จู่ๆ ฟ้าใสกระจ่างก็ปรากฏเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา ทำให้คนเดินถนนพากันตกใจจนสะดุ้งเฮือก แล้วเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอย่างสงสัยใจ
ไม่นานนัก ท้องฟ้าสีครามเมื่อครู่ก็ถูกเมฆฝนเข้าปกคลุม แล้วฝนก็เริ่มลงเม็ดตกเปาะแปะลงมา
อากาศที่เปลี่ยนไปกะทันหันทำให้คนเดินถนนที่ไม่ได้เตรียมร่มมาไม่ทันได้ตั้งตัว พากันวิ่งเข้าไปหลบฝนในร้านค้าข้างทาง
ภายในห้องทำงานหรู เซียวจิ่งสือใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางไว้บนโต๊ะ เพ่งมองไปยังที่แห่งหนึ่ง คิ้วเข้มขมวดแน่น ราวกับคิดเรื่องอะไรอยู่ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าด้านนอกอากาศได้เปลี่ยนไปแล้ว
ผ่านไปอีกเนิ่นนาน ห้องทำงานที่เงียบสงบก็มีเสียงถอนใจเบาๆ ดังขึ้นอย่างอัดอั้นและเหนื่อยล้า
เซียวจิ่งสือเอนร่างพิงพนักเก้าอี้ ปิดดวงตาที่หนักอึ้งลง ขอบตาล่างมีรอยคล้ำ คิ้วที่ขมวดมุ่นยังไม่มีทีท่าว่าจะคลายออกแม้แต่น้อย มันผูกแน่นอยู่บนใบหน้าคมเข้มแต่กลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
อินเสี่ยวเสี่ยวหายตัวไปหลายวันแล้ว หลายวันมานี้ เซียวจิ่งสือส่งคนกระจายกันออกไปหาตัวเธอตามที่ต่างๆ ทั่วทั้งเมือง แต่เธอก็หายตัวไปราวกับเป็นอากาศธาตุ สาบสูญไปจนไร้ร่องรอย
เซียวจิ่งสือคิดอย่างไม่เข้าใจ อยู่ดีๆ คนคนหนึ่งจะหายสาบสูญไปได้อย่างไรกัน เขาห่วงว่าเธอจะไปรับฟังใครพูดอะไรเข้าแล้วคิดจะไปจากเขาอีก แต่เขายิ่งเป็นห่วงมากกว่าว่าจะมีคนวางแผนร้ายทำร้ายเธอ
หลายวันมานี้ เซียวจิ่งสือได้รู้สึกถึงความหวาดกลัวที่ต้องสูญเสียหลินหว่านไปอีกครั้ง หวาดกลัว ทุกข์ทรมานราวอกจะแตก เขาไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าหากเขาต้องสูญเสียเธอไปอีกครั้ง เขาจะยังสามารถทนรับกับความรู้สึกที่เหมือนถูกควักหัวใจออกมาได้อีกครั้งหรือไม่
ตอนนั้นเองประตูห้องทำงานถูกคนผลักเปิดเข้ามา เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นหินอ่อนดังสดใสก้องกังวานดังขึ้นในห้องทำงาน
เซียวจิ่งสือลืมตาตื่นขึ้น ผงกศีรษะขึ้นมองอย่างระวังตัว แล้วเขาก็เห็นว่าอันจี๋ถิงในชุดกระโปรงยาวเข้ารูปสีแดง ท่าทางนุ่มนวลและสูงส่ง
เซียวจิ่งสือขมวดคิ้วอย่างสงสัย คิดไม่ออกว่าอันจี๋ถิงจะมาหาเขาด้วยเรื่องอะไร
อันจี๋ถิงไม่รอให้เซียวจิ่งสือเอ่ยปาก ดูเหมือนเธอจะเข้าไปนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเซียวจิ่งสือโดยไม่สนใจอะไรอื่น เห็นได้ชัดว่าต้องการเจรจากับเซียวจิ่งสือ และเรื่องที่ว่าก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก
เซียวจิ่งสือนั่งตัวตรง ถามด้วยเสียงแหบพร่าว่า “คุณนายอันมาที่นี่ มีธุระอะไรหรือครับ”
เห็นได้ชัดว่าเซียวจิ่งสือไม่มีเวลามาอ้อมค้อม เขาถามคำถามที่สงสัยออกไปตรงๆ
อันจี๋ถิงยิ้มเย็น “เซียวจิ่งสือ คุณเองทำอะไรไว้ไม่รู้ตัวเลยรึไง?! คุณกล้าทำร้ายลูกสาวของฉันเพื่อนังจิ้งจอกที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า คุณไม่รู้สึกว่าตัวเองควรมีอะไรจะอธิบายกับฉันกับหลินหว่านบ้างรึไง?!”
อันจี๋ถิงแทบจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อตอนที่พูดคำพูดนี้ หลินหว่านเป็นลูกสาวคนเดียวของเธอ ไม่ว่าใครก็ทำร้ายเธอไม่ได้
พอฟังคำของอันจี๋ถิงจบ หัวคิ้วของเซียวจิ่งสือก็ขมวดมุ่นยิ่งขึ้นไปอีกหลายส่วน
เซียวจิ่งสือสบตาที่เต็มไปด้วยโทสะของอันจี๋ถิงอย่างไม่กลัวเกรง ถามเสียงหนักว่า “งั้นคุณรู้ไหมครับว่าใครเป็นลูกสาวของคุณกันแน่?”
อันจี๋ถิงชะงักกึก ไม่เข้าใจเซียวจิ่งสือว่าทำไมจึงถามคำถามน่าประหลาดแบบนี้ขึ้นมา
บรรยากาศสงบนิ่งไปหลายวินาที กว่าอันจี๋ถิงจะถามว่า “เซียวจิ่งสือ คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?” น้ำเสียงที่เค้นถามและความเฉียบคมเชือดเฉือนลดลงไปหลายส่วน สิ่งที่เข้ามาแทนที่เป็นความสงสัยที่มีมากกว่า
เซียวจิ่งสือพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “คุณนายอัน คุณไม่รู้สึกหรอกหรือว่าลูกสาวคุณในตอนนี้มีอะไรผิดแปลกไป?”
“เซียวจิ่งสือ มีอะไรคุณก็พูดมาตรงๆ เลย ไม่ต้องมาอ้อมค้อมอีก!” อันจี๋ถิงพูดเสียงเข้ม ดวงตาเปี่ยมด้วยความสงสัยและโทสะ เห็นได้ชัดว่าเธอทนไม่ได้แล้ว
“ได้ ผมจะบอกคุณตรงๆ เลยก็แล้วกัน” เซียวจิ่งสือพูดด้วยสีหน้าทุกข์ใจว่า “หลินหว่านในตอนนี้ไม่ใช่ลูกสาวของคุณ ลูกสาวที่แท้จริงของคุณคืออินเสี่ยวเสี่ยว”
“ปัง!”
อันจี๋ถิงตบโต๊ะปัง ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ชี้หน้าเซียวจิ่งสือแล้วตวาดอย่างโมโหว่า “เซียวจิ่งสือ คุณพูดบ้าอะไร! ต่อให้คุณไม่รักลูกสาวฉันก็จะมาพูดจาเลอะเทอะว่าเธอไม่ใช่ลูกสาวฉันแบบนี้ไม่ได้นะ! คุณ…”
“ผมไม่ได้พูดมั่ว คุณลืมตาดูให้ดีสิ อินเสี่ยวเสี่ยวต่างหากจึงเป็นลูกสาวคุณหลินหว่าน เธอต่างหากที่ใช่!” เซียวจิ่งสือพูดขัดอันจี๋ถิงขึ้น แล้วพูดย้ำกับเธอทีละคำ
ตอนนั้นเอง นอกหน้าต่างกระจกของห้องทำงานหรู ท้องฟ้าปรากฏสายฟ้าแลบขึ้นสายหนึ่ง ตามติดด้วยสายฟ้าฟาดเปรี้ยงดังลั่นขึ้น ท่ามกลางเสียงครืนครันของฟ้าร้อง สายฝนก็สาดเทลงมาอย่างหนักอีกครั้ง ทั้งเมืองปกคลุมด้วยสีเทาอึมครึมไปทั่ว
ภายในห้องทำงาน ทั้งสองมองสบตากันนิ่ง อุณหภูมิในอากาศลดลงถึงจุดเยือกแข็ง
“ก๊อกๆๆ”
เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังมา ทำลายบรรยากาศที่กำลังถึงจุดเยือกแข็ง
เซียวจิ่งสือกับอันจี๋ถิงต่างนิ่งงันไป ทั้งคู่ต่างพักรบไว้ชั่วคราว
“เข้ามา” เซียวจิ่งสือหันไปบอกที่หน้าประตู จัดคอปกเสื้อให้เรียบร้อยแล้วนั่งกลับไปบนเก้าอี้ทำงาน
เลขาของเซียวจิ่งสือเดินเข้าประตูมา ดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติ เขามองเซียวจิ่งสืออย่างระวังตัวขึ้น จากนั้นกลอกตาวูบแอบตวัดสายตาไปที่อันจี๋ถิงแวบหนึ่ง
“มีเรื่องอะไรหรือ” เซียวจิ่งสือเอ่ยถาม น้ำเสียงยังแหบพร่าอย่างเหนื่อยล้า
เลขาตั้งสติได้ รีบเข้ามาที่หน้าโต๊ะทำงาน วางเอกสารในมือลงตรงหน้าเซียวจิ่งสือ “ท่านประธานเซียว นี่มีเอกสารที่ต้องให้คุณลงนาม”
เซียวจิ่งสือรับเอกสารมา กวาดตาอ่านเอกสารรอบหนึ่ง จากนั้นเซ็นชื่อเขาลงในเอกสาร
เลขารับเอกสารมาแล้วออกจากห้องทำงานไปด้วยความเร็วระดับหนีตาย ปิดประตูลง ความรู้สึกบอกเขาว่า บรรยากาศข้างในไม่ปกติเอามากๆ
ภายในห้องทำงานเหลือเพียงสองคนอีกครั้ง บรรยากาศร้อนแรงเริ่มตลบอบอวลไปทั่วห้องอีกครั้ง
อันจี๋ถิงยกมือกอดอก แค่นเสียงเย็น “เซียวจิ่งสือ คุณเห็นว่าฉันเป็นคนถูกหลอกได้ง่ายรึไง?! คุณเข้าใจว่าฉันจะยอมเชื่อเรื่องที่คุณแต่งขึ้นพวกนั้นรึไงกัน?! คุณเห็นฉันเป็นคนโง่สินะ!”
อันจี๋ถิงรู้สึกว่าเซียวจิ่งสือเป็นบ้าไปแล้ว เพราะเพื่อผู้หญิงที่ชื่ออินเสี่ยวเสี่ยว แม้แต่คำพูดที่ไม่มีใครเชื่อแบบนี้ก็ยังพูดออกมาได้
พอนึกถึงอินเสี่ยวเสี่ยว อันจี๋ถิงก็ยิ่งโมโห ผู้หญิงคนนี้ถึงกับคิดจะอยู่กับเซียวจิ่งสือแทนที่ลูกสาวเธอ! ช่างไม่เจียมตัวซะเลย! ดูท่าว่าไม่สั่งสอนเธอวะบ้างคงจะไม่รู้จักคำว่ากลัวเขียนยังไง!
สายตาคมปลาบดุดันของอันจี๋ถิงปรากฏแวบขึ้นแล้วหายวับไป ราวกับสายฟ้าที่พาดผ่านไป เซียวจิ่งสือไม่ทันได้สังเกตเห็น เขายังอธิบายต่ออย่างอดทน “ตอนนี้หลินหว่านแค่สูญเสียความทรงจำไปเท่านั้น คราวที่แล้วเธอตกลงไปในทะเลทำให้เธอสูญเสียความทรงจำ แต่คุณต้องเชื่อผม เธอต่างหากที่เป็นลูกสาวที่แท้จริงของคุณ”
เซียวจิ่งสือได้แต่สะกดกลั้นความขุ่นเคืองและอัดอั้นตันใจเอาไว้ พยายามอธิบายกับอันจี๋ถิงอย่างอดทน เขาไม่ต้องการให้แม่ของเธอจำเธอไม่ได้ สำหรับกับหลินหว่านมันน่าเศร้าเกินไป