ตอนที่ 226-2 ลูกศิษย์ของผู้อื่น

ลำนำสตรียอดเซียน

โม่เทียนเกอยิ้มอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดนางก็กล่าวตอบว่า “เจ้าดูมีความสุขยามที่ได้พูดจา ป้าจึงฟังปล่อยให้เจ้าพูดสิ่งที่อยู่ภายในใจของเจ้าเสียก่อน”

 

 

“ท่านป้า!” เยี่ยเจินจีมีสีหน้าเศร้าสร้อย “ทำไมท่านถึงได้เหมือนอาจารย์ของท่านเลย!”

 

 

“ท่านอาจารย์งั้นหรือ” โม่เทียนเกอยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

 

 

ถึงกระนั้นก็ตาม เยี่ยเจินจีเพิกเฉยคำถามของนาง และเอ่ยปากถามนางอีกครั้งอย่างทนไม่ไหว “ท่านป้า ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าท่านมีชีวิตอย่างไรตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมานี้!”

 

 

“ข้า…” นางยิ้ม พลันใช้เวลาครู่หนึ่งในการใคร่ครวญคำตอบของนาง “ข้าบังเอิญเข้าไปพัวพันกับปัญหาบางอย่างจริง แต่ข้าก็ได้รับโอกาสที่ชะตาลิขิตมา และสามารถรอดพ้นกลับมาได้อย่างปลอดภัยในท้ายที่สุด ข้าไม่ได้ติดต่อกับพวกเจ้า เพราะข้าติดอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งเป็นเวลานานแสนนาน แต่ทั้งหมดล้วนแต่เป็นอดีตไปแล้ว ไม่มีภยันตรายใดๆ อีกต่อไปแล้ว” หลังจากเล่าเรื่องของนางอย่างเป็นกันเอง นางจึงถามกลับไปว่า “เกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์ที่เจ้าเอ่ยถึงกัน ใครเป็นคนคอยสั่งสอนเจ้าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้”

 

 

“อาจารย์ของข้าไง!” ดูเหมือนว่าเยี่ยเจินจีจะสับสนเล็กน้อยกับคำถามของนาง “ท่านป้า หลังจากท่านจากไป ข้าใช้เวลานานอยู่หลายปีก่อนที่ข้าจะสร้างฐานแห่งพลังได้สำเร็จในที่สุด พอข้าสร้างฐานแห่งพลังได้แล้ว ท่านปรมาจารย์เริ่มหมดความอดทนกับข้า และส่งข้าไปยังที่พักของท่านอาจารย์” เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็เม้มริมฝีปาก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจอย่างมากกับการกระทำของท่านปรมาจารย์ อย่างไรก็ตาม ครู่ต่อมา เขายิ้มอีกครั้ง และกล่าวว่า “โชคยังดี ถึงแม้ท่านอาจารย์จะดูดุร้ายมาก แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นคนใจดีมีเมตตา ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้เขาจะยุ่งจนตัวเป็นเกลียวเหลือเกิน แต่เขาก็ยังคอยดูแลข้าอยู่เสมอ…”

 

 

ทันใดนั้น โม่เทียนเกอรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา “อาจารย์ที่เจ้ากำลังพูดถึงคือใครกัน”

 

 

“จะใครเสียอีกล่ะ ข้ามีอาจารย์เพียงคนเดียวไม่ใช่หรือ” เยี่ยเจินจีกล่าว เขาดูสับสนงงงวยโดยสิ้นเชิง

 

 

โม่เทียนเกอจมดิ่งอยู่ในความเงียบงัน รอยยับย่นค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนคิ้วนาง

 

 

“ท่านป้า” เยี่ยเจินจีเรียกนางอย่างระมัดระวัง

 

 

“ไม่เป็นไร” นางเผยรอยยิ้มอย่างช้าๆ เรื่องบางเรื่องหาได้เกี่ยวข้องกับเจินจีไม่ นางแค่ถูกชายแก่น่าอับอายผู้นั้นวางแผนหลอกล่อเข้าเสียแล้ว ช่างแปลกเหลือเกิน นางทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงศิษย์พี่ผู้นั้น เพราะนางไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่ปลายเล็บ ทำไมท่านอาจารย์ผู้แสนต่ำต้อยของนางคนนั้น ถึงต้องการรวมนางเข้าไปอยู่ในแผนการของเขาด้วยกันล่ะ ตอนนี้เขาได้ทำลงไปแล้ว หลานชายที่นางเลี้ยงมาในฐานะลูกศิษย์ กลับกลายเป็นลูกศิษย์ของผู้อื่นไปอย่างฉับพลันเสียอย่างนั้น ตอนนี้เจินจีเรียกเขาว่า “ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์” ด้วยความรักใคร่ ซึ่งแตกต่างไปจากที่เขาเคยเป็นโดยสิ้นเชิง…

 

 

ทันทีที่นางตระหนักได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่นั้น โม่เทียนเกอรู้สึกตะลึงงัน แต่นางพลันยิ้มขึ้นมาล้อเลียนตัวของนางเองในไม่ช้า ตอนนี้จิตใจของนางกำลังเป็นแบบไหนอยู่กัน นางกำลังอิจฉาอย่างนั้นหรือ เพราะนางไม่ได้กลับมานานกว่ายี่สิบปี เจินจีคงจะคิดว่าคนอื่นนั้นสำคัญเท่าๆ กับนางเสียแล้ว นางจึงรู้สึกทุกข์ใจอย่างนั้นหรือ หรือว่าเป็นเพราะ… คนคนนั้นเป็นเขากัน

 

 

ทันใดนั้น นางพลันตระหนักได้ว่าความคิดของนางนั้นไม่ถูกต้องในบางประการ ราวกับว่าความรู้สึกบางอย่างที่นางควบคุมเอาไว้ได้เป็นอย่างดีนั้น กลับหลุดลอดออกมาทันทีที่นางกลับมาถึง นางเลิกสายตาขึ้นและมองไปรอบๆ อย่างช่วยไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีร่องรอยของเขาหลงเหลืออยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้ว…

 

 

“เจินจี” นางถามอย่างช้าๆ “เจ้าเป็นยังไงบ้างในช่วงหลายปีมานี้ อาจารย์ของเจ้าดูแลเจ้าอย่างไร”

 

 

เมื่อเห็นว่านางไม่ได้ดูทุกข์ใจมากนัก ความตึงเครียดของเยี่ยเจินจีจึงผ่อนคลายลงในที่สุด เขาพลันนึกคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตอบไปว่า “ตอนที่ท่านป้าส่งของไปที่เผ่าเยี่ยในปีนั้น ข้าอยู่กับพวกเขาได้ครึ่งปี ก่อนที่ข้าจะกลับมา ตั้งแต่ข้าได้เสี่ยวหั่วมาอยู่กับข้า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างทางที่ข้ากลับมา หลังจากข้ากลับมาแล้ว ข้าผ่านการทดสอบอย่างราบรื่น และได้ยาสร้างฐานแห่งพลัง เมื่อจ้าได้รับการอนุญาตจากท่านปรมาจารย์แล้ว ข้าจึงเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตเพื่อสร้างฐานแห่งพลังของข้า แต่ลงท้ายกลับล้มเหลว”

 

 

เยี่ยเจินจีผายมือของเขาออก แต่โม่เทียนเกอถามเขาด้วยความสับสน “ข้าได้ให้ของบางอย่างกับเจ้า และบอกให้เจ้าใช้มันในการสร้างฐานแห่งพลังแล้วไม่ใช่หรือ”

 

 

“ท่านป้า ท่านกำลังพูดถึงขวดตำรับยาพวกนั้นหรือ” เยี่ยเจินจีเกาศีรษะของเขา และกล่าวอย่างเขินอายว่า “ข้า… ข้าตื่นเต้นมากจนเกินไปในครั้งแรก ข้าก็เลยลืมมันไปเสียสนิท”

 

 

“…” การได้เห็นท่าทางของเขาแบบนั้น ทำให้โม่เทียนเกอได้แต่ส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้า… เจ้าจะลืมอะไรก็ได้ แต่เจ้ากลับลืมเรื่องสำคัญเช่นนั้นได้ลงคอจริงๆ”

 

 

เยี่ยเจินจีกล่าว “ข้าไม่เคยลองสร้างฐานแห่งพลังมาก่อน ข้าเลยตื่นเต้นมากจนเกินไปในตอนนั้น…” ในตอนนั้น รอยยิ้มเบ่งบานขึ้นบนใบหน้าของเขา “หลังจากที่ข้าล้มเหลว ข้าจึงตระหนักได้ว่าท่านป้าทิ้งยาสร้างฐานแห่งพลังเอาไว้ให้ข้าอย่างลับๆ ในที่สุด ถึงกระนั้น ทุกคนล้วนแต่รู้แล้วว่าข้าล้มเหลว มันจึงไม่เป็นผลดีสำหรับข้าที่จะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตอีกครั้ง นอกจากนี้ การเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตอีกครั้งทันที หลังจากการสร้างฐานแห่งพลังล้มเหลวก็เป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างแน่นอน ข้าจึงรออีกสามปี… และครั้งนี้ ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จ”

 

 

“อืม เจ้าก็ไม่ได้โง่เง่าไปเสียทั้งหมดนะ”

 

 

“ท่านป้า!”

 

 

โม่เทียนเกอหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าอับอายและเคอะเขินของเขา “เอาละๆ เจ้าเล่าต่อสิ”

 

 

เยี่ยเจินจีชำเลืองมองนางด้วยความเขินอาย จากนั้นจึงเล่าเรื่องของเขาต่อ “หลังจากที่ข้าสร้างฐานแห่งพลังได้แล้ว ข้าบังเอิญพบกับปัญหามากมายระหว่างการฝึกตนของข้า ข้าจึงไปถามท่านปรมาจารย์ถึงเรื่องนี้ ในตอนแรกเริ่ม ท่านปรมาจารย์ยังคงแนะแนวข้าอย่างละเอียด แต่ต่อมา ท่านปรมาจารย์กลับหมดความอดทน เพราะข้าถามคำถามมากจนเกินไป เขาจึงบอกข้าว่าอาจารย์ของข้าได้เข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว แต่เขาไม่มีลูกศิษย์ไว้คอยดูแลรับใช้เขา เขาถามข้าว่าข้าจะเกียจคร้านได้อย่างไร ขณะที่ข้าเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ข้า หลังจากนั้นเขาจึงไล่ข้าให้ไปหาท่านอาจารย์ของข้า”

 

 

“… แล้วอาจารย์ของเจ้าปฏิบัติกับเจ้าอย่างไรบ้าง”

 

 

“ท่านอาจารย์ดีกับข้ามากๆ” เมื่อเขาพูดคำว่า “อาจารย์” สีหน้าเยี่ยเจินจีไม่แสดงความเหยียดหยามเหมือนเมื่อยี่สิบปีก่อนอีกต่อไป ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยความเลื่อมใสมากกว่า “ท่านอาจารย์ไม่ชอบพูดจามากนัก และท่านไม่ชอบออกมาพบปะกับผู้คนเท่าไรด้วย คนพวกนั้นที่ไม่รู้จักเขา จะคิดว่าเขาเป็นคนที่เย็นชาและหยิ่งยโส แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย ตอนที่ข้าไปพบกับเขาเป็นครั้งแรก ข้าไม่เข้าใจสิ่งใดๆ เลยสักอย่าง ข้าจึงหวาดกลัวเขาเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา ข้ารู้สึกว่าท่านอาจารย์เป็นคนใจดีเหลือเกิน เขายุ่งจนตัวเป็นเกลียว แต่ก็ยังอดทนเสมอในยามที่ต้องสอนข้าเรื่องการฝึกตน เขาไม่เคยหมดความอดทนกับข้าเลยสักครั้ง ท่านปรมาจารย์บอกข้าให้คอยรับใช้ท่านอาจารย์ แต่ท่านอาจารย์ไม่เคยปล่อยให้ข้ารินชาหรือน้ำเปล่าให้เขาเลย…”

 

 

เยี่ยเจินจีพูดอย่างไม่วางปากเป็นเวลานาน แต่โม่เทียนเกอเองก็ไม่ได้พูดอะไรจนถึงตอนสุดท้าย

 

 

“ท่านป้า ท่านทุกข์ใจหรือ”

 

 

เมื่อเวลาผ่านไปได้พักใหญ่ โม่เทียนเกอจึงถอนหายใจด้วยความโล่งใจออกมาในที่สุด “เปล่า สถานการณ์ของเจ้าในตอนนี้… มันดีมากๆ เลยล่ะ”

 

 

นางได้แต่ปล่อยให้ตาเฒ่าประหลาดนั่นทำตามแผนของตัวเองในตอนนี้ เป็นไปได้อย่างมากว่าในตอนแรกที่เขาแนะนำเรื่องนี้ขึ้นมา เขาไม่ได้มีเจตนาที่ดีใช่ไหม ช่างเถอะ นางควรจะมีความสุขที่ใครบางคนดูแลเจินจีได้เป็นอย่างดี สำหรับตาเฒ่าประหลาดนั่น… ฮึ่ม! อย่าได้คิดว่าตัวเองชนะแล้วจริงๆ สิน่า!