ตอนที่ 1144 คนที่แข็งแกร่งกว่า โดย Ink Stone_Fantasy
ในขณะที่โรแลนด์กำลังมองดูแขกคนอื่นๆ ภายในกลุ่มแขกก็มีคนกำลังจับตาดูเขาอยู่เหมือนกัน
“เป็นยังไงบ้าง ได้ข้อมูลของเขาไหม?” การ์เวนถามลูกน้องเสียงเบาๆ
“ได้ครับ” อีกฝ่ายกระซิบรายงานข้างหูเขา “ชาติตระกูลกับประวัติความเป็นมาต่างก็ธรรมดาอย่างมาก ที่เขากลายเป็นเพื่อนบ้านของคุณหนูก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญ ในทำเนียบอันดับผู้ฝึกยุทธ์ก็ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับโรแลนด์อยู่เลย เขาน่าจะไม่เคยลงแข่งต่อสู้แม้แต่ครั้งเดียว แล้วก็เพิ่งจะเข้ามาสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เมื่อสามเดือนก่อนนี้เอง เรื่องแบบนี้มีให้เห็นไม่บ่อยเท่าไรเลยครับ”
ถึงแม้การ์เวนจะไม่มีพลังแห่งธรรมชาติ แต่เขาก็รู้เรื่องเกี่ยวกับการแข่งขันต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นรายการแข่งขันที่ได้รับความนิยมมากที่สุด กฎเกณฑ์และขั้นตอนต่างๆ ในการแข่งขันล้วนแต่เป็นสิ่งที่หลายๆ คนรู้กันดี นอกจาก ‘การแข่งขันชิงแชมป์ผู้ฝึกยุทธ์’ที่เป็นการแข่งขันรายการใหญ่ที่สุดที่จัดขึ้นทุกๆ สองปีแล้ว การแข่งขันอื่นๆ ล้วนแต่ถือว่าเป็นการแข่งขันรอบคัดเลือก รายการการแข่งขันนั้นมีเยอะแยะมากมาย ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์หน้าใหม่ที่เพิ่งตื่นรู้ก็สามารถลงแข่งรายการระดับต้นที่จัดขึ้นแทบจะทุกเดือนได้
ปกติแล้วผู้ฝึกยุทธ์หน้าใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในสมาคมมักอยากจะรีบๆ ขึ้นเวทีไปแข่ง เพื่อที่จะได้เพิ่มระดับความสามารถและเพิ่มอันดับของตัวเอง เพราะนั่นหมายถึงสถานะและรายได้ที่มากขึ้น มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ที่เพิ่งมาเข้าสมาคมกลางคันถึงจะปฏิเสธการแข่งขันที่ได้แสดงความสามารถให้ทุกคนได้ดูแบบนี้ แต่ตัวการ์เวนกลับคิดว่าคนเหล่านั้นคงจะทำอะไรผิดมาถึงได้ไม่กล้าเปิดเผยใบหน้าตัวเองต่อหน้ากล้องมากกว่า
ในฐานะที่เป็นพี่ของการ์เซีย การ์เวนย่อมต้องค่อนข้างสนใจคนที่น้องสาวเลือกให้มาร่วมงานเลี้ยงแทนอย่างแน่นอน เท่าที่เขาจำได้ การ์เซียนั้นเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ยาก เพราะว่าเธอค่อนข้างรั้นในความเชื่อของตัวเอง จึงทำให้ระหว่างเธอกับคนนอกนั้นมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นอยู่ การจะข้ามกำแพงที่ว่านั้นมีแต่จะทำให้เกิดความกดดันกับทั้งสองฝ่าย ด้วยเหตุนี้คนที่ได้รับความเชื่อใจจากเธอจึงมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
การ์เวนไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่การ์เซียกับพ่อของเธอจะทะเลาะกันจนถึงทุกวันนี้ เธออาจจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ดี แต่เธอไม่ใช่นักธุรกิจที่ดีอย่างแน่นอน
แต่ว่านี่ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่เขามาตรวจสอบอีกฝ่าย อย่างมากก็เรียกได้ว่าเป็นแค่เหตุผลหนึ่งเท่านั้น
ส่วนเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาต้องมาตรวจสอบโรแลนด์นั้นอยู่ที่โต๊ะ VIP ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของงานเลี้ยง
เขามองไปยังผู้หญิงที่สวมชุดสีขาวทั้งตัวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะ VIP ชุดผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่มีเครื่องประดับแม้แต่ชิ้นเดียวทำให้เธอดูมีราศีขึ้นมากกว่าเดิม ผมยาวสีดำสยายลงมาเหมือนกับน้ำตก เพียงแค่แผ่นหลังของเธอก็ทำให้คนที่เห็นพากันส่งเสียงอุทานออกมาได้แล้ว
เฟยอวี่หาน ดาวดวงใหม่ที่เป็นที่จับตามองมากที่สุดของการแข่งขันประลองยุทธ์ นับตั้งแต่ตอนที่เธอปรากฏตัวบนเวทีจนถึงตอนนี้เพิ่งจะผ่านมาแค่ 5 ปีเท่านั้น แต่เธอกลับเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศการแข่งขันประลองยุทธ์ได้ถึงสองครั้ง ถึงแม้จะไม่สามารถคว้าแชมป์มาได้ แต่คนส่วนใหญ่ต่างก็คิดว่านั่นเป็นเพราะเธออายุน้อยเกินไปและยังขาดประสบการณ์เท่านั้น ขอเพียงให้เวลาเธอมากกว่านี้ เธอจะต้องกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแน่นอน พรสวรรค์ที่โดดเด่นเช่นนี้ทำให้ทำถูกมองว่าเป็นตัวเองของอัจฉริยะรุ่นใหม่ ถึงกับมีคนพูดว่าวันที่เธอคว้าแชมป์มาได้ก็คือวันที่เธอจะได้เข้าไปนั่งในตำแหน่งระดับสูงของเมืองปริซึม
เดิมเขาคิดว่าคนแบบนี้จะไม่มีทางสนใจคำเชิญของกลุ่มทุนโคลฟเวอร์ แต่คิดไม่ถึงเลยเธอจะมางานนี้ด้วยตัวเอง นี่ทำให้พ่อของเขาดีใจอย่างมาก
ถ้ามีเฟยอวี่หานมาร่วมงาน งานเลี้ยงครั้งนี้จะต้องกลายเป็นพาดหัวข่าวที่ทุกคนต่างจับตามองที่สุดในช่วงนี้แน่
แต่ในตอนที่เขากำลังหาจังหวะจะเข้าไปคุยกับเธอ เขากลับได้รับการไหว้วานจากเธอให้ไปทำภารกิจที่คาดไม่ถึง
การ์เวนสะกดความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
“คุณเฟยอวี่หาน เรื่องที่คุณให้ผมไปสืบมา…”
“ไม่ต้องพูดซ้ำแล้ว ฉันได้ยินหมดแล้ว” เธอพูดตัดบท จากนั้นยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ขอบคุณนะ”
ดะ ได้ยินแล้ว? การ์เวนหันกลับไปมองตำแหน่งที่ตัวเองยืนอยู่เมื่อครู่อย่างตกใจ นี่มันห่างกันเกือบสิบเมตร แถมยังอยู่ในงานเลี้ยงที่มีเสียงพูดคุยวุ่นวาย ผู้ฝึกยุทธ์มีความสามารถในการรับรู้ที่ไวขนาดนี้จริงๆ เหรอเนี่ย? นี่มัน…ไม่ใช่คนแล้ว!
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะได้ยินทุกอย่าง ถึงแม้หูจะทำได้ แต่สมองก็ประมวลผลไม่ทัน” น่าจะเป็นเพราะมองเห็นถึงความประหลาดใจของเขา เฟยอวี่หานจึงอธิบายให้เขาฟัง “ตอนที่ลูกน้องของคุณเข้ามาใกล้ ฉันก็ได้ทำการเพิ่มสมาธิ จากนั้นก็รวบรวมสมาธิเพ่งออกไป ทำให้ฉันเห็นสิ่งที่พวกคุณคุยกันทั้งหมดผ่านทางรูปปาก เสียง แล้วก็สีหน้า สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
“อย่าง อย่างนี้นี่เอง…สมแล้วที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ทุกคนยกย่องว่าแข็งแกร่งมากที่สุด” การ์เวนยิ้มแห้งๆ ขึ้นมา
“แข็งแกร่งที่สุด?” เสียงของเธอสดใสเหมือนเสียงกระดิ่ง “ฉันยังไม่ได้ถ้วยแชมป์ใบนั้นมาเลยนะ”
“ช้าเร็วคุณก็ต้องได้แน่นอน นอกจากคุณแล้วยังจะมีใครที่สามารถขึ้นไปยืนบนเวทีรอบชิงชนะเลิศได้ตั้งแต่ปีแรกที่ตื่นรู้กันล่ะ ต่อให้เป็น ‘ผู้คุม’ ของเมืองปริซึม….” ในขณะที่พูดไป เสียงของการ์เวนก็ค่อยๆ เบาลง
ถึงแม้เฟยอวี่หานจะเหมือนกำลังฟังเขาพูดอยู่ แต่สีหน้าที่ดูเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มของเธอกลับทำให้เขาเกิดความรู้สึกเหมือนถูกมองข้าม เหมือนกับว่าเธอยิ้มแค่พอเป็นมารยาทเท่านั้น ความจริงแล้วเธอไม่ได้สนใจในสิ่งที่ตัวเขาพูด แล้วก็ไม่ได้อยากจะคุยกับเขาต่อไปอย่างไรอย่างนั้น
เขารู้ทันทีว่าคำพูดขอบคุณของอีกฝ่ายที่พูดมาในตอนแรก ความจริงแล้วเป็นเหมือนคำพูดสำหรับจบบทสนทนา คำอธิบายหลังจากนั้นก็แค่เห็นแก่หน้าของกลุ่มทุนโคลฟเวอร์ที่เป็นเจ้าภาพจัดงานเท่านั้น แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นเธอก็ยังพูดอธิบายมาแค่ประโยคสองประโยค
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ภายในใจเขาก็เกิดความรู้สึกโกรธขึ้นมา ตัวเขาซึ่งเดินไปที่ไหนก็ได้รับการยกย่องจากคนอื่นกลับต้องมาโดนมองข้ามแบบนี้!
แต่ความโกรธเพิ่งจะพุ่งขึ้นมา การ์เวนก็พยายามกดมันลงไป
สมาคมผู้ฝึกยุทธ์นั้นเป็นองค์กรที่กลุ่มทุนโคลฟเวอร์ไม่อาจผิดใจได้ พวกเขามีเส้นสายในรัฐบาลและอุตสาหกรรมต่างๆ อยู่เต็มไปหมด
ไม่อย่างนั้นพ่อของเขาคงไม่จ่ายเงินตั้งมากมายเพื่อจัดงานเลี้ยงให้คนเหล่านี้แน่
เขาฝืนยิ้มขึ้นมา ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
การเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าเล็กๆ น้อยๆ นี้ย่อมไม่มีทางรอดพ้นสายของเฟยอวี่หานไปได้แน่นอน
เพียงแต่เธอไม่ได้สนใจความคิดของคนธรรมดาเหล่านี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าการกัดกิน ทรัพย์สินและอำนาจล้วนแต่ไม่มีประโยชน์ สิ่งเดียวที่พึ่งพาได้ก็คือพลังของตัวเองเท่านั้น
สายตาเธอมองไปทางโรแลนด์อีกครั้ง
ตอนแรกเธอมาเข้าร่วมงานแค่เพราะทำตามคำสั่งของอาจารย์เท่านั้น เธอไม่รู้ว่าทำไมต้องเอาเวลาฝึกซ้อมอันมีค่ามาเสียไปกับงานเลี้ยงทางสังคมแบบนี้ จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นปรากฏตัวขึ้นมา เธอถึงได้ค่อยๆ รู้สึกสนใจ
เมื่อพลังแห่งธรรมชาติพัฒนาขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง ผู้ตื่นรู้จะสามารถรับรู้ได้ถึงระดับของคู่ต่อสู้ ซึ่งนั่นไม่ใช่ความสามารถที่พิเศษอะไร หากแต่เป็นสิ่งสะท้อนออกมาให้เห็นเมื่อความสามารถในการสังเกตพัฒนาขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง เฟยอวี่หานก้าวขึ้นไปถึงระดับนี้ได้ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน เธอพบว่าขอเพียงไม่ได้อยู่ในเมืองปริซึม คนที่จะเหนือกว่าเธอได้นั้นมีอยู่แค่ไม่กี่คน
แต่ความสามารถในการสังเกตของเธอกลับใช้ไม่ได้ผลเมื่ออยู่ต่อหน้าคนๆ นั้น
การเคลื่อนไหว การพูดจา สายตา การสั่นของผิวหนัง สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เหมือนคนธรรมดาไม่มีผิด มีเพียงการกระเพื่อมของพลังแห่งธรรมชาติเท่านั้นที่เธอสัมผัสมันไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เมื่อมองไม่เห็นการกระเพื่อมของพลังแห่งธรรมชาติ ก็เท่ากับเธอจะขาดเครื่องมือที่จะนำมาใช้วิเคราะห์ ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนธรรมดามันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เมื่อดูจากการดูแลของบริกรแล้ว เธอจึงรู้ว่าเขาก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่ง
ดังนั้นเฟยอวี่หานจึงมาหาการ์เวน
ถึงแม้ข้อมูลพวกนี้เธอจะหาเองได้ แต่เธอกลับชื่นชอบที่จะให้คนอื่นไปทำมันมากกว่า ขอเพียงพูดไปประโยคเดียว พวกเขาก็จะทำในสิ่งที่เธอไหว้วานอย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำได้ดีกว่าเธอด้วย
จากนั้นเธอก็ได้ยินชื่อ ‘โรแลนด์’ จากปากของการ์เวน
ปริศนาทั้งหมดได้รับการคลี่คลายแล้ว
เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้ เฟยอวี่หานได้ยินเรื่องๆ หนึ่งมาจากอาจารย์ของเธอ…นั่นคือเมืองปริซึมมี ‘นักล่า’ คนใหม่ถือกำเนิดขึ้นมา หรือก็คือผู้ฝึกยุทธ์ที่มีใบอนุญาตไล่ล่า เดิมทีนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ทางสมาคมได้มอบอำนาจและสิทธิพิเศษให้กับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์เพื่อให้พวกเขาได้ใช้กำจัดฟอลเลนอีวิลที่ชั่วร้าย ซึ่งนั่นช่วยให้พวกเขากำจัดศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สรุปแล้วก็คือ คนที่สามารถกลายเป็นนักล่าได้นั้นมีจำนวนไม่เยอะ นักล่าที่เธอรู้จักล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์รุ่นพี่ที่มีชื่อเสียง แต่ครั้งนี้กลับมีการมอบใบอนุญาตล่าให้กับผู้ฝึกยุทธ์หน้าใหม่ที่เพิ่งจะเข้าสมาคมมาได้ไม่นาน!
ถ้าไม่เป็นเพราะสถานะของนักล่าถูกสมาคมเก็บเอาไว้เป็นข้อมูลลับล่ะก็ เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้เกิดความแตกตื่นอย่างมากแน่ เพราะว่าในสมาคมนั้นมักจะมองว่าคนที่ถือใบอนุญาตไล่ล่านั้นเป็นนักสู้ที่อยู่ในระดับเดียวกับแชมป์จากการแข่งขันต่อสู้ เผลอๆ นักล่าอาจจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าด้วย การมอบใบอนุญาตไล่ล่าให้สมาชิกใหม่ครั้งนี้จึงหมายความว่ามีคนที่เพิ่งจะตื่นรู้ขึ้นมาก็สามารถคว้าถ้วยแชมป์จากการแข่งขันมาได้ นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก!
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เรื่องที่ตัวเองผ่านเข้าไปแข่งถึงรอบชิงชนะเลิศถึงสองสมัยได้ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย
และนักล่าคนที่ว่านั้นชื่อโรแลนด์
เฟยอวี่หานยื่นมือกว่าออกมากำไว้แน่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของผู้คุม เธอจึงพอจะได้ยืนเรื่องราวความขัดแย้งของฝ่ายนักสู้ยุคเก่ากับยุคใหม่มาบ้าง และหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ยังคงถกเถียงกันไม่จบก็คือผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายไหนกันแน่ที่แข็งแกร่งกว่ากัน? เป็นนักสู้ที่แท้จริงที่ยืนอยู่บนเส้นแบ่งแห่งความเป็นความตาย พยายามใช้ทุกวิธีทางในการสู้กับฟอลเลนอีวิล หรือว่านักต่อสู้ที่ฝึกฝนวิชาการต่อสู้ของตัวเองอยู่ทุกวัน แล้วก็ต่อสู้กับคู่ต่อสู้ไม่ซ้ำหน้าบนเวทีอย่างยุติธรรม?
โดยแบบแรกนั้นเหมือนเป็นการทดสอบความสามารถส่วนบุคคลมากกว่า พวกเขาจะสู้กับฟอลเลนอีวิล แต่บางครั้งผ่านไปหลายเดือนก็ไม่แน่ว่าจะได้สู้กับพวกมัน สำหรับหลายๆ คนแล้วการต่อสู้ครั้งแรกอาจจะกลายเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายก็ได้ ส่วนฝ่ายหลังนั้นถึงแม้จะเอาเวลาส่วนใหญ่ไปใช้ในการฝึกซ้อม แต่กฎเกณฑ์ที่กำหนดออกมาโดยคำนึงถึงความปลอดภัยนั้นไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ไม่สามารถแสดงพลังได้อย่างเต็มที่ หากแต่ยังจะทำให้พวกเขาเกิดความเคยชินไปด้วย เมื่อเจอกับคู่ต่อสู้ที่ไม่ตายไม่ยอมเลิกราอย่างฟอลเลนอีวิลก็อาจจะทำให้เกิดความลนลานได้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีผู้สนับสนุนอยู่ไม่น้อย แล้วเป็นการยากที่จะได้รับคำตอบที่แน่ชัดผ่านการฝึกฝน
แต่ตอนนี้เหมือนจะมีมาตรฐานที่ใช้เปรียบเทียบออกมาแล้ว
โรแลนด์ที่ไม่เคยเข้าร่วมการต่อสู้ แล้วก็สู้กับฟอลเลนอีวิลมาโดยตลอดหลังจากตื่นรู้ขึ้นมานั้นจัดอยู่ในพวกนักสู้ยุคเก่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนตัวเอง ในสายตาของอื่นๆ นั้นมองว่าเป็นนักสู้ยุคใหม่
ที่อาจารย์ให้เธอมาร่วมงานเลี้ยงนี้ เกรงว่าในใจของอาจารย์คงจะคิดถึงเรื่องนี้เอาไว้แน่ พวกเธอเป็นทั้งเพื่อนร่วมสมาคม แล้วก็เป็น ‘ตัวแทน’ ของทั้งสองฝ่าย มาทำความคุ้นเคยกันเอาไว้ก่อนก็ไม่เลวเหมือนกัน
เสียดายที่เฟยอวี่หานไม่ได้สนใจเรื่องความขัดแย้งนี้เท่าไร เธอไม่คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองนั้นเป็นนักสู้ยุคใหม่ ถ้าไม่เป็นเพราะอาจารย์สั่งกำชับไม่ใช่เธอไปจัดการกับฟอลเลนอีวิลตามลำพัง เธอเองก็อยากจะหาโอกาสสู้กับฟอลเลนอีวิลดูเหมือนกัน
เหมือนอย่างโรแลนด์
ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว เธอแค่อยากรู้ว่าใครแข็งแกร่งมากกว่ากัน
โชคดีที่เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว อีกฝ่ายไม่ทำให้เธอผิดหวัง
ถ้าเป็นพวกผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ ในงานเลี้ยงที่ถูกเธอตรวจสอบดูจนทะลุปรุโปร่งเหล่านั้น เฟยอวี่หานได้จำลองผลการต่อสู้กับพวกเขาเอาไว้ในหัวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลงมือก่อนหรือว่าลงมือทีหลัง เธอก็มีโอกาสชนะสูงมาก แต่เธอไม่สามารถวิเคราะห์ดูระดับของโรแลนด์ได้ สถานการณ์ในการต่อสู้ก็ไม่สามารถจำลองออกมาได้
พูดอีกอย่างก็คือตอนนี้ทั้งสองคนต่างมีฝีมือเสมอกัน
เฟยอวี่หานยิ้มมุมปากขึ้นมา งานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ได้น่าเบื่อเหมือนที่เธอคิดเอาไว้เสียแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังได้ยินคำพูดที่น่าสนใจออกมาจากปากของเด็กผู้หญิงสามคนที่มาด้วยกันกับเขา
อย่างเช่น “โลกแห่งความฝัน”
อย่างเช่น “ฝ่าบาท”
นี่เป็นเกมแบบใหม่งั้นเหรอ?
แต่เมื่อดูจากสีหน้าของเด็กผู้หญิง พวกเธอดูไม่เหมือนนักแสดงละครอะไรแบบนั้นเลย
ถ้ามีโอกาสได้ถามเขาซึ่งๆ หน้าก็คงจะดี
เธอดึงสายตากลับมา พร้อมกับเก็บคำถามเหล่านี้เอาไว้ในใจ
….
หลังชิมอาหารจนครบทุกโต๊ะแล้ว ในที่สุดโรแลนด์ก็ได้พบกับเจ้าของงานที่เขาอยากจะเจอ
พ่อของการ์เซียกำลังเดินขึ้นไปบนเวทีที่ตั้งอยู่ตรงกลางของงานเลี้ยงท่ามกลางเสียงปรบมือ
……………………………………………………….