ด้วยเพราะจิ่งเหิงปัวทุ่มเทกำลังกอบกู้สถานการณ์ในเรื่องราวของซังต้ง ตอนนี้ข้าราชบริพารส่วนหนึ่งในราชสำนักจึงค่อยๆ เปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อนาง ด้านหนึ่ง ข้าราชบริพารที่ค่อนข้างซื่อตรงเหล่านี้รู้ว่ายามนี้ราชินีมีชื่อเสียงในหมู่ราษฎรยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นนางมีคุณูปการใหญ่หลวงในเรื่องราวของซังต้งโดยแท้ หากมิใช่เพราะนาง ยุ้งฉางทิศตะวันตกของเมืองอาจจะถูกเผาไปแล้ว ความสูญเสียหนักหน่วงอันตรายเป็นวงกว้าง ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงหากรถม้าเพลิงทั้งหมดสิบคันบุกเข้าตลาดกลางคืนตรอกหลิวหลีที่คึกคักที่สุดได้ทั้งหมดจริง ภัยพิบัติที่นำมาแทบจะเป็นการทำลายล้าง คงไม่ใช่แค่การบาดเจ็บล้มตายไม่กี่คนเล็กน้อยแล้วยุติลงเช่นยามนี้เป็นแน่ เพราะฉะนั้นไม่อาจไม่เคารพ อีกด้านหนึ่ง ญาติพี่น้องมิตรสหายของข้าราชบริพารบางส่วนที่อยู่ในตลาดกลางคืนวันนั้น จะมากน้อยเพียงใดยังนับว่าเป็นหนี้บุญคุณช่วยชีวิตของจิ่งเหิงปัว ในใจย่อมมีความซาบซึ้งใจส่วนหนึ่งอยู่ด้วย ยามพบกันในวัง คนเหล่านี้แลดูเคารพนบนอบ มีมารยาทมากกว่าแต่ก่อนมากนัก ขุนนางเก่าแก่ที่บริสุทธิ์สูงส่งที่มีมหาปราชญ์ฉังฟังเป็นผู้นำกลุ่มหนึ่งยังจะถวายพระอภิไธยให้ราชินีด้วยเหตุนี้ แน่นอนว่าถูกกลุ่มต่อต้านกลุ่มหนึ่งใช้เหตุผลว่าราชินียังไม่ได้ขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ ไม่อาจถวายพระอภิไธยตามใจชอบ ขอให้พักไว้ก่อน
แน่นอนว่าย่อมมีพวกไม่มีเหตุผลเช่นเซวียนหยวนจิ้ง เขาเอ่ยว่าเรื่องราวของซังต้งเกิดขึ้นด้วยเพราะจิ่งเหิงปัวยั่วยุโดยพลการ ตามหลักแล้วควรจะสืบโทษที่ราชินีมุ่งโจมตีบุคคลสำคัญในราชสำนักโดยพลการจนก่อให้เกิดความไม่สงบ แม้ว่าภายหลังราชินีจะได้กระทำการกอบกู้ไว้บางส่วน ทว่าต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดก็เป็นเพราะนาง หากไม่มีนางก็คงไม่เกิดเพลิงไหม้ครั้งนั้นเสียด้วยซ้ำ เพราะอย่างนั้นชีวิตของคนสองคนที่ถูกเผาจนสิ้นชีพและชีวิตของคนเจ็ดคนที่ได้รับบาดเจ็บในตลาดกลางคืนควรจะนับว่าเป็นความผิดของนางด้วย แน่นอนว่าการฟ้องร้องที่ขาดความยุติธรรมอย่างยิ่งเช่นนี้ประสบฝีปากโกรธแค้นของขุนนางซื่อตรงที่มีฉังฟังเป็นผู้นำเช่นกัน หลังจากสองฝ่ายผ่านสงครามด่าทอกับสงครามประจัญบานฉบับยกระดับสามรอบแล้วถึงได้สิ้นสุดลงด้วยผลลัพธ์ที่เสมอกัน
สำหรับตัวจิ่งเหิงปัวเอง การชมเชยหรือการลงโทษไม่มีความหมายใดๆ ต่อนาง ในมุมมองของนางนี่คือแคว้นของนาง นี่คือราษฎรของนาง การใช้อำนาจราชินีของตนเองกับการปกป้องราษฎรสำคัญเช่นเดียวกัน ให้ขุนนางฝูงหนึ่งมาตัดสินความผิดชอบชั่วดีของนางช่างน่าขันโดยแท้ แต่นางเชื่อว่าวันเวลาน่าขันแบบนี้คงอยู่ได้อีกไม่นาน
ทว่าในการประชุมราชการ เรื่องบางเรื่องยังคงต้องขวางนางไว้อย่างไม่ได้ตั้งใจ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับเวลาการขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการของนาง ผ่านการถกเถียงไปเจ็ดแปดครั้งก็ยังตกลงกันไม่ได้ สำนักดาราศาสตร์เอ่ยว่าสองปีนี้ดวงดาวเป็นอริกับดวงพระอาทิตย์ แว่นแคว้นมีอันตรายจากการเปลี่ยนเจ้านาย ไม่เหมาะแก่การจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษก มีขุนนางใหญ่เกือบส่วนหนึ่งสนับสนุน ยิ่งไปกว่านั้นขุนนางใหญ่เกือบส่วนหนึ่งพวกนี้ รวมทั้งพรรคพวกเหยียลี่ว์ฉี รวมทั้งพรรคพวกกงอิ้น รวมทั้งฝ่ายตระกูลผู้ดีเก่าแก่เช่นเซวียนหยวนจิ้ง ยังรวมทั้งผู้นำกำลังของหกแคว้นแปดชนเผ่า ทำให้จิ่งเหิงปัวเรียนรู้อย่างจำใจว่าแต่ไหนแต่ไรมาราชสำนักต้าฮวงไม่เคยต้อนรับนางเลย ได้รู้ว่าไม่ว่าจะนางรุ่งโรจน์โชติช่วงในหมู่ราษฎรแค่ไหน เหล่าขุนนางใหญ่ที่เป็นห่วงเพียงผลประโยชน์ส่วนตนเหล่านี้ สิ่งที่พวกเขาคิดเสมอคือความมั่งคั่งร่ำรวยเปี่ยมยศศักดิ์ของตนเอง ทำให้ตระกูลตนเองดำรงอยู่ไปได้ร้อยปี
สำหรับเรื่องนี้ ท่าทางของกงอิ้นดูคลุมเครืออยู่บ้าง เขาทั้งไม่เห็นด้วยกับวาจาที่ว่าสองปีนี้ไม่อาจขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ แต่ว่าก็ไม่ได้เรียกร้องให้ขึ้นครองราชย์โดยพลันเช่นกัน เขาคล้ายยังรอคอยสิ่งใดอยู่ พวกที่คัดค้านแน่วแน่มีเพียงขุนนางที่ไม่เข้าพรรคเข้าพวกใดทั้งนั้นและมาจากครอบครัวสามัญชนบางส่วน รวมทั้งขุนนางเก่าแก่ที่ไม่ได้ครอบครองตำแหน่งที่มีอำนาจอย่างแท้จริงกลุ่มหนึ่งซึ่งมีมหาปราชญ์ฉังฟังเป็นผู้นำ ด้วยเพราะวันเวลาที่ราชินีขึ้นครองราชย์คือเรื่องใหญ่ เกี่ยวพันถึงชะตากรรมของแว่นแคว้น ขอเพียงมีผู้คัดค้านก็ย่อมยากจะปรึกษาหารือร่วมตกลง ฉะนั้นเรื่องนี้จึงพักไว้ก่อนชั่วคราว
เรื่องราวที่จิ่งเหิงปัวยากจะได้แตะต้องอีกเรื่องหนึ่งก็คือกิจการทหาร โดยเฉพาะกิจการทหารที่เกี่ยวข้องถึงทหารคั่งหลง หลังจากเรื่องราวของเฉิงกูมั่วว่ากันว่าทหารคั่งหลงไม่ค่อยอยู่ในโอวาสเพียงใด มีขุนพลยื่นคำร้องทุกข์ต่อกงอิ้นบ่อยครั้ง ขอให้ยกเลิกบทลงโทษที่มีต่อเฉิงกูมั่ว ช่วงเวลาเหล่านี้เฉิงกูมั่วปิดประตูพิจารณาความผิดอยู่ในจวนของตนเอง ปิดประตูไม่พบผู้ใดทั้งนั้นโดยแท้ ทั้งไม่อาศัยไหว้วาน ทั้งไม่ขอร้องให้กงอิ้นยกโทษ ทั้งไม่เอ่ยถึงความแค้นเรื่องบุตรชาย ทั้งไม่เอ่ยวาจาแค้นเคืองสักประโยค เอาแต่ร่ำสุราอ่านหนังสืออยู่ในจวนของตนเอง ลูกน้องบางคนที่แอบไปดูต่างก็เอ่ยกันว่าผู้บัญชาการเฉิงแทบจะผมขาวในชั่วข้ามคืน จมอยู่ในเมฆหมอกแห่งความโศกเศร้า ส่งเสียงร่ำไห้ตลอดหลายคืน คนรับใช้เดินเหินดั่งวิญญาณ มองดูแล้วน่าเวทนายิ่งนัก
หากคนผู้นี้วิ่งเต้นวุ่นวายอาจจะทำให้คนยังลังเล ท่าทางของคนที่ดูอ่อนแอในยามนี้กลับยิ่งพาให้คนสงสาร มนุษย์มักจะเอนเอียงไปทางผู้อ่อนแอเสมอ ทิศทางข้อวิพากษ์วิจารณ์ทั่วทั้งแว่นแคว้นต้าฮวงเกิดการเปลี่ยนแปลง ขุนนางใสซื่อมือสะอาดที่เดิมทีรู้ความจริงบางส่วน ไม่ค่อยคล้อยตามการกระทำของเฉิงกูมั่วในวันนั้นโดยไร้เหตุผลบางคน ยามนี้ยังรู้สึกว่าเฉิงกูมั่วเป็นผู้บริสุทธิ์ รู้สึกว่ากงอิ้นไร้ความเมตตา เรียกร้องให้คืนตำแหน่งเดิมให้เขา คนเหล่านี้ยังเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงขุนพลอ่อนวัยที่เดิมทีนับถือเฉิงกูมั่วเป็นผู้นำเหล่านั้นในพรรคพวกของกงอิ้นเลย ถึงขนาดมีคนจำนวนไม่น้อยที่เสนอให้ตัดสินโทษราชินี สืบสาวโทษที่ราชินีสังหารเฉิงเย่าจู่ ทุกวันต่างมีสมุดพับเช่นนี้หนึ่งถึงสองเล่ม ทว่าต่างถูกกงอิ้นกองไว้ไม่สนใจ
เหยียลี่ว์ฉีออกมาจากสำนักเจาหมิงแล้วด้วยเช่นกัน หลังจากหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ถล่มลงมา สำนักเจาหมิงถูกฟ้าร้องฟ้าผ่าจนพังทลายอย่างไม่มีผู้ใดอธิบายสาเหตุได้ จำต้องให้เหยียลี่ว์ฉีจากไปก่อนล่วงหน้า หลังจากเรื่องราวของซังต้ง ขุนนางพรรคพวกเหยียลี่ว์ฉีทยอยกล่าวโทษทหารอารักขาที่รับผิดชอบดูแลยุ้งฉางทิศตะวันตกของเมืองว่าปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาด รวมทั้งกล่าวโทษค่ายใหญ่สามค่ายของคั่งหลงที่รับผิดชอบป้องกันใจกลางนครว่าปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาด ซ้ำยังเสนอหลักฐานใหม่ว่าผู้อยู่เบื้องหลังคดีลอบปลงพระชนม์ราชินีในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จวันนั้นคือตระกูลจั้น ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ กงอิ้นเลือกอนุญาตให้เหยียลี่ว์ฉีกลับจวนโดยนัย คืนตำแหน่งในอีกครึ่งเดือน ทว่าด้วยเพราะเหตุนี้เอง เขามองออกว่ารองเสนากองอาญาที่รับผิดชอบสืบสวนคดีลอบปลงพระชนม์ราชินีแอบเป็นพวกเหยียลี่ว์ฉี ผ่านไปไม่นานเพียงใด จึงใช้ข้ออ้างว่าไม่ตั้งใจสืบสวนคดีลอบปลงพระชนม์ ลากรองเสนากองอาญาที่แอบสวามิภักดิ์ค่ายเหยียลี่ว์ฉีออกมา ลดตำแหน่งโยกย้ายไปไกล สะบั้นกำลังความช่วยเหลือของพรรคพวกราชครูฝ่ายซ้ายอีกแห่งหนึ่ง
สำหรับเหยียลี่ว์ฉีแล้ว การทิ้งรองเสนากองอาญา จุดมุ่งหมายก็คือชำระล้างตนเอง ใช้ขุนนางสายลับตำแหน่งสูงในกองอาญาที่บ่มเพาะมาหลายปีคนหนึ่งแลกความมั่นคงในตำแหน่งราชครูฝ่ายซ้ายของตนเองกลับมา ฉะนั้นกงอิ้นยอมรับโดยไม่ต้องเอ่ยเช่นกัน นี่คือการวางกลอุบายอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงกับความสมดุลที่เลือกโดยเป็นที่รู้กันในยามสุดท้ายใต้เวทีอีกครั้งหนึ่งของมหาราชครูทั้งสอง
เรื่องราวเหล่านี้ไม่เอ่ยในการประชุมราชการ กงอิ้นไม่บอกจิ่งเหิงปัวเป็นแน่เช่นกัน แต่จิ่งเหิงปัวฟังออกคร่าวๆ ได้จากวาจาสองสามประโยคของจื่อหรุ่ย…แต่ไหนแต่ไรมาการเมืองเป็นสิ่งซับซ้อนเช่นนี้เสมอ
นางเป็นทุกข์กับเรื่องนี้อย่างยากจะหลีกเลี่ยง แต่ไม่ได้แสดงออกมา…ไม่ใช่หวังพึ่งพามหาเทพให้ช่วยแก้ไข แต่นางคิดว่าสำหรับมหาเทพแล้ว ทุกวันนางกระโดดไปกระโดดมา แทะโลมเขาอย่างร่าเริงแจ่มใสถึงเป็นสภาวะที่ดีที่สุด ขอแค่นางมีความสุขให้เขาดูก็พอแล้ว
อารมณ์เช่นความกดดันนี้เป็นเครื่องปรุงรสหนึ่งวันสามเวลาอาหารของนักการเมืองตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ในฐานะแฟนสาวที่ได้มาตรฐานคนหนึ่ง นางควรจะช่วยแฟนหนุ่มบรรเทาความกดดันอย่างไร พูดให้ง่ายคือ…ถ้าเขารักนาง นางยิ้มให้เขาดูก็พอแล้ว!
ให้เขารู้สึกว่าความพยายามของเขาได้ปกป้องนางแล้ว นางคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
จิ่งเหิงปัวยอมเป็นผู้หญิงโง่เขลาที่ไม่คิดอะไรมาก เฉลียวฉลาดอยู่เบื้องหลังก็พอแล้ว
ฉะนั้นในการประชุมราชการนางก็ไม่พูดจาแม้แต่คำเดียว แต่เบื้องลึกมีการตระเตรียมอยู่บ้าง นางเคยได้เจรจาเป็นการส่วนตัวกับฉังฟังครั้งหนึ่ง ใจความสำคัญก็คือให้ตาเฒ่าละทิ้งความพยายามในการผลักดันนางขึ้นครองราชย์ล่วงหน้าไปก่อน
ยามนั้นตาเฒ่ามองนางอย่างงงงวยอยู่เนิ่นนาน เอ่ยด้วยสีหน้าผิดหวังว่า “ราชินีทรงไม่อยากขึ้นครองราชย์ล่วงหน้าหรือพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่คนเหล่านั้นเอ่ยว่าดวงดาวเป็นอริกับดวงพระอาทิตย์สองปี เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นเพียงข้ออ้างถ่วงเวลา คงรู้ว่าราตรียาวนานความฝันเยิ่นเย้อพ่ะย่ะค่ะ”
พอจิ่งเหิงปัวเห็นสีหน้าของเจ้าผู้ชราก็รู้ว่าในใจเขาคงจะกำลังตำหนิว่าอุดมการณ์ความคิดตื้นเขินของตนเองขึ้นอยู่กับบุรุษเท่านั้น เช่นนั้นก็อดจะหัวเราะฮ่าๆ ออกมาไม่ได้ แล้วกล่าวว่า “ฉะนั้นถึงเอ่ยว่าชั่วคราวอย่างไร”
“ทูลถามฝ่าบาททรงหมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” ตาเฒ่ากะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจความหมาย
“ถอยหนึ่งก้าวถึงเดินหน้าได้หนึ่งก้าว” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีเขยิบไปยังข้างหูเขา แล้วกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “การคัดค้านของท่านน่าจะทำให้เจ้าคนเหล่านั้นปวดศีรษะยิ่งนักกระมัง? เช่นนั้นหากท่านผ่อนคลายการบังคับลงมา ฝ่ายตรงข้ามคงจะโล่งใจไปครั้งหนึ่งใช่หรือไม่เล่า? ท่านเผยความนัยว่าตกลงกันได้สักหน่อย ฝ่ายตรงข้ามคงจะเร่งรีบให้ความร่วมมือด้วยเพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่เล่า? ท่านน่ะ เสแสร้งแกล้งยอมอ่อนข้อไปก่อน ช่วงชิงอิสระเล็กน้อยเพื่อข้าเถิด!”
วันต่อมา ฉังฟังผิดแปลกไปจากปกติ ไม่ได้บังคับขู่เข็ญให้ตั้งวันเวลาที่ราชินีขึ้นครองราชย์ให้แน่ชัดโดยพลันอีก กลุ่มต่อต้านดีใจยกใหญ่ด้วยเหตุนี้ ซ้ำยังยอมรับเงื่อนไขข้อหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับราชินีของฉังฟังด้วย…ฉังฟังคิดว่าในเมื่อฝ่าบาทเลื่อนการขึ้นครองราชย์ออกไปชั่วคราว เช่นนั้นข้อเรียกร้องที่มีต่อนางไม่ควรใช้บรรทัดฐานของราชินีที่ดำรงตำแหน่งของต้าฮวงมาเป็นข้อสรุป ฉะนั้นควรจะอนุญาตให้ราชินีมีอิสระในการออกนอกวังกับอิสระในการบริหารทรัพย์สินพอสมควร นางจะได้เรียนรู้ชีวิตราษฎร ทำความเข้าใจสถานการณ์ของแคว้นได้สะดวก ลดข้อจำกัดกฎเกณฑ์บรรทัดฐานทุกสิ่งที่มีต่อราชินีลงครึ่งหนึ่งทั้งสิ้น และอนุญาตให้ราชินีมีอำนาจลงโทษเกี่ยวกับกฎต้องห้ามในวังตนเองได้
แต่ไหนแต่ไรมาการเมืองนั้นเปี่ยมด้วยการประนีประนอม เจ้าประนีประนอมแล้วเช่นนี้ ข้าก็ควรประนีประนอมให้สัมพันธ์กันเช่นนั้น สำหรับกลุ่มต่อต้านแล้ว ไม่ให้ราชินีขึ้นครองราชย์คือเรื่องใหญ่ ส่วนเรื่องที่เหลืออย่างเช่น อำนาจอิสระอะไรเอย ออกนอกวังใกล้ชิดราษฎรเอย ให้เงินมากหน่อยเอย อำนาจในการลงโทษในวังตนเองเอยล้วนเป็นเรื่องเล็ก
จิ่งเหิงปัวได้ยินข่าวนี้แล้วก็หัวเราะฮิๆ หลังจากนั้นก็แจ้งผู้ชราฉังฟังว่า “ผ่านไปสักเดือนสองเดือนท่านผู้ชราอย่าลืมเอ่ยเรื่องราชินีขึ้นครองราชย์ล่วงหน้าต่อไปอีกครั้งล่ะ!”
ผู้ชราฉังฟังโซเซครั้งหนึ่งจนเกือบจะล้มหัวทิ่ม ลุกขึ้นมาเบิกตากว้างอยู่เนิ่นนานแล้วเดินโซซัดโซเซจากไป ก่อนเดินออกจากประตูวังแล้วหันหน้ากลับมามองดู ทว่าอดจะหรี่ตายิ้มแย้มไม่ได้
“มีความกล้าหาญ มีกลอุบาย รู้ก้าวรู้ถอยเป็น ไม่สูญเสียความกล้าหาญของพยัคฆ์ ซ้ำยังไม่สูญเสียความเจ้าเล่ห์ของจิ้งจอก ได้ราชินีเช่นนี้ ต้าฮวงช่างมีบุญวาสนานัก!”
เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เอ่ยว่า “ต่อให้ผู้ชราต้องแบกรับชื่อเสียงกลับกลอกปลิ้นปล้อนด้วยเพราะเหตุนี้แล้วอย่างไรเล่า คุ้มค่ายิ่งนัก!”