ตอนที่ 137-2 จากตาย

จำนนรักชายาตัวร้าย

เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ สุนัขดมกลิ่นตัวนั้นก็เดินกลับมา

 

 

“ไม่มี?’

 

 

เมื่อเจ้าสุนัขดมกลิ่นของตนไม่ได้เบาะแสอะไรกลับมาเลย สุ่ยเจียงก็หัวเสียเป็นอย่างมาก

 

 

เขาเองก็น่าจะคาดเดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่า ตี้อู่เฮ่ออี้เป็นหมอ เขาคงจะทำอะไรสักอย่าง ดังนั้นตลอดทางที่มาเจ้าสุนัขดมกลิ่นถึงตามกลิ่นของพวกมันไม่เจอ

 

 

เหลือบมองไปยังเรือข้ามฟากที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ หากว่าเขาหาพวกมันไม่พบ ต้องเกิดเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน

 

 

คิดได้ดังนั้น สุ่ยเจียงจึงก้าวเดินไปด้านหน้าสองสามก้าว แล้วกวาดสายตามองไปยังกลุ่มคนที่รอข้ามฟาก

 

 

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยู่ในนั้น! ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะออกมาเอง จะไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน!”

 

 

คำพูดของสุ่ยเจียงทำให้เชียนเย่เสวี่ยชะงัก

 

 

‘เขาพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?’

 

 

‘ทำให้ใครเดือดร้อนกัน?’

 

 

ขณะที่เชียนเย่เสวี่ยยังไม่เข้าใจในสิ่งที่สุ่ยเจียงกำลังสื่อสารออกมานั่นเอง สุ่ยเจียงก็คว้าเด็กน้อยคนหนึ่งขึ้นมา แล้วยกเด็กน้อยขึ้นเหนือศีรษะด้วยมือเดียว

 

 

“ท่านจักรพรรดิอาวุโสท่านนี้ ท่านจะทำอะไร? ท่านรีบปล่อยลูกข้าเถิด”

 

 

ชายหนุ่มวัยกลางคนมองดูสุ่ยเจียงที่กำลังยกเด็กชายตัวน้อยขึ้นเหนือศีรษะด้วยความร้อนใจ เขาไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกัน เหตุใดจักรพรรดิอาวุโสแซ่สุ่ยผู้นี้จึงต้องแย่งเอาบุตรชายของเขาไปด้วย

 

 

สุ่ยเจียงหาได้สนใจชายผู้นั้นแต่อย่างใด เขาดึงที่คอเสื้อของเด็กชาย มองไปยังกลุ่มคนที่เตรียมข้ามฟากเหล่านั้น

 

 

“หากพวกเจ้าไม่ออกมา ข้าจะสังหารพวกเขาเสีย!”

 

 

กล่าวจบ สุ่ยเจียงก็จับเด็กน้อยผู้นั้นทุ่มลงกับพื้นอย่างแรง

 

 

“ตึ่ง——”เสียงดังสนั่น เด็กน้อยยังไม่ทันแม้แต่จะร้องออกมา ศีรษะก็กระแทกลงกับพื้นจนแตกกระจาย สิ้นใจตายอย่างน่าอนาถต่อหน้าต่อตาชายวัยกลางคนผู้นั้น

 

 

“ลูกข้า! ลูกชายของข้า!” ชายวัยกลางคนเห็นเหตุการณ์ตรงหน้านั้น ก็ร้องแรกแหกกระเชิงขึ้นมาราวกับเป็นบ้าคลั่งก็ไม่ปาน

 

 

“เจ้าฆ่าลูกชายของข้า! ข้าจะแก้แค้นให้กับลูกชายของข้า!”

 

 

ชายวัยกลางคนผู้นั้นชักดาบออกมา แล้วจ้วงแทงไปยังสุ่ยเจียง

 

 

“เฮอะ! แค่ปรมาจารย์ตัวเล็กๆ ยังกล้ามาบังอาจมาเหิมเกริมต่อหน้าข้า!”

 

 

สุ่ยเจียงสบถออกมา แล้วฟันฉับไปที่แขนของชายผู้นั้นจนขาดสะบั้น

 

 

เขาไม่รีบร้อนที่จะสังหารชายผู้นั้นในทันที ตรงกันข้ามวินาทีชายผู้นั้นพยายามโซซัดโซเซชันกายลุกขึ้นมานั่นเอง สุ่ยเจียงก็ฟันฉับเข้าที่ขาข้างหนึ่งของเขาจนขาดวิ่นอีกครั้ง

 

 

สุ่ยเจียงกระทำเช่นนี้ก็เพื่อข่มขู่ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักโทษทั้งสี่คนนั้นที่หลบหนีออกมาซึ่งซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคนที่กำลังจะข้ามฟากเหล่านั้น!

 

 

ไม้นี้เขาเรียกว่า เชือดไก่ให้ลิงดู!

 

 

ชายวัยกลางคนที่แขนข้างหนึ่งและขาข้างหนึ่งถูกตัดจนขาดนอนเลือดท่วมตัวอยู่ที่พื้น ดวงตาทั้งสองข้างเบิ่งกว้าง

 

 

“ลูกชายของข้า! เอาลูกชายของข้าคืนมา!” ชายผู้นั้นพยายามชันกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ทว่ากลับถูกสุ่ยเจียงตวัดดาบฟันแขนข้างที่เหลือที่กำลังจับดาบเอาไว้จนขาดกระเด็น

 

 

“อ๊าก——”

 

 

เสียงร้องโหยหวนของเขาดังลั่นไปทั่วทั้งริมแม่น้ำฮาซือถู

 

 

สุ่ยเจียงเลิกคิ้วขึ้น พร้อมๆกับตวัดดาบตัดศีรษะของชายผู้นั้นออกมา

 

 

ศีรษะมนุษย์ที่โชกชุ่มไปด้วยเลือดกลิ้งลุนๆไปหยุดลงที่ตรงหน้าของเจ้าสุนัขดมกลิ่น ทันใดนั้นสุนัขดมกลิ่นก็งับหัวของชายวัยกลางคนนั่นเอาไว้ จากนั้นก็กัดกินหัวมนุษย์ตรงหน้าราวกับเป็นอาหารอันโอชะของมันอย่างเอร็ดอร่อยเข้าไปคำแล้วคำเล่า

 

 

สุ่ยเจียงทำราวกับเห็นภาพอันน่าสยดสยองนี้เสียจนเคยชินอย่างไรอย่างนั้น เพราะเขากลับยืนเป่าหยดยังเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่บนดาบของตนให้หมดไปอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ

 

 

“ข้าบอกแล้วว่า หากพวกเจ้าไม่ยอมออกมา ข้าก็จะฆ่าคนไปเรื่อยๆ และจะหยุดก็ต่อเมื่อ…ทุกคนตายหมดแล้วเท่านั้น ข้าจะนับหนึ่งถึงสามหากพวกเจ้ายังไม่ออกมาละก็ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”

 

 

กล่าวจบสุ่ยเจียงก็แย่งเอาเด็กหญิงวัยหกขวบมาจากอ้อมอกของมารดา

 

 

“แม่! ท่านแม่ช่วยข้าด้วย!”

 

 

เด็กหญิงตัวน้อยราวกับรู้ว่าตนเองจะต้องพบเจอกับอะไร จึงพยายามดิ้นรนสุดแรงเกิด

 

 

“นายท่าน ขอร้องท่านละ ปล่อยลูกข้าน้อยไปเถอะ! ขอร้องท่านละ!”

 

 

หญิงผู้เป็นแม่รู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจักรพรรดิอาวุโสเป็นแน่ ดังนั้นจึงรีบคุกเข่าลงโขกศีรษะร้องขอชีวิตบุตรสาวทันที

 

 

คนทั้งสี่ที่ท่าทางน่าเกรงขามนี้เหล่าล้วนแต่เป็นจักรพรรดิอาวุโสทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นคนของสกุลสุ่ยอีกด้วย

 

 

สกุลสุ่ย หนึ่งในตระกูลใหญ่ทั้งแปดแห่งอู๋โยว ไหนเลยที่ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเขาจะล่วงเกินได้เล่า!

 

 

“แม่ ช่วยข้าด้วย! ท่านแม่…”

 

 

เด็กหญิงตัวน้อยร้องไห้ออกมาอย่างน่าเวทนา เมื่อครู่นางเห็นสุ่ยเจียงสังหารเด็กชายและพ่อของเขากับตา จึงเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวจนแทบทนไม่ไหว

 

 

“ฮือๆ…”

 

 

เสียงเด็กร้องไห้ของเด็กหญิงตัวน้อย กระตุ้นอารมณ์โกรธเคืองของสุ่ยเจียงได้เป็นอย่างดี

 

 

เขามองดูหญิงผู้เป็นแม่ที่คุกเข่าอ้อนวอนตนเอง ก็หัวเราะออกมาด้วยความเพชเวทนา

 

 

“เจ้าไม่ควรที่จะมาขอร้องข้า! ข้ารับคำสั่งจากนายท่านให้มาไล่ล่านักโทษที่หนีออกมา พวกมันปะปนอยู่ในบรรดาพวกเจ้า เจ้าจึงควรที่จะไปขอร้องพวกมันต่างหาก!”

 

 

“พวกมันต่างหากคือผู้ที่กุมชะตาชีวิตของพวกเจ้า!”

 

 

เมื่อได้ฟังคำของสุ่ยเจียง หญิงผู้นั้นก็หันหน้าไปโขกศีรษะคำนับกลุ่มผู้คนที่กำลังจะข้ามฟากนั้นแทน

 

 

“ข้าขอร้องพวกท่านละ รีบออกมาเถิด! ลูกสาวของข้ายังเล็ก ยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้นเอง! ขอร้องพวกท่านละ!”

 

 

หญิงผู้นั้นพูดขอร้องไป พลางโขกศีรษะคำนับกับพื้นอย่างแรงไปด้วย

 

 

หินที่ริมแม่น้ำบาดศีรษะของนางจนเป็นแผลที่ศีรษะ เลือดค่อยๆไหลออกมาจนกระทั่งไม่นานก็ไหลท่วมทั้งใบหน้าของนาง

 

 

“พวกท่านโปรดช่วยข้า ช่วยชีวิตลูกสาวของข้าด้วยเถิด!”

 

 

เสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของหญิงผู้นั้น บาดหัวใจพวกของตี้อู่เฮ่ออี้ยิ่งนัก

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตี้อู่เฮ่ออี้ เขาเกิดที่เผ่าตันซ้าย เขาเป็นหมอ ตั้งแต่เล็กจนโตถูกสั่งสอนให้ช่วยชีวิตรักษาผู้คน ตี้อู่เฮ่ออี้จึงไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันใดวันหนึ่งตนเองจะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน

 

 

“เจ้าทึ่ม!” เมื่อเห็นว่าตี้อู่เฮ่ออี้เตรียมที่จะก้าวออกไป เชียนเย่เสวี่ยก็คว้ามือห้ามเขาเอาไว้

 

 

“เสวี่ย ข้ามิอาจยืนมองเด็กคนนั้นต้องตายไปต่อหน้าต่อตายได้!” ตี้อู่เฮ่ออี้หันหน้ากลับมาสบสายตาที่ร้อนใจของเชียนเย่เสวี่ย นางจึงเอื้อมมือออกมากุมมือเชียนเย่เสวี่ยเอาไว้

 

 

“ข้าเป็นหมอ ยังมีประโยชน์กับพวกมันบ้าง ต่อให้พวกมันจับข้าได้ พวกมันก็ไม่มีทางทำอะไรข้าหรอก!’

 

 

“ไม่!”

 

 

เชียนเย่เสวี่ยรู้ในทันทีว่าตี้อู่เฮ่ออี้คิดจะเสียสละตัวเอง เพื่อให้เพื่อนที่เหลือปลอดภัย แล้วนางจะทนมองตี้อู่เฮ่ออี้ไปตายต่อหน้าต่อตาได้อย่างไรกัน

 

 

สุ่ยเจียงเป็นบ้าไปแล้ว!

 

 

แม้กระทั่งเด็กน้อยคนหนึ่ง ยังไม่ยอมไว้ชีวิต เขาจะต้องทำร้ายตี้อู่เฮ่ออี้อย่างแน่นอน และเชียนเย่เสวี่ยจะไม่ยอมเด็ดขาด!

 

 

“เจ้าทึ่ม เจ้าฟังข้านะ หากต้องออกไปก็เป็นข้าที่ต้องไป!”

 

 

แววตาของเชียนเย่เสวี่ยแน่วแน่

 

 

“ข้าวรยุทธ์สูงกว่าเจ้ามากนัก! ควรจะเป็นข้าที่ต้องไป!”

 

 

“หยุดนะ! ข้าอยู่นี่!”

 

 

ในตอนนั้นเอง เสียงเข้มแข็งหนักแน่นของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น ตี้อู่เฮ่ออี้และเชียนเย่เสวี่ยหันขวับไปมองเขาพร้อมกัน พบว่าเขาคืออวี้ซิงฉงนั่นเอง

 

 

ขณะเดียวกัน สุ่ยเยว่เอ๋อร์เองก็ก้าวออกมาเช่นกัน

 

 

“สุ่ยเจียง ปล่อยเด็กเดี๋ยวนี้นะ!”

 

 

“เยว่เอ๋อร์! เพราะอะไร?”

 

 

เมื่อได้ยินเสียงของสุ่ยเยว่เอ๋อร์ อวี้ซิงฉงก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก

 

 

ที่เขาก้าวออกมาก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของสุ่ยเจียง ล่อพวกมันสี่คนออกไป เปิดโอกาสให้ตี้อู่เฮ่ออี้ เชียนเย่เสวี่ยและสุ่ยเยว่เอ๋อร์มีเวลาเพียงพอที่จะหลบหนี ไหนเลยจะคาดคิดว่าสุ่ยเยว่เอ๋อร์จะทำเช่นนี้

 

 

“ซิงฉง ข้าจะปล่อยให้เจ้าไปเผชิญอันตรายเพียงลำพังได้อย่างไรกัน!”