เมื่อมาถึงหน้าประตูทางเข้าหมู่ตึก
ซินเยว่เยี่ยนหันกลับไปมองเยี่ยเม่ยและจงรั่วปิง “พวกเจ้าไปพักผ่อนก่อน ข้าจะไปทักทายอู๋เหินเสียหน่อย ตอนที่เจ้าขอยา เขาจะได้ไม่สร้างความลำบากให้เจ้า”
“อืม”
เยี่ยเม่ยไม่ปฏิเสธข้อเสนอ อาศัยความสัมพันธ์อย่างไรก็ดีกว่าบุกเข้าไปตรงๆ
หลังจากเข้าประตูไปแล้ว คนจำนวนไม่น้อยค้อมเอวคารวะซินเยว่เยี่ยน “ผู้อาวุโส”
ซินเยว่เยี่ยนพยักหน้า ถามว่า “ท่านประมุขเล่า”
“คุณชายซ่งมาเยี่ยม ท่านประมุขกำลังรับแขกอยู่ เกรงว่าช่วงค่ำถึงจะมีเวลาว่าง” องครักษ์ผู้หนึ่งตอบ
ซินเยว่เยี่ยนหน้าคล้ำ “เป็นเจ้าสารเลวซ่งอวี้เชวียอีกแล้วอย่างนั้นหรือ”
องครักษ์ไอแห้งๆ คำหนึ่ง “แค่ก…ใช่ขอรับ คือคุณชายซ่ง”
ความจริงองครักษ์ไม่เข้าใจมาตลอดว่า ทำไมผู้อาวุโสถึงได้รังเกียจคุณชายซ่งมากนัก ทั้งๆ ที่คุณชายซ่งก็เคารพผู้อาวุโสราวกับพี่สาวก็ไม่ปาน
“ซ่งอวี้เชวียหรือ นั่นคืออันดับหนึ่งของแปดอัจฉริยะแห่งเจียงหนาน หรือก็คืออัจฉริยะอันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างนั้นน่ะหรือ” จงรั่วปิงถามด้วยความแปลกใจ
“ใช่” ซินเยว่เยี่ยนพยักหน้าด้วยความขุ่นเคือง
จงรั่วปิงยิ่งไม่เข้าใจ “ทำไมเจ้าถึงได้เกลียดเขาถึงขั้นนี้เล่า”
“ก็เพราะว่าทุกครั้งที่เขามาล้วนแล้วแต่ล่อลวงอู่เหินทั้งสิ้น บอกว่าใต้หล้านี้มีดอกไม้งามจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ค่อยๆ ชื่นชมหญิงงามอย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว อย่างไรเสียหญิงงามเมื่อชื่นชมนานวันเข้าก็จะเบื่อหน่ายไปเอง ดังนั้นอย่าได้คิดจะแต่งงานเด็ดขาด เดิมทีอู๋เหินก็มีนิสัยเฉยชาอยู่แล้ว ภายใต้การชักนำของเจ้าสารเลวนี่ เรื่องแต่งงานก็ยิ่งห่างออกไปไกลขึ้นทุกที” ซินเยว่เยี่ยนพูดไปใบหน้าก็เป็นสีเขียวคล้ำ
หลังจากเอ่ยจบ นางก็ขยี้เท้าอย่างแรงทีหนึ่ง “ไม่ได้แล้ว ข้าต้องรีบจับเจ้าสารเลวนั่นโยนออกไป”
พูดแล้ว นางก็หันขวับมององครักษ์ผู้นั้น “ต้อนรับแม่นางทั้งสองให้ดี ข้าไปเดี๋ยวเดียวค่อยกลับมา”
ครั้นเอ่ยจบ นางก็เดินจากไปคล้ายกับกระแสลมหอบหนึ่ง
เยี่ยเม่ยอยากร้องไห้ก็ไม่ได้ หัวเราะก็หัวเราะไม่ออก เดินเข้าห้องที่องครักษ์จัดเตรียมไว้พร้อมกับจงรั่วปิง หลังจากเขาไปแล้ว จึงถามขึ้นว่า “จริงสิ หลายวันนี้ข้าอยากถามเจ้ามาตลอด ทำไมเจ้าถึงกลับมาช่วยข้า”
“ยังไม่ใช่เพราะท่านพ่อข้าอีกหรือไง เขาบอกว่าเจ้าคู่ควรคบหาเป็นสหาย ดังนั้น…” จงรั่วปิงมีสีหน้าจนปัญญา ทว่าก็มั่นใจว่าเยี่ยเม่ยคู่ควรกับการคบหาเป็นสหายจริงๆ
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “คิดไม่ถึงว่าท่านพ่อของเจ้าอยู่ห่างไปพันลี้ ยังสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ประจำตัวของข้า ท่านพ่อของเจ้าช่างมีสายตาแหลมคมนัก ข้าเลื่อมใสเขา”
จงรั่วปิงหมดคำพูด
นางรู้สึกว่าเยี่ยเม่ยมั่นใจในตัวเองเกินไป ถึงขั้นที่ว่าไม่มีทางถอยกลับเสียแล้ว
แต่คำพูดนี้ก็ไม่มีปัญหาตรงไหน…
เยี่ยเม่ยทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ชื่นชมทิวทัศน์งดงามด้านนอก สวนดอกไม้จัดได้วิจิตรสวยงามเป็นอย่างยิ่ง พอให้ดูออกว่าเจ้านายของหมู่ตึกนี้เป็นคนมีรสนิยมสูง
เยี่ยเม่ยชื่นชม “ดูจากการตกแต่งและความหรูหราของที่นี่แล้ว เรียกได้ว่าวิจิตรงดงามเลยทีเดียว”
“ถูกต้อง สามารถเทียบกับวังหลวงได้ด้วยซ้ำ” จงรั่วปิงเสนอความเห็น อย่างไรนางก็เป็นคนที่เคยเข้าวังมาก่อน ยื่นมือชี้ไปที่ดอกไม้ด้านนอก “มีดอกไม้มีชื่อเสียงชนิดหนึ่งของที่นี่ ในวังยังมีแค่สองต้นเท่านั้น ดูท่าหมู่ตึกกูเยว่สมกับคำเล่าลือจริงๆ ร่ำรวยมากจริงๆ”
เยี่ยเม่ยก็เป็นคนรู้จักดอกไม้ พยักหน้า “เจ้าพูดไม่ผิด”
จงรั่วปิงเอ่ยปากว่า “ข้าขอไปเดินเล่นข้างนอกก่อน เจ้าอยู่ที่นี่รอซินเยว่เยี่ยนกลับมาก็แล้วกัน”
“ได้”
จงรั่วปิงออกจากประตู
เยี่ยเม่ยรอซินเยว่เยี่ยนสักพักหนึ่ง ก็ไม่มีเรื่องอะไรอื่น จึงนั่งลงหยิบเคล็ดวิชาออกมาเริ่มฝึก สติปัญญาของนางเป็นรองเป่ยเฉินอี้แล้ว ไม่อาจให้วรยุทธ์ด้อยกว่าเขาเด็ดขาด
……
“พี่สาว…พี่บุญธรรม ท่านอย่าทำแบบนี้ วิญญูชนใช้ปากไม่ใช้กำลัง พี่สาว…”
ซินเยว่เยี่ยนลากคุณชายหล่อเหลาผู้หนึ่งเดินออกไปด้วยความโมโห
บุรุษผู้นั้นมือถือพัดเล่มหนึ่ง ท่วงท่าสง่างาม ใต้ตาขวามีไฝเม็ดหนึ่งยิ่งเพิ่มเสน่ห์เย้ายวนใจคน
คนผู้นี้คืออันดับหนึ่งของแปดอัจฉริยะแห่งเจียงหนาน ซ่งอวี้เชวีย
ซินเยว่เยี่ยนหน้าตาโมโห “ใครเป็นวิญญูชนกับเจ้ากัน ทันทีที่ข้าเข้าประตูมา ก็ได้ยินเจ้าพูดกับอู๋เหินเรื่องไม่ต้องแต่งงาน ตระกูลซ่งของเจ้ามีลูกชายสี่คน เจ้าไม่กลัวตระกูลซ่งไร้ทายาทสืบสกุล แต่หมู่ตึกกูเยว่ของเรามีอู๋เหินแค่คนเดียว เจ้าคิดจะให้หมู่ตึกกูเยว่ของเราไร้ทายาทสืบทอดใช่หรือไม่ หรือว่าเจ้าคิดจะยึดทรัพย์สมบัติของหมู่ตึกเรา”
“ท่านคิดมากไปแล้ว” ซ่งอวี้เชวียอยากจะร้องไห้ เขาคนหนึ่งแซ่ซ่ง อู๋เหินแซ่กู ทรัพย์สมบัติของหมู่ตึกกูเยว่จะตกมาถึงเขาได้อย่างไรเล่า
ซินเยว่เยี่ยนไม่ฟังคำอธิบายใดๆ ทั้งนั้น “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะคิดมากคิดน้อย เจ้าออกไปให้พ้น ยามใดที่เจ้าไม่ถกเรื่องนั้นกับอู๋เหินอีกค่อยกลับมา ไม่เช่นนั้น ข้าเจอครั้งหนึ่งก็ตีครั้งหนึ่ง”
ซินเยว่เยี่ยนยิ่งเอ่ยก็ยิ่งโมโห ปล่อยหมัดใส่ซ่งอวี้เชวียไปทีหนึ่ง
ซ่งอวี้เชวียกุมหน้า “อย่าต่อยหน้าข้า”
หมัดนี้ต่อยเข้าที่หัวของเขา
ซ่งอวี้เชวียคิดจะร้องไห้ออกมาจริงๆ เขาเป็นศิษย์น้องของเทพกระบี่โอวหยางเทาแท้ๆ วิชากระบี่ไม่ด้อยไปกว่าศิษย์พี่เลย แต่บุรุษที่ดีไม่ต่อยตีกับสตรี วิญญูชนไม่อาจลงมือกับสตรี ถึงได้มีสภาพอนาถขนาดนี้
ในระหว่างที่เขาปวดใจอยู่นั้น
ซินเยว่เยี่ยนกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมา เดินไปนอกกำแพง โยนเขาอกไปราวกับโยนขยะ “ไสหัวไปให้พ้น”
“ไอ้หยา”
ซ่งอวี้เชวียคิดด่าว่าคน
เจ้าสารเลวกูเยว่อู๋เหินเรียกเขามาถกเรื่องโคลงกลอนดนตรีแท้ๆ เมื่อเห็นเขาถูกพี่สาวตัวเองสั่งสอน ยังไม่มาช่วยอีก
ยามที่ร่างตนกำลังถูกโยนออกไป เขาคิดโคจรพลังใช้วิชาตัวเบาเพื่อยืนให้มั่นคง
คิดไม่ถึงว่า จงรั่วปิงที่ออกมาเดินเล่นเพิ่งมาถึงหน้าประตูใหญ่เรือนด้านนอก เห็นบุรุษสวมชุดเขียวผู้หนึ่งถูกโยนออกมา ดีไม่ดีอาจจะกระแทกพื้น
ในฐานะจอมยุทธ์หญิงอันดับหนึ่ง ย่อมเข้าช่วยคนในยามคับขัน นางพุ่งเข้าไปรับซ่งอวี้เชวีย
ซ่งอวี้เชวียได้กลิ่นหอมจากเรือนร่างสตรี ขณะที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามผู้หนึ่ง เกิดความหลงใหลในชั่ววูบ “แม่นาง หญิงงามช่วยวีรบุรุษ ช่างเหมาะสมนัก”
หลังจากยืนที่พื้นแล้ว จงรั่วปิงก็โยนเขาลง “วีรบุรุษหรือสุนัขยังไม่แน่ ไฉนเจ้าถึงถูกคนของหมู่ตึกกูเยว่โยนออกมา เข้าไปขโมยของใช่หรือเปล่า”
ซ่งอวี้เชวียพูดไม่ออก
ประเดี๋ยวก็ถูกเข้าใจว่าจะยึดสมบัติของหมู่ตึกกูเยว่ อีกประเดี๋ยวก็ถูกสงสัยว่าเป็นโจร หน้าตาของอัจฉริยะอันดับหนึ่งในใต้หล้าจะเอาไปไว้ที่ไหนกัน
……
ในห้องกูเยว่อู๋เหิน
กูเยว่อู๋เหินยังคงดื่มสุราอยู่ หลังจากซินเยว่เยี่ยนลากซ่งอวี้เชวียออกไปอย่างโมโหโทโสก็วิ่งกลับมา ทันทีที่เห็นน้องชายที่อากัปกิริยาเหนือคนธรรมดาราวกับดวงจันทร์ทอแสง วินาทีนั้นนางยังสติหลุดลอยอยู่บ้าง
อากัปกิริยาเช่นนี้ เชื่อว่าเยี่ยเม่ยต้องชื่นชมแน่
นางพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง มองกูเยว่อู๋เหินอย่างรวดเร็ว “ท่านประมุข ข้าน้อยพา…”
“พี่บุญธรรม ท่านทำเกินไปแล้ว” กูเยว่อู๋เหินตำหนิ
ซ่งอวี้เชวียคือสหายที่เขาเชิญมา ถูกพี่สาวโยนออกไป
ซินเยว่เยี่ยนรู้ตัวว่าทำเกินไป ทว่านางไม่คิดมากอีก “ข้าน้อยสำนึกผิด แต่ท่านประมุขและซ่งอวี้เชวียไม่เหมาะที่จะเป็นสหายกัน อีกอย่างข้าน้อยพาคู่หมั้นคนหนึ่งกลับมาให้ท่าน นางอาศัยอยู่ที่เรือนฝั่งตะวันตก ขอให้ท่านประมุขไปพบนางด้วย”