายี่สิบปีแล้ว

 

 

“ยายตัวแสบ ในที่สุดเจ้าก็ยอมกลับมาเสียที!” อาจารย์ผู้แสนน่าหัวเราะของนางคนนั้นยังคงอยู่ในท่าเอนหลังครึ่งหนึ่งบนเก้าอี้มังกรของเขา แก้มเขาไม่ได้หย่อนยาน ขอบตายังคงไร้ซึ่งริ้วรอยมารบกวน เขายังคงหล่อเหลา สง่างาม และสูงส่ง แต่ขี้เกียจสันหลังยาวเหมือนเช่นเดิมอย่างมาก ตอนนี้ เขาเปิดหน้าหนังสือแต่ละหน้าด้วยความเอื่อยเฉื่อย เขาไม่ได้ละสายตาออกจากหนังสือ ยามที่เขากำลังพูดด้วยซ้ำ “ดูสิ แม้แต่ผู้เฝ้าประตูยังจำเจ้าไม่ได้เลย!”

 

 

โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะยกขอบริมฝีปากของนางขึ้นมา เมื่อเห็นภาพฉากอันแสนคุ้นเคยนี้ นางปัดชายแขนเสื้อของนาง จากนั้นคุกเข่าลงเบาๆ “ลูกศิษย์คนนี้ไม่ได้กลับมาตั้งกว่ายี่สิบปี และยังทำให้อาจารย์ต้องเป็นห่วง ข้าขอให้อาจารย์ลงโทษข้าเสีย”

 

 

“แค่ก! แค่ก!” ประมุขเต๋ากลืนผลพลัมที่อยู่ในปากลงไปอย่างไม่ระมัดระวัง พร้อมกับเม็ดของมัน มันติดคอเขาจนทำให้เขาเกือบจะเป็นลมหมดสติไป

 

 

“ปรมาจารย์!” หมิงซย่ารีบวิ่งไปหา และยกน้ำชาให้เขาดื่ม

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็กลับมาหายใจได้คล่องปอดในที่สุด เขาคืนถ้วยชาให้หมิงซย่า จากนั้นจึงนั่งตัวตรง และจ้องเขม็งใส่โม่เทียนเกออยู่พักหนึ่ง “เจ้าเด็กตัวร้าย! คิดจะทำให้อาจารย์ของเจ้าต้องสำลักอาหารตายหรือยังไง”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของโม่เทียนเกอยังคงอยู่ นางทำตาโตไร้เดียงสาและกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดเลย ข้ายังทำความเคารพท่านอย่างสุภาพมากๆ เสียด้วยซ้ำ”

 

 

“เจ้า…” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเพิ่งสำลักลูกพลัมไป แต่ตอนนี้ เขาต้องสำลักกับคำพูดของโม่เทียนเกออีกครั้ง เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากจ้องเขม็งไปที่นาง

 

 

แต่หลังจากจ้องเขม็งนางอยู่สักพักแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นมีความสุขในทันที “ไอ้หยา! เจ้าทำได้ดีทีเดียว! นอกจากเจ้าจะทะลวงดินแดนได้แล้ว ดินแดนของเจ้ายังเสถียรเอามากๆ! อืม เจ้าไม่ได้หายไปโดยเปล่าประโยชน์ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา มานี่ ให้ข้าดูเจ้าหน่อย” เขากล่าวพลางเรียกนางให้เข้าไปหาอย่างเบิกบานใจ

 

 

โม่เทียนเกอยืนขึ้น และเดินเข้าไปหา

 

 

ประมุขเต๋าจิ้งเหอพลันคว้าข้อมือของนางไว้ ซึ่งเขาได้ใส่พลังวิญญาณของเขาลงในเส้นลมปราณของนาง หลังจากนั้นต่อมา…

 

 

“เยี่ยม! แบบนี้สิถึงจะถูกต้อง!” เมื่อตรวจสอบอาการภายในร่างกายของนางอย่างรวดเร็ว ประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงปล่อยมือของนางไป และหยิบลูกพลัมขึ้นมา พร้อมกับโยนไปให้นาง “เจ้ายังคงว่านอนสอนง่ายเหมือนเดิม! เอ้า อาจารย์ให้รางวัลกับเจ้า”

 

 

โม่เทียนเกอรับผลพลัมไว้ ที่ดูเหมือนมีพลังวิญญาณเล็กน้อยหลงเหลืออยู่ รู้สึกไม่ถูกว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “อาจารย์ ในฐานะศิษย์รักของท่าน ข้าหายไปนานกว่ายี่สิบปี และในที่สุด ก็กลับมาหลังจากฝ่าฟันความยากลำบากนานัปการ ทำไมท่านถึงไม่ถามอะไรข้าเลยล่ะ”

 

 

ประมุขเต่าจิ้งเหอหยิบลูกพลัมขึ้นมาให้กับตัวเอง และแทะมัน เขากล่าวอย่างไม่ยอมรับว่า “ศิษย์รักงั้นหรือ ข้ามีศิษย์แบบนั้นด้วยหรือ” จากนั้น เขาก็มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความรังเกียจ “ข้ายังเห็นว่าเจ้าสามารถวิ่งเล่นกระโดดไปมาได้ อีกอย่าง นอกจากเจ้าสามารถบุกทะลวงดินแดนได้แล้ว ดูเหมือนอารมณ์ของเจ้าจะดีมากทีเดียว มีอะไรที่ข้าต้องถามเจ้าอีกกันเล่า”

 

 

“ถามข้าว่าข้าไปทำอะไรมาบ้างในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ข้าไปเจอกันอะไรมาบ้าง… ในฐานะอาจารย์ ท่านควรจะวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ ให้ลูกศิษย์ของท่านไม่ใช่หรือ” นี่มันอาจารย์ประเภทไหนกัน นางไม่ได้กลับมาเป็นเวลาถึงยี่สิบปี แต่เมื่อนางกลับมาแล้วหลังจากฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ในที่สุด เขากลับให้ลูกพลัมเป็นรางวัลแก่นางอย่างนั้นหรือ เขาไม่แม้แต่จะถามอะไรนางสักคำเลยด้วย! แม้ตอนที่นางยังอยู่ภายใต้การปกครองของอาจารย์ลุงเสวียนอิน มันก็ไม่ใช่แบบนี้เลย! ไม่ต้องพูดถึงอารองของนาง ทุกครั้งที่นางเผชิญกับเรื่องชวนปวดหัวทั้งหลาย เขาจะวิเคราะห์เรื่องนั้นๆ ให้ลึกซึ้งขึ้นเพื่อนาง บอกนางว่าควรจะยับยั้งมันอย่างไร และนางควรจะรับมือกับปัญหาคล้ายคลึงกันนี้อย่างไรในอนาคต

 

 

ได้ยินนางพูดเช่นนั้น ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็กลอกตามองบน “อาจารย์ของเจ้าเป็นอาจารย์แบบไหนกัน แค่สัมผัสเส้นลมปราณของเจ้า ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้ามีชีวิตอย่างสุขสบายดีในตอนนี้! สำหรับสิ่งที่เจ้าได้ประสบพบเจอมา เจ้าต้องวิเคราะห์และทำความเข้าใจมันด้วยตัวเอง! การบอกเจ้าทันทีมันจะไปมีประโยชน์อะไร เจ้าไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว!”

 

 

โม่เทียนเกอตะลึงงัน แต่ยิ้มด้วยความเบิกบานใจทันทีหลังจากนั้น ถูกต้อง! มันต่างออกไปแล้วอย่างสิ้นเชิง นางไม่ใช่ผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณตัวน้อย ที่ต้องการการสนับสนุนจากผู้อื่นเพื่อให้ก้าวไปข้างหน้าอีกต่อไปแล้ว อาจารย์ของนางเองก็ไม่ใช่อารองหรืออาจารย์ลุงเสวียนอิน เขามีวิธีของเขาในการดูแลเอาใจใส่นาง และมีวิธีของเขาในการสั่งสอนนาง ทำไมนางถึงเรียกร้องให้เขาต้องเป็นเช่นเดียวกับผู้อื่นด้วยกัน

 

 

“ก็ได้” โม่เทียนเกอดึงเก้าอี้ออกมานั่งลงตรงหน้าเขา “ถึงแม้อาจารย์จะไม่มีเรื่องให้พูด แต่ศิษย์อย่างข้ามีเรื่องตั้งมากมายที่อยากถามท่าน!”