เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ สุนัขดมกลิ่นตัวนั้นก็เดินกลับมา
“ไม่มี?’
เมื่อเจ้าสุนัขดมกลิ่นของตนไม่ได้เบาะแสอะไรกลับมาเลย สุ่ยเจียงก็หัวเสียเป็นอย่างมาก
เขาเองก็น่าจะคาดเดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่า ตี้อู่เฮ่ออี้เป็นหมอ เขาคงจะทำอะไรสักอย่าง ดังนั้นตลอดทางที่มาเจ้าสุนัขดมกลิ่นถึงตามกลิ่นของพวกมันไม่เจอ
เหลือบมองไปยังเรือข้ามฟากที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ หากว่าเขาหาพวกมันไม่พบ ต้องเกิดเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน
คิดได้ดังนั้น สุ่ยเจียงจึงก้าวเดินไปด้านหน้าสองสามก้าว แล้วกวาดสายตามองไปยังกลุ่มคนที่รอข้ามฟาก
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยู่ในนั้น! ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะออกมาเอง จะไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน!”
คำพูดของสุ่ยเจียงทำให้เชียนเย่เสวี่ยชะงัก
‘เขาพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?’
‘ทำให้ใครเดือดร้อนกัน?’
ขณะที่เชียนเย่เสวี่ยยังไม่เข้าใจในสิ่งที่สุ่ยเจียงกำลังสื่อสารออกมานั่นเอง สุ่ยเจียงก็คว้าเด็กน้อยคนหนึ่งขึ้นมา แล้วยกเด็กน้อยขึ้นเหนือศีรษะด้วยมือเดียว
“ท่านจักรพรรดิอาวุโสท่านนี้ ท่านจะทำอะไร? ท่านรีบปล่อยลูกข้าเถิด”
ชายหนุ่มวัยกลางคนมองดูสุ่ยเจียงที่กำลังยกเด็กชายตัวน้อยขึ้นเหนือศีรษะด้วยความร้อนใจ เขาไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกัน เหตุใดจักรพรรดิอาวุโสแซ่สุ่ยผู้นี้จึงต้องแย่งเอาบุตรชายของเขาไปด้วย
สุ่ยเจียงหาได้สนใจชายผู้นั้นแต่อย่างใด เขาดึงที่คอเสื้อของเด็กชาย มองไปยังกลุ่มคนที่เตรียมข้ามฟากเหล่านั้น
“หากพวกเจ้าไม่ออกมา ข้าจะสังหารพวกเขาเสีย!”
กล่าวจบ สุ่ยเจียงก็จับเด็กน้อยผู้นั้นทุ่มลงกับพื้นอย่างแรง
“ตึ่ง——”เสียงดังสนั่น เด็กน้อยยังไม่ทันแม้แต่จะร้องออกมา ศีรษะก็กระแทกลงกับพื้นจนแตกกระจาย สิ้นใจตายอย่างน่าอนาถต่อหน้าต่อตาชายวัยกลางคนผู้นั้น
“ลูกข้า! ลูกชายของข้า!” ชายวัยกลางคนเห็นเหตุการณ์ตรงหน้านั้น ก็ร้องแรกแหกกระเชิงขึ้นมาราวกับเป็นบ้าคลั่งก็ไม่ปาน
“เจ้าฆ่าลูกชายของข้า! ข้าจะแก้แค้นให้กับลูกชายของข้า!”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นชักดาบออกมา แล้วจ้วงแทงไปยังสุ่ยเจียง
“เฮอะ! แค่ปรมาจารย์ตัวเล็กๆ ยังกล้ามาบังอาจมาเหิมเกริมต่อหน้าข้า!”
สุ่ยเจียงสบถออกมา แล้วฟันฉับไปที่แขนของชายผู้นั้นจนขาดสะบั้น
เขาไม่รีบร้อนที่จะสังหารชายผู้นั้นในทันที ตรงกันข้ามวินาทีชายผู้นั้นพยายามโซซัดโซเซชันกายลุกขึ้นมานั่นเอง สุ่ยเจียงก็ฟันฉับเข้าที่ขาข้างหนึ่งของเขาจนขาดวิ่นอีกครั้ง
สุ่ยเจียงกระทำเช่นนี้ก็เพื่อข่มขู่ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักโทษทั้งสี่คนนั้นที่หลบหนีออกมาซึ่งซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคนที่กำลังจะข้ามฟากเหล่านั้น!
ไม้นี้เขาเรียกว่า เชือดไก่ให้ลิงดู!
ชายวัยกลางคนที่แขนข้างหนึ่งและขาข้างหนึ่งถูกตัดจนขาดนอนเลือดท่วมตัวอยู่ที่พื้น ดวงตาทั้งสองข้างเบิ่งกว้าง
“ลูกชายของข้า! เอาลูกชายของข้าคืนมา!” ชายผู้นั้นพยายามชันกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ทว่ากลับถูกสุ่ยเจียงตวัดดาบฟันแขนข้างที่เหลือที่กำลังจับดาบเอาไว้จนขาดกระเด็น
“อ๊าก——”
เสียงร้องโหยหวนของเขาดังลั่นไปทั่วทั้งริมแม่น้ำฮาซือถู
สุ่ยเจียงเลิกคิ้วขึ้น พร้อมๆกับตวัดดาบตัดศีรษะของชายผู้นั้นออกมา
ศีรษะมนุษย์ที่โชกชุ่มไปด้วยเลือดกลิ้งลุนๆไปหยุดลงที่ตรงหน้าของเจ้าสุนัขดมกลิ่น ทันใดนั้นสุนัขดมกลิ่นก็งับหัวของชายวัยกลางคนนั่นเอาไว้ จากนั้นก็กัดกินหัวมนุษย์ตรงหน้าราวกับเป็นอาหารอันโอชะของมันอย่างเอร็ดอร่อยเข้าไปคำแล้วคำเล่า
สุ่ยเจียงทำราวกับเห็นภาพอันน่าสยดสยองนี้เสียจนเคยชินอย่างไรอย่างนั้น เพราะเขากลับยืนเป่าหยดยังเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่บนดาบของตนให้หมดไปอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ
“ข้าบอกแล้วว่า หากพวกเจ้าไม่ยอมออกมา ข้าก็จะฆ่าคนไปเรื่อยๆ และจะหยุดก็ต่อเมื่อ…ทุกคนตายหมดแล้วเท่านั้น ข้าจะนับหนึ่งถึงสามหากพวกเจ้ายังไม่ออกมาละก็ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”
กล่าวจบสุ่ยเจียงก็แย่งเอาเด็กหญิงวัยหกขวบมาจากอ้อมอกของมารดา
“แม่! ท่านแม่ช่วยข้าด้วย!”
เด็กหญิงตัวน้อยราวกับรู้ว่าตนเองจะต้องพบเจอกับอะไร จึงพยายามดิ้นรนสุดแรงเกิด
“นายท่าน ขอร้องท่านละ ปล่อยลูกข้าน้อยไปเถอะ! ขอร้องท่านละ!”
หญิงผู้เป็นแม่รู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจักรพรรดิอาวุโสเป็นแน่ ดังนั้นจึงรีบคุกเข่าลงโขกศีรษะร้องขอชีวิตบุตรสาวทันที
คนทั้งสี่ที่ท่าทางน่าเกรงขามนี้เหล่าล้วนแต่เป็นจักรพรรดิอาวุโสทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นคนของสกุลสุ่ยอีกด้วย
สกุลสุ่ย หนึ่งในตระกูลใหญ่ทั้งแปดแห่งอู๋โยว ไหนเลยที่ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเขาจะล่วงเกินได้เล่า!
“แม่ ช่วยข้าด้วย! ท่านแม่…”
เด็กหญิงตัวน้อยร้องไห้ออกมาอย่างน่าเวทนา เมื่อครู่นางเห็นสุ่ยเจียงสังหารเด็กชายและพ่อของเขากับตา จึงเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวจนแทบทนไม่ไหว
“ฮือๆ…”
เสียงเด็กร้องไห้ของเด็กหญิงตัวน้อย กระตุ้นอารมณ์โกรธเคืองของสุ่ยเจียงได้เป็นอย่างดี
เขามองดูหญิงผู้เป็นแม่ที่คุกเข่าอ้อนวอนตนเอง ก็หัวเราะออกมาด้วยความเพชเวทนา
“เจ้าไม่ควรที่จะมาขอร้องข้า! ข้ารับคำสั่งจากนายท่านให้มาไล่ล่านักโทษที่หนีออกมา พวกมันปะปนอยู่ในบรรดาพวกเจ้า เจ้าจึงควรที่จะไปขอร้องพวกมันต่างหาก!”
“พวกมันต่างหากคือผู้ที่กุมชะตาชีวิตของพวกเจ้า!”
เมื่อได้ฟังคำของสุ่ยเจียง หญิงผู้นั้นก็หันหน้าไปโขกศีรษะคำนับกลุ่มผู้คนที่กำลังจะข้ามฟากนั้นแทน
“ข้าขอร้องพวกท่านละ รีบออกมาเถิด! ลูกสาวของข้ายังเล็ก ยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้นเอง! ขอร้องพวกท่านละ!”
หญิงผู้นั้นพูดขอร้องไป พลางโขกศีรษะคำนับกับพื้นอย่างแรงไปด้วย
หินที่ริมแม่น้ำบาดศีรษะของนางจนเป็นแผลที่ศีรษะ เลือดค่อยๆไหลออกมาจนกระทั่งไม่นานก็ไหลท่วมทั้งใบหน้าของนาง
“พวกท่านโปรดช่วยข้า ช่วยชีวิตลูกสาวของข้าด้วยเถิด!”
เสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของหญิงผู้นั้น บาดหัวใจพวกของตี้อู่เฮ่ออี้ยิ่งนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตี้อู่เฮ่ออี้ เขาเกิดที่เผ่าตันซ้าย เขาเป็นหมอ ตั้งแต่เล็กจนโตถูกสั่งสอนให้ช่วยชีวิตรักษาผู้คน ตี้อู่เฮ่ออี้จึงไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันใดวันหนึ่งตนเองจะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
“เจ้าทึ่ม!” เมื่อเห็นว่าตี้อู่เฮ่ออี้เตรียมที่จะก้าวออกไป เชียนเย่เสวี่ยก็คว้ามือห้ามเขาเอาไว้
“เสวี่ย ข้ามิอาจยืนมองเด็กคนนั้นต้องตายไปต่อหน้าต่อตายได้!” ตี้อู่เฮ่ออี้หันหน้ากลับมาสบสายตาที่ร้อนใจของเชียนเย่เสวี่ย นางจึงเอื้อมมือออกมากุมมือเชียนเย่เสวี่ยเอาไว้
“ข้าเป็นหมอ ยังมีประโยชน์กับพวกมันบ้าง ต่อให้พวกมันจับข้าได้ พวกมันก็ไม่มีทางทำอะไรข้าหรอก!’
“ไม่!”
เชียนเย่เสวี่ยรู้ในทันทีว่าตี้อู่เฮ่ออี้คิดจะเสียสละตัวเอง เพื่อให้เพื่อนที่เหลือปลอดภัย แล้วนางจะทนมองตี้อู่เฮ่ออี้ไปตายต่อหน้าต่อตาได้อย่างไรกัน
สุ่ยเจียงเป็นบ้าไปแล้ว!
แม้กระทั่งเด็กน้อยคนหนึ่ง ยังไม่ยอมไว้ชีวิต เขาจะต้องทำร้ายตี้อู่เฮ่ออี้อย่างแน่นอน และเชียนเย่เสวี่ยจะไม่ยอมเด็ดขาด!
“เจ้าทึ่ม เจ้าฟังข้านะ หากต้องออกไปก็เป็นข้าที่ต้องไป!”
แววตาของเชียนเย่เสวี่ยแน่วแน่
“ข้าวรยุทธ์สูงกว่าเจ้ามากนัก! ควรจะเป็นข้าที่ต้องไป!”
“หยุดนะ! ข้าอยู่นี่!”
ในตอนนั้นเอง เสียงเข้มแข็งหนักแน่นของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น ตี้อู่เฮ่ออี้และเชียนเย่เสวี่ยหันขวับไปมองเขาพร้อมกัน พบว่าเขาคืออวี้ซิงฉงนั่นเอง
ขณะเดียวกัน สุ่ยเยว่เอ๋อร์เองก็ก้าวออกมาเช่นกัน
“สุ่ยเจียง ปล่อยเด็กเดี๋ยวนี้นะ!”
“เยว่เอ๋อร์! เพราะอะไร?”
เมื่อได้ยินเสียงของสุ่ยเยว่เอ๋อร์ อวี้ซิงฉงก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ที่เขาก้าวออกมาก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของสุ่ยเจียง ล่อพวกมันสี่คนออกไป เปิดโอกาสให้ตี้อู่เฮ่ออี้ เชียนเย่เสวี่ยและสุ่ยเยว่เอ๋อร์มีเวลาเพียงพอที่จะหลบหนี ไหนเลยจะคาดคิดว่าสุ่ยเยว่เอ๋อร์จะทำเช่นนี้
“ซิงฉง ข้าจะปล่อยให้เจ้าไปเผชิญอันตรายเพียงลำพังได้อย่างไรกัน!”